บทที่ 460 ออกทัศนาจร

บทที่ 460 ออกทัศนาจร

หลินซือตากฝนจนตัวเปียก ทำให้ถูกคุ้มครองตัวอยู่ในบ้าน ไม่ว่าที่ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไป ต้อง ‘รักษาตัว’ อยู่ที่บ้านของตัวเอง

“คุณหนู!” อวิ๋นซิ่วทนไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ยาที่ถือเอาไว้ในมือเกือบจะหกกระฉอก จึงรีบวางถ้วยยาไว้บนโต๊ะหินในลานบ้านและวิ่งเข้าไปที่ใต้ต้นหวายฉู่ ตะโกนขึ้นอย่างเร่งรีบ “คุณหนู ท่านขึ้นไปได้อย่างไรเจ้าคะ! รีบลงมาเถอะเจ้าค่ะ!”

“ชู่!” หลินซือยกมือส่งสัญญาณให้อวิ๋นซิ่วเงียบลง และนำลูกนกที่บาดเจ็บเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะลงจากต้นไม้ช้า ๆ ตามคำบอกของอวิ๋นซิ่ว

อวิ๋นซิ่วรีบเข้าไปจัดเสื้อผ้าที่ถูกต้นไม้เกี่ยวจนยุ่งเหยิงให้กับหลินซือ เมื่อสาวใช้จัดไปถึงบริเวณหน้าอกก็อุทานออกมาทันที นิ้วชี้ไปที่คราบเลือดบริเวณหน้าของหลินซือ เอ่ยขึ้นราวกับจะร้องไห้ “คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บ! เป็นเพราะข้าดูแลท่านไม่ดี เดี๋ยวข้าจะรีบไปตามหมอเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ!”

“เดี๋ยว! เดี๋ยว!” หลินซือดึงอวิ๋นซือที่ตื่นตระหนกเอาไว้ เด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่เลือดของข้า เจ้าดูสิ”

อวิ๋นซิ่วมองดูแขนของหลินซือที่ยื่นออกมา ในนั้นมีนกตัวน้อยที่อาการร่อแร่เต็มที่แล้วหนึ่งตัว

“แต่ยังไงก็ต้องไปหาหมอ ตัวข้าเองอาจจะช่วยมันไม่ได้”

หลินซือใช้นิ้วมือลูบหัวของนกตัวน้อยเบา ๆ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากมันเลยแม้แต่น้อย

อวิ๋นซิ่วพูดไม่ออก มองดูหลินซือที่ดูแลนกน้อยอย่างระมัดระวัง และออกไปตามหมอด้วยความเร่งรีบ

ผ่านไปพักใหญ่ ๆ หมอผู้ดูแลหลินซืออยู่บ่อยครั้งถลันเข้ามา ครั้นเห็นหลินซือที่กระฉับกระเฉงและนกน้อยในมือ ก็รู้สึกโกรธจนหนวดของตนกระตุก

“ท่านหมอ ท่านรีบดูมันหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หลินซือส่งนกน้อยไปให้ท่านหมอ ท่านหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ทักษะทางการแพทย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์

ท่านหมอมีฝีมือเยี่ยมยอด แต่กับร่างกายของนกหนึ่งตัวนั้น เขาเองก็ไร้ซึ่งหนทางจริง ๆ ท้ายที่สุดเขาจึงทำได้เพียงแค่ทายาลงบนบาดแผลของมัน และกล่าวกับหลินซือว่าปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต

หลินซือมีเวลาว่างจนเริ่มเบื่อ เด็กสาวจึงทุ่มเทแรงกายทั้งหมดใช้กับชีวิตน้อย ๆ นี้ ยามนอนก็วางไว้ข้าง ๆ หมอน และในที่สุดก็สามารถทำให้มันมีชีวิตต่อขึ้นมาได้จริง ๆ

……

ไป๋หรูปิงมองดูหลินซือที่กอบข้าวเอาไว้ในกำมือแล้วส่งให้เจ้านกน้อยกินด้วยความแปลกใจ “เอ้อเป่า นกตัวนี้สวยจัง”

“ใช่แล้ว แต่มันกลับไม่มองว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตมัน”

หลินซือเทข้าวในมือลงบนโต๊ะ เจ้านกน้อยก็กระโดดลงตามอาหารลงมาบนโต๊ะ ภายในใจของนางรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย

เมื่อไป๋หรูปิงมองดูเจ้านกก็รู้สึกได้ว่ามันพอใจเป็นอย่างมาก จึงยื่นมือไปลูบขนเจ้านกน้อยเบา ๆ “อาซือ อยากจะให้ข้าหากรงนกให้เจ้าหรือไม่?”

“ข้าไม่ต้องการกรงนก” หลินซือแหย่เข้าไปที่บริเวณท้องจนนกน้อยที่กำลังกินอาหารอยู่ตีลังกาไปหนึ่งครั้ง มันกระพือปีกด้วยความโกรธและทำท่าจะจิกนิ้วของหลินซือ “ข้าแค่ให้มันอยู่กับข้าในตอนที่ข้ารู้สึกเบื่อ ๆ ตอนนี้มันก็ดีขึ้นและไม่ต้องห้ามอะไรแล้ว วันข้างหน้าจะอยู่หรือไปก็แล้วแต่ความสุขของมันเถอะ”

ไป๋หรูปิงมองดูคนหนึ่งคนและนกหนึ่งตัวทะเลาะกัน ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “เอ้อเป่า เจ้าจะออกบ้านได้เมื่อใด มะรืนนี้แม่ของข้านัดกับท่านป้าว่าจะไปทะเลสาบด้วยกัน ตอนนี้ฤดูสารท ปูกำลังอร่อยพอดีเลย เจ้าจะไปหรือไม่?”

“ข้าต้องไปแน่นอน!” หลินซือถลึงตาโต ตบโต๊ะด้วยท่าทางแข็งขัน “ถ้าหากท่านแม่ของข้าไม่เห็นด้วยแล้วล่ะก็ ข้าจะ…”

“จะอะไร?” ไป๋หรูปิงอดหัวเราะไม่ได้

ท่าทางดุดันของหลินซืออ่อนลง และกล่าวขึ้นด้วยความเศร้า “ข้าก็จะอ้อนวอนนางน่ะสิ”

“ข้าบอกกับท่านแม่ให้ช่วยขอให้เจ้าแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรนะ” ไป๋หรูปิงเอ่ยปลอบ

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”

หลินซือไม่สามารถควบคุมจิตใจให้นึกถึงความอร่อยของปูได้ นางมีจิตใจอันแน่วแน่ที่จะเกลี้ยกล่อมให้แม่ปล่อยตนไป

พลังของอาหารรสเลิศนั้นมหาศาล ด้วยความแน่วแน่ของหลินซือ ในที่สุดเหยาซูก็ไม่สามารถต้านทานเด็กสาวไว้ได้ จึงต้องพาหลินซือจอมตะกละไปด้วย

จวนตระกูลเจี่ยง

ก่อนที่เจี่ยงฉีจะไปดูเจี่ยงเถิงที่ลานบ้าน ก็พบว่าเจี่ยงเถิงยังคงอ่านหนังสือโบราณที่หลินซือเป็นผู้ที่มอบให้เขา

“เถิงเอ๋อ เจ้าไม่ไปจริง ๆ หรือ?”

เจี่ยงเถิงส่ายหัว กล่าวกำชับขึ้น “ท่านแม่ ท่านต้องระมัดระวังอย่าตากลมนะขอรับ”

“เมื่อครู่มีข่าวมาจากฮูหยินไป๋ว่าอาซือเองก็ไปนะ”

ฝ่ามือเจี่ยงเถิงที่เปิดหนังสือชะงักไป เจี่ยงฉีคลี่ยิ้มขึ้นมาทันใด พลางกำชับกับสาวใช้ว่า “รีบไปเก็บของให้คุณชาย”

เจี่ยงเถิงวางหนังสือลง แล้วเดินตามหลังเจี่ยงฉีไป

“เถิงเอ๋อร์ แม่เองก็ดูออกแล้วว่าเจ้ารู้สึกกับอาซือไม่ใช่แค่พี่น้อง”

เมื่อขึ้นรถ เจี่ยงฉีก็เริ่มสนทนากับลูกชายไม่หยุด “ข้ามองว่าอาซือมีความฉลาดเฉียบแหลม เจ้าติดต่อกับเอ้อเป่าบ่อย ๆ ย่อมดี ในไม่ช้าเอ้อเป่าก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว หากเจ้าไม่ทำอะไร รอให้แม่สื่อแม่ชักมาเหยียบประตูจวนท่านแม่ทัพก่อนเถิดแล้วเจ้าจะเสียใจ”

“ท่านแม่” เจี่ยงเถิงหยุดคำพูดของเจี่ยงฉีอย่างช่วยไม่ได้ “เอ้อเป่ายังเด็ก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะสนทนาเรื่องพวกนี้ขอรับ”

“ยังเด็กยังเล็กอะไรกัน ถ้าเจ้ายังไม่ทำอะไร รอให้โตกว่านี้ก็คงจะไม่ใช่เจ้าแล้ว!”

เจี่ยงฉีจิ้มหน้าผากเจี่ยงเถิง หญิงสาวต้องการจะให้ลูกได้สิ่งที่ตนปรารถนา “เจ้าไม่ได้ยินหรือ แม้กระทั่งองค์รัชทายาทก็ยังชมชอบอาซือ เหตุใดเจ้าจึงใจเย็นเช่นนี้กัน”

เหตุใดเจี่ยงเถิงถึงยังใจเย็น ก็เพราะว่าเด็กหนุ่มมองออกว่าหลินซือเองก็รู้สึกเหมือนกันกับตน เพียงแต่ว่าเด็กสาวยังไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้ถ้ารู้ตัวด้วยตนเองจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเป็นคนบอก

เมื่อเห็นท่าทางของลูกชายที่สงบนิ่งมั่นคง เจี่ยงฉีก็ถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รถม้าค่อย ๆ หยุดลง ในขณะที่เจี่ยงเถิงกำลังประคองเจี่ยงฉีลงรถม้า เจียงฉีก็ยังรำพันขึ้น “ข้าเองไม่ขอให้เจ้าทำเรื่องอะไรมากมาย วันนี้แค่อยู่กับเอ้อเป่าให้มาก ๆ วันข้างหน้านาน ๆ ไปก็จะรักกันเอง”

“ข้ารู้แล้วขอรับท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว” เจี่ยงเถิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ช่วยไม่ได้ เมื่อหันกลับไปก็พบกับอาซือที่กำลังเดินมาด้านนี้จากไกล ๆ

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หลินซือก็ได้รับอนุญาตให้ออกมา เด็กสาวดีใจกว่านกที่ได้ออกมาจากกรงเสียอีก

ทัศนียภาพรอบข้างยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่หลินซือรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็ล้วนแปลกใหม่ไปหมด พาให้อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง

“อาซือ อย่าวิ่งไปไกลสิ” ไป๋หรูปิงหยุดหลินซือที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว และชี้ไปไกล ๆ “เจ้าดูสินั่นใคร”

หลินซือหันไปตามทางที่ไป๋หรูปิงชี้ไป และก็พบกับแววตาที่ยิ้มแย้มของเจี่ยงเถิง “พี่อาเถิง!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อาเถิงรู้ตัวดีว่าอาซือก็ชอบตัวเองเหมือนกันเลยไม่รีบร้อนสินะคะ

นึกถึงปูแล้วน้ำลายสอเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)