บทที่ 459 เจี่ยงเถิงมาเยี่ยมหลินซือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 459 เจี่ยงเถิงมาเยี่ยมหลินซือ

บทที่ 459 เจี่ยงเถิงมาเยี่ยมหลินซือ

เจี่ยงฉีส่ายหัวแล้วหัวเราะเบา ๆ “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เคยเห็นเวลาไหนที่จะกระตือรือร้นได้เช่นนี้มาก่อน”

เหยาซูเองก็หัวเราะออกมา “เอ้อเป่าเองก็เช่นกัน เมื่อเป็นเรื่องของเจี่ยงเถิงก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เวลาสั้น ๆ ก่อนหน้านี้ยังให้ข้าช่วยหาหนังสือหนึ่งเล่ม ข้านึกว่านางจะเปลี่ยนนิสัยมาอ่านหนังสือและกลายเป็นสตรีที่มีความสามารถ แต่เมื่อถามในตอนท้ายกลายเป็นว่าช่วยเจี่ยงเถิงนี่เอง”

เจี่ยงฉีนึกถึงหนังสือเล่มที่เจี่ยงเถิงเก็บรักษาไว้ข้างหมอนอย่างดีเล่มนั้น หญิงสาวถอนหายใจ “อาซู พวกเราสนิทสนมกันมาก็นานหลายปี ข้าไม่อยากจะปิดบังเจ้า เรื่องวันนี้ของอาซือ จริง ๆ แล้วข้าเองก็ทำไม่ถูกต้อง ในตอนที่สถานการณ์ของเถิงเอ๋อเข้าไปในวังยังไม่ชัดเจน ข้าไม่ควรที่จะดึงอาซือลงมาในน้ำเช่นนั้น”

ในขณะที่เจี่ยงฉีกำลังกล่าว นางก็ทนไม่ไหวตาจึงเริ่มแดงขึ้นมา หญิงสาวปิดหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ารีบร้อนเกินไป อีกทั้งข้าก็ไม่มีวิธี เจ้าก็น่าจะรู้ ข้ามีเพียงแค่เถิงเอ๋อร์ ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปได้เช่นไร”

“พี่ฉี ท่านพูดอะไรของท่าน” เหยาซูลุกขึ้นไปอยู่ข้างเจี่ยงฉี โอบกอดนางเบา ๆ และเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “สหายที่ดีมิเพียงแต่จะแบ่งปันความมั่งคั่งให้แก่กัน แต่ยังต้องแบ่งปันความทุกข์ด้วย ท่านมีปัญหา ข้าก็ต้องช่วยเหลือท่านอย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะนิสัยของอาซือ ถ้าท่านยิ่งปิดบังนาง นางก็จะคิดว่าท่านมีความบาดหมางกับตน”

เจี่ยงฉีที่ปิดหน้าเอาไว้ เมื่อจัดการกับอารมณ์ของตนเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ออกมาจากอ้อมแขนของหญิงสาว เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เอ้อเป่าเป็นเด็กดี ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าก็ล้วนขอบใจนาง”

เมื่อเห็นว่าเจี่ยงฉีระบายอารมณ์ได้พอสมควรแล้ว เหยาซูก็เอ่ยถามขึ้น “เรื่องของอาเถิงดูเหมือนว่าจะไม่ได้สบายเหมือนกับที่เขาพูด ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“องค์จักรพรรดิรับสั่งให้เขาหยุดงานหนึ่งเดือน” เจี่ยงฉีถอนหายใจอีกครั้ง “เดิมทีข้าไม่ต้องการให้เขาทำงานพวกนี้ อยากให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นคนธรรมดาที่มีความสามารถเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว ค้าขายก็นับว่าดี ถ้าทำกิจการเหมือนเจ้าก็ถือว่าดีมาก แต่เขาอยากทำกิจการก็เลยไปเป็นขุนนางฝ่ายการค้าเกลือ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าอาชีพนี้ไม่ได้จะเป็นง่าย ๆ เขาต้องทำแต่เรื่องเสี่ยง ๆ พวกนี้ มาตอนนี้องค์จักรพรรดิให้เขาหยุดงานเพื่อพิจารณาและทบทวนตนเอง”

เหยาซูพยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิด

หญิงสาวรักเจี่ยงเถิงมาก จับตามองสถานการณ์ของเจี่ยงเถิงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้เรื่องราวภายในพระราชวังก่อนเจี่ยงฉีอยู่บ้าง

เหยาซูยังรู้อีกว่าก่อนที่เจี่ยงเถิงจะถูกจักรพรรดิลงโทษ เขาได้เข้าไปสนทนาอะไรซักอย่างกับเซี่ยเชียน พอมองเข้าไปในเรื่องนี้แล้วก็ดูว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้น

เห็นได้ชัดว่าเขามีข้อตกลงบางอย่างกับเซี่ยเชียน

ภายในใจมีความคิดมากมาย เหยาซูไม่ได้กล่าวอะไรกับเจี่ยงฉีผู้ไม่รู้อะไร หญิงสาวเองก็อยากจะเป็นคนธรรมดาเช่นกัน ทว่ามันถูกกำหนดให้เป็นไปไม่ได้

นางจึงแค่กล่าวขึ้น “คนธรรมดานั้นดีนัก คนธรรมดานั้นต้องมาคอยกลัวคอยหวาดระแวงเหมือนเราเสียที่ไหน เมื่อท่านพูดอะไรที่องค์จักรพรรดิไม่พอพระทัย นั่นทำให้ท่านหัวขาดได้เลยเชียว ข้าคิดว่าเอ้อเป่าอยากจะแต่งงานกับคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ต้องเหมือนกับพวกเราที่ถูกกำแพงสูงขังเอาไว้ ทุกครั้งที่สามีเข้าไปในวัง ข้าล้วนเป็นกังวลเป็นอย่างมาก”

“นั่นน่ะสิ” เจี่ยงฉีเองก็เห็นด้วย “ว่าแต่เถิงเอ๋อเป็นขุนนางฝ่ายค้าเกลือก็ต้องทำงานของขุนนางฝ่ายค้าเกลือ เหตุใดจึงต้องมาเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท ข้ายังจำได้ว่าไม่นานมานี้เขายังเคยบอกกับข้าว่าองค์รัชทายาททำให้เขารู้สึกลำบากใจ เหตุใดตอนนี้พระองค์มีปัญหา เจี่ยงเถิงกลับไปกู้หน้าให้”

ยิ่งเจี่ยงฉีพูดขึ้นนางก็ยิ่งไม่สงบใจ “เจ้าว่า เถิงเอ๋อคงไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีใช่หรือไม่ หรือองค์รัชทายาทดึงเขาออกมารับโทษแทน?”

เหยาซูกลับไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ เมื่อพิจารณาจากความเข้าใจของนางที่มีต่อเจี่ยงเถิง คนธรรมดาที่ไหนจะมีอำนาจมาให้ร้ายเขา

คนอย่างเซี่ยเชียนไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เขาในฐานะรุ่นน้องต้องยากลำบาก ดังนั้นการจะทำอะไรสักอย่าง เขาต้องเป็นคนยินยอมเองทั้งหมด

“เรื่องนี้ข้าเองก็บอกไม่ได้ แต่กับองค์รัชทายาทแล้วข้าเองก็มีภาพจำอยู่บ้างเล็กน้อย คนอย่างเขาไม่ควรจะมีความคิดที่ลึกซึ้ง เพียงแต่ทุกครั้งเมื่อพบเอ้อเป่า เขาล้วนต้องการให้เอ้อเป่าเป็นพระชายาของพระองค์ เมื่อมองไปแล้วก็เป็นองค์รัชทายาทที่ไม่รู้เรื่องราวคนหนึ่ง” เหยาซูกล่าวพลางยิ้มเย็นชา

“องค์รัชทายาทเคยเอ่ยเรื่องเช่นนี้หรือ” เจี่ยงฉีอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา การคาดเดาภายในใจเองก็หายไปเช่นกัน “อาซือของพวกเรานั้นใครเห็นใครก็รักจริง ๆ องค์รัชทายาทเติบโตขึ้นมาจากในวัง เลยไม่เคยพบกับหญิงงามมาก่อน เมื่อพบเข้ากับเอ้อเป่าก็เลยหลงใหลเข้าเสียแล้ว”

เหยาซูถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นเพียงคำพูดพล่อย ๆ ของเด็ก แต่ว่าทุกครั้งที่พบกับเอ้อเป่าก็ล้วนเอ่ยเช่นนี้ ทำให้คนมากมายตรงบริเวณนั้นรู้สึกอึดอัด ถ้าหากมีคนเชื่อขึ้นมาจริง ๆ ข้าเองก็ไม่อยากให้เอ้อเป่าเข้าวัง”

“ไม่เป็นอะไร เจ้าวางใจเถอะ” เจี่ยงฉีปลอบโยนเหยาซู “องค์รัชทายาทอายุห่างจากอาซือเช่นนี้ ทุกคนที่ได้ยินก็จะคิดแค่เพียงว่าองค์รัชทายาทมองอาซือเป็นพี่สาว จะมีคนคิดจริงได้เช่นไรกัน?”

“ข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น” เหยาซูจงใจทำเป็นถอนหายใจด้วยความทุกข์

“อื้ม ไม่พูดเรื่องพวกนี้ละ เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ให้พวกเด็ก ๆ จัดการกันเองเถอะ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอาซือจะทำร้านค้า นางทำร้านอะไรหรือ?”

เจี่ยงฉีเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อจะได้ผ่อนคลายลงมาบ้าง

“เรื่องนั้นน่ะเหรอ” เหยาซูหัวเราะ “นางกับหรูปิงเปิดร้านขายหยก ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตมาก แต่ก็ถือว่าสมบูรณ์เลยทีเดียว อีกไม่นานก็น่าจะเปิดได้แล้ว ทั้งสองทำงานคล้าย ๆ กันเลย ใช่แล้ว อาเถิงเองมีส่วนช่วยเยอะมาก เอ้อเป่าพูดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา”

ด้านแรกเจี่ยงฉีดีใจกับหลินซือเป็นอย่างมาก อีกด้านก็ถอนหายใจออกมา “เถิงเอ๋อกลับไม่บอกอะไรกับข้าเลย อายุยิ่งมากขึ้นกลับไม่สนิทกับแม่แล้ว”

“เด็กผู้ชายน่ะ พอโตขึ้นก็เป็นเช่นนี้” เหยาซูกล่าวปลอบอยู่ไม่กี่ประโยค

ทั้งสองคนสนทนากันจากเรื่องร้าน ๆ เล็ก ๆ ของเหยาซู ไปจนถึงกิจการที่เหยาซูและเจี่ยงฉีทำกิจการร่วมกัน เมื่อทั้งสองหารือกันไปได้ช่วงหนึ่งก็ได้ลืมปัญหากวนใจเล็ก ๆ ภายในบ้าน

ในอีกด้านหนึ่ง

เจี่ยงเถิงวิ่งไปที่ห้องของหลินซือด้วยอาการหอบหายใจ เด็กหนุ่มจัดการทรงผมตนเองที่หน้าประตู หลังจากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งเพื่อลดอาการกระสับกระส่าย ก่อนที่จะยื่นมือไปเคาะประตู

“คุณชายเจี่ยง?”

อวิ๋นซิ่วที่กำลังเปิดประตูแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบกับชายหนุ่ม จึงรีบเปิดประตูให้เจี่ยงเถิงเข้าไป น้ำเสียงเขาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายเถิงมาหาคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ!”

เจี่ยงเถิงเดินเข้าไปในประตูห้องนอนช้า ๆ แล้วกล่าวขึ้นแผ่วเบา “อาซือ ข้าเข้าไปได้ไหม?”

หลินซือที่อยู่ข้างในกำลังวุ่นอยู่กับการจัดการตัวเองอยู่

เด็กสาวไข้ขึ้นและเหงื่อออกตลอดทั้งคืน เพียงแค่ล้างหน้าล้างตาลวก ๆ ในตอนเช้าเท่านั้น ถึงแม้ว่าสาวใช้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา หลินซือเองก็สัมผัสถึงกลิ่นตัวเปรี้ยว ๆ ภายใต้จิตสำนึกของตน

โดยเฉพาะทรงผมที่ยังไม่ได้ทำให้เรียบร้อย เสื้อผ้าที่ยับยุ่งเหยิง นี่มันใช่สภาพที่ควรจะให้ผู้อื่นเห็นหรือ

เจี่ยงเถิงที่ยืนอยู่หน้าประตู เป็นเวลาหนึ่งแล้วที่เด็กหนุ่มไม่ได้ยินเสียงขานตอบ ในใจของเขาก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความไม่สบายใจ “อาซือ เจ้ารู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่? หรือว่าไม่อยากพบหน้าข้า?”

เวลานั้นหลินซือกำลังก้มหน้าจัดการกับเสื้อผ้าของตน ส่วนสาวใช้ก็จัดการกับทรงผมของเด็กสาว

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินซือจึงได้รีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วตอบกลับ “ไม่ใช่!”

เนื่องจากเด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมาไวไป สาวใช้ตั้งตัวไม่ทันจึงเผลอดึงผมของนางออกมาสองสามเส้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

หลินซือไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องอะไรอีกแล้ว นางพียงแค่กลัวว่าเจี่ยงเถิงจะกลับไป จึงไม่ทำความสะอาดอะไรต่อแล้วยัดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เอ่ยขึ้นกับคนที่อยู่นอกประตู “เข้ามาสิ”

เจี่ยงเถิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และก็ผลักประตูเบา ๆ เข้าไปในห้อง เมื่อเดินไม่กี่ก้าวก็พบกับใบหน้าของเล็ก ๆ ของหลินซือโผล่ออกมาจากผ้าห่ม

ใบหน้าที่ขาวสะอาดของนางมีขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งผากไร้สี และดวงตาสีดำที่จ้องมองมาที่เขา

ในเวลาที่เจี่ยงเถิงจ้องมองหลินซือ หลินซือก็มองเด็กหนุ่มอยู่เช่นกัน

รอยคล้ำรอบดวงตาดูเข้มขึ้น ภายในดวงตาแดงก่ำ เมื่อมองดูแล้วคาดว่าเมื่อคืนคงจะไม่ได้พักผ่อน

หลินซือรู้สึกเสียใจที่เมื่อวานตนเองโกรธเด็กหนุ่ม จริง ๆ แล้วเรื่องราวภายในราชวังไม่ใช่เรื่องที่เจี่ยงเถิงจะควบคุมได้

พวกหลินซือล้วนอยู่นอกวังจึงไม่รู้ว่าแผนการคืออะไร การกระทำที่ประมาทเลินเล่ออาจจะทำให้ยุ่งยากกว่าเดิม เจี่ยงเถิงปิดบังพวกนางก็เพื่อที่จะปกป้องพวกเขาแท้ ๆ

แต่ความรู้สึกร้อนรนและไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลยนั้นช่างเป็นความรู้สึกที่แย่จริง ๆ

“เอ้อเป่า” เจี่ยงเถิงเรียกชื่อเด็กสาวเบา ๆ “ข้าขอโทษ”

“ข้าเองก็มีส่วนผิด” หลินซือเองก็รู้สึกละอายใจ “เวลานั้นข้าร้อนใจมาก จึงพูดอะไรออกมาโดยไม่คิด พี่อาเถิงอย่าใส่ใจเลย”

เจี่ยงเถิงอดไม่ไหวที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสกับใบหน้ารูปไข่ที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ภายในห้องยังมีสาวใช้คอยมองอยู่ จึงทำได้เพียงแค่ใช้หลังมือแตะหน้าผากของนางเท่านั้น กระทั่งผ่านไปสักพักเด็กหนุ่มก็กล่าวขึ้น “ไม่มีไข้แล้ว”

“จริง ๆ ไข้ลดไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว เพียงแต่ท่านแม่ค่อนข้างเป็นกังวลเท่านั้น”

หลินซืออยากจะลุกขึ้นยืนขยับตัวที่ปวดเมื่อย เพียงแต่เด็กหญิงกลัวว่าเจี่ยงเถิงจะเห็นสภาพที่เละเทะของตนเอง จึงทำได้แค่เพียงอยู่ในผ้าห่มเท่านั้น

“เหตุใดท่านตากฝนอยู่ในพระราชวังเป็นเวลานานขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็นไรเลย แต่ข้าแค่เสื้อผ้าเปียกเพียงเล็กน้อยกลับเป็นไข้เสียแล้ว”

หลินซือห่อตัวเองเป็นดักแด้หนึ่งตัวบนเตียง “สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม”

“เอ้อเป่า นี่น่าจะเป็นปัญหาของเจ้าเองนะ” เมื่อเห็นหลินซือขยับขยุกขยิกอยู่บนเตียง เจี่ยงเถิงก็เกือบจะหัวเราะออกมา ภายในน้ำเสียงของเด็กหนุ่มมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ “ท่านลุงหลินต้องการให้เจ้าเรียนมวยเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายเจ้าแข็งแรง แล้วตอนนั้นเจ้าพูดอะไรล่ะ?”

“ข้าลืมไปแล้ว” หลินซือยัดหัวตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ข้าไม่เห็นจะจำเรื่องพวกนี้ได้ ท่านต้องจำผิดแน่ ๆ”

หลินซือต้องจำได้อยู่แล้ว เมื่อปีนั้นในตอนเช้าที่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างหลินเหราก็ดึงตนเองออกมาจากเตียง

เมื่อตอนเด็กขณะที่นางกำลังหลับอยู่นั้น หลินซือจะปล่อยให้ตนเองถูกพ่อ ‘ปฏิบัติอย่างโหดร้าย’ ได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นต่อต้าน ร้องไห้กอดเสาเตียงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง และก็ไปฟ้องเหยาซูที่อยู่อีกด้าน

ในที่สุดหลินเหราก็หมดหนทาง ละทิ้งความคิดที่จะเลี้ยงนางให้เป็นแม่ทัพหญิง

นี่เป็นปีที่สามหลังจากที่เหยาชูและหลินเหราผละจากไป และเป็นวันที่สองหลังจากกลับมาบ้าน

หลังจากนั้น วันที่สามก็เดินทางไปอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะสวยงามเป็นอย่างมาก แต่หลินซือนึกถึงท่าทางหยอกเย้าของนางในวันนั้น เด็กสาวก็อดที่จะหน้าแดงขึ้นไม่ได้

มากไปกว่านั้นเจี่ยงเถิงยังมองเห็นแล้วนึกขึ้นได้ และยังหยอกล้อตัวเองอีกด้วย หลินซือทำตัวให้เล็กลงบนเตียง นางรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากใบหน้าของตน

เจี่ยงเถิงมองว่าหลินซือเหมือนกับเต่าตัวเล็ก ๆ ที่หดหัวกลับเข้าไปในกระดอง ต่อให้คนเรียกแค่ไหนก็ไม่ออกมา จึงทำได้แค่เพียงกลั้นหัวเราะไว้ เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดผ้าห่มส่วนหัวของหลินซือ และเกลี้ยกล่อมนางเบา ๆ “เอ้อเป่า มุดในผ้าห่มมันไม่ดีต่อร่างกายนะ รีบออกมาเร็วเข้า เมื่อครู่ข้าผิดเอง จริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีเรื่องอะไรแบบนั้น”

หลินซือถือผ้าห่มเอาไว้แล้วแอบมองเจี่ยงเถิงอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่นางไม่รู้ว่าในสายตาของคนอื่นนางดูราวกับว่ากำลังบ่นอยู่

เจี่ยงเถิงควบคุมลูกกระเดือกของตนไม่ได้ หลังจากที่รู้ตัวก็รีบก้มหน้าลงและกล่าวอย่างใจเย็น “เช่นนั้นอาซือพักผ่อนดี ๆ ข้ากลับก่อนนะ”

หลินซือรู้สึกเสียใจที่เจี่ยงเถิงกำลังจะจากไป แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะติดไข้ของตนไปหากอยู่นานเกินไป เด็กหญิงจึงทำได้แค่ยื่นมือออกมาแล้วโบกมืออย่างเชื่อฟัง “แล้วเจอกันนะพี่อาเถิง”

“เจอกันใหม่” เจี่ยงเถิงค่อย ๆ ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อเดินมาถึงประตู เจี่ยงเถิงยังรู้สึกถึงสายตาของหลินซือที่ยังคงจ้องมองตนอยู่จากด้านหลัง แผ่นหลังของเด็กหนุ่มพลันรู้สึกชาไปหมด

เจี่ยงเถิงเพิ่มความเร็วของฝีเท้า ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองหลินซือ กลัวว่าเมื่อได้เห็นนางแล้วจะตัดใจเดินจากไปไม่ได้

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดูแลกันและกันน่ารักมากเลยค่ะพี่เถิงอาซือ

ไหหม่า(海馬)