ตอนที่ 471 มีที่ไหนพาแม่ยายไปส่งเข้าสอบ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 471 มีที่ไหนพาแม่ยายไปส่งเข้าสอบ?

หลินเว่ยเว่ยโต้แย้งอย่างหนักแน่น “ทำแบบนั้นไม่ได้ ! หากใบหน้าของเจ้ามีรอยแผลเป็นขึ้นมาล่ะก็ เวลาสอบสัมภาษณ์จะมีผลต่อคะแนน ! หากเรื่องนี้ทำให้เจ้าต้องสูญเสียตำแหน่งจอหงวน (สอบหน้าพระที่นั่งได้อันดับหนึ่ง) ไป ข้าคงเสียดายแย่”

“สอบสัมภาษณ์ ? ” เจียงโม่หานมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มที่คล้ายกับไม่ยิ้ม

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้ารับ จากนั้นนางก็ขีด ๆ เขียน ๆ ลงสมุดบันทึกเล่มเล็กของนางต่อไป ปากก็ยังไม่วายเถียงแบบข้าง ๆ คู ๆ ว่า “เจ้าฟังผิดแล้ว ข้าพูดว่าการสอบหน้าพระที่นั่งต่างหาก ! เจ้าเป็นบัณฑิต ไม่ใช่จอมยุทธ์ หากมีหน้าตาที่เต็มไปด้วยบาดแผลและดูเหน็ดเหนื่อย เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้ตกพระทัยเอาหรือ ? ”

เจียงโม่หานกล่าวพลางหัวเราะเสียงเบา “เจ้ามีความมั่นใจในตัวข้าขนาดนั้นเชียวหรือ ? คิดว่าข้าจะสอบได้จอหงวนเลยทีเดียว ? ”

“ในใจของข้าเห็นเจ้าเก่งที่สุด ! ” หลินเว่ยเว่ยเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเป็นประกายงดงาม ต่อให้เขาสอบไม่ติดจอหงวน แต่เขาก็เก่งที่สุดในใจของนางเสมอ !

เจียงโม่หานลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน ส่วนเจ้าหงส์แดงที่อยู่ในอ้อมแขนของหลินเว่ยเว่ยก็ไม่ยอมพลาดโอกาสการมีตัวตน “เก่งที่สุด เจ้าเก่งที่สุดแล้ว ! ”

หลินเว่ยเว่ยจึงเอาเมล็ดถั่วให้มันเป็นรางวัล “กินถั่วของเจ้าไปเถิด ผู้ใหญ่คุยกัน นกน้อยอย่าพูดแทรก ! ”

พูดกันว่า ‘ฝนตกทำให้เย็นชุ่มฉ่ำ’ หลังจากฝนตกติดต่อกันถึงสองครั้ง ในที่สุดอากาศก็เย็นสบายเสียที ทำให้ตลอดการเดินทางกลับทั้งสองวันนี้ไม่ได้ลำบากเหมือนขามาอีกแล้ว

และเนื่องจากช่วงวันไหว้พระจันทร์ที่ผ่านมา บัณฑิตเหล่านี้ได้แต่เฉลิมฉลองอย่างเงียบ ๆ ในห้องพักที่สนามสอบ พอกลับถึงบ้านแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงตั้งใจว่าจะจัดงานเฉลิมฉลองชดเชยให้แก่พวกเขา เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นหนึ่งในเทศกาลที่ทำให้คนในครอบครัวได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน และด้วยคำขอของนักกินตัวน้อยอย่างเจ้าหนูน้อย หลินเว่ยเว่ยจึงทำขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายรสชาติ

หลังจากที่กินมื้อค่ำเฉลิมฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ย้อนหลังแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “นี่อาจเป็นเทศกาลที่สามารถรวมตัวกันครั้งสุดท้ายของปีนี้…”

เจ้าหนูน้อยที่แทะซี่โครงแกะอบจือหราน (ยี่หร่า) ก็ยกศีรษะขึ้นเหมือนแมวตัวน้อยพลางถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดหรือ ? เรายังมีเทศกาลปีใหม่อีกไม่ใช่หรือพี่ีรอง ? ”

หลินเว่ยเว่ยเอาผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดปากให้แมวน้อยเอ้อร์ฮว๋า ก่อนจะลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยนแล้วจงใจเอ่ยเสียงเศร้า “พี่รองของเจ้าต้องไปเป็นเพื่อนพี่โม่หานสอบที่เมืองหลวง ปีใหม่นี้คงอยู่ฉลองกับพวกเจ้าไม่ได้แล้ว ! ”

เฮอะ น้ำเสียงของเจ้าแฝงไปด้วยความดีใจและตื่นเต้นขนาดนั้น คิดว่าจะปิดบังคนอื่นได้หรือ ?

เจ้าหนูน้อยเลียริมฝีปากแล้วถามอย่างไร้เดียงสา “เช่นนั้นพวกเราทั้งครอบครัวก็ไปเป็นเพื่อนพี่โม่หานสอบที่เมืองหลวงเลยสิ แบบนี้เราก็จะได้ฉลองสิ้นปีพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ? ”

“จริงด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยปรบมือดังลั่น “ท่านแม่ น้าเฝิง พวกเราทั้งครอบครัวย้ายไปที่เมืองหลวงเลยดีหรือไม่เจ้าคะ ? ด้วยความสามารถของบัณฑิตน้อยแล้ว ข้าคิดว่าเขาจะต้องมีชื่อติดอยู่ในป้ายประกาศรอบฮุ่ยซื่อแน่นอน ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่สอบได้สามอันดับแรกต้องอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ไม่ช้าก็เร็วเราต้องย้ายไปที่เมืองหลวงอยู่ดี ! ”

นางหวงมองค้อนบุตรสาวพลางกล่าวว่า “เด็กคนนี้ นึกอยากจะไปไหนก็ไป แม่เคยได้ยินแต่พาภรรยา บุตรและพ่อแม่ของตนไปเป็นเพื่อนเข้าสอบ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครพาแม่ยายไปส่งเข้าสอบด้วย ! เจ้านี่นะ ต่อไปนี้เวลาจะพูดอะไรก็คิดให้มากหน่อย จะได้ไม่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเอาได้ ! ”

น้าเฝิงหัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าความคิดของเสี่ยวเว่ยไม่เลว หมู่บ้านฉือหลี่โกวแห่งนี้เป็นเพียงสถานที่ให้พวกเราตั้งรกรากชั่วคราว ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเรา ในเมื่อไม่ได้เกิดที่นี่ก็ใช่ว่าจะย้ายออกไม่ได้ อายุอานามอย่างพวกเราย่อมต้องย้ายที่อยู่ตามลูกหลาน”

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ นางหวงสนิทสนมกับนางเฝิงราวกับเป็นสหายรู้ใจกันมานาน พอได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองค้อนนางเฝิงอีกคน “เจ้าก็เออออไปกับพวกเด็ก ๆ อีกคน เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเมืองหลวงเป็นสถานที่แบบใด ? ที่นั่นมีแต่การแย่งชิงที่ดินและทรัพย์สินเงินทอง ราคาสินค้าก็สูงจนน่าใจหาย ในหมู่บ้านฉือหลี่โกวของพวกเรา อย่างน้อยก็ยังพอมีเงินเก็บบ้าง เราจะทำตามความต้องการทุกอย่างของลูก ๆ ไม่ได้”

นางหวงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หากพวกเราย้ายไปเมืองหลวงทั้งหมด สองครอบครัวจะพึ่งพาได้เพียงเงินเดือนของหานเอ๋อร์ที่มีแค่เล็กน้อย สุดท้ายพวกเราก็จะกลายเป็นภาระให้พวกลูก ๆ ”

หลินเว่ยเว่ยได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้นก็รีบพูด “โกดังที่ท่าเรือยังมีรายได้อยู่บ้างทุกเดือน อีกทั้งร้านค้าที่เราสร้างขึ้นในเขตอวี้อันยังปล่อยเช่าได้ นอกจากนี้ข้ายังมีเงินปันผลที่ได้จากร้าน ‘หนิงจี้’ ทุกสิ้นปีเจ้าค่ะ”

นางหวงคิดแล้วก็ยังยืนกรานที่จะปฏิเสธ “ตอนนี้เป็นช่วงที่ยุ่งกับการทำผลไม้อบแห้งมากที่สุด เพราะอีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวเมล็ดทานตะวันที่เจ้าให้ชาวบ้านปลูกแล้ว เจ้าเขียนสูตรการคั่วเมล็ดไว้หลายสูตรไม่ใช่หรือ ? ทางโรงงานแปรรูปได้เพิ่มรายการแปรรูปเมล็ดแตง เมล็ดทานตะวันไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนคอยดูแล…”

ในความคิดของนางคือต่อให้ภายภาคหน้าต้องย้ายไปอยู่เมืองหลวงจริง ๆ ก็ยังไม่ใช่เวลานี้ เพราะทุกกิจการในครอบครัวล้วนเป็นเงินเป็นทอง ! แม้จะบอกว่าในครอบครัวมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพอซื้อบ้านในเมืองหลวงหรือเปล่า หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วนางจึงคิดว่าการอยู่ที่บ้านคอยดูแลกิจการของครอบครัวให้ลูก ๆ ย่อมดีกว่า

หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เราสามารถไปเปิดกิจการสร้างกำไรพวกนี้ที่เมืองหลวงได้เจ้าค่ะ ! มันก็ไม่แน่หรอกท่านแม่ ตลาดที่เมืองหลวงใหญ่กว่า โอกาสทำเงินก็ย่อมมากกว่าเช่นกัน ! ”

นางเฝิงก็ถูกนางหวงลากมาข้างกายด้วยความจนใจ นางจึงมองบุตรชายและว่าที่ลูกสะใภ้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น…เจ้ากับหานเอ๋อร์ไปลองสำรวจที่เมืองหลวงดูก่อน รอให้กิจการทางด้านนี้มั่นคงแล้วค่อยมารับข้ากับพี่สะใภ้หวงก็ยังไม่สาย ! อย่างไรก็ต้องมีเวลาให้พวกเราเตรียมตัวเก็บข้าวของกันก่อนไม่ใช่หรือ ? ”

หลินจื่อเหยียนได้ยินบทสนทนาของพวกนางก็อดกล่าวไม่ได้ “ยังไม่ทันประกาศรายชื่อระดับเซียงซื่อเลย พวกท่านก็ปรึกษาหารือกันเรื่องย้ายไปเมืองหลวงแล้ว มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือขอรับ ? ”

หลินเว่ยเว่ยทำเสียงไม่พอใจพลางกล่าวว่า “คิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเจ้าหรือไร ? ขนาดสอบบัณฑิตซิ่วไฉยังได้อันดับรั้งท้าย บัณฑิตน้อยของข้าเป็นถึงอั้นโฉ่วในระดับเยวี่ยนซื่อ เขาจะต้องมีชื่อติดอันดับในการสอบเซียงซื่อแน่นอน”

หลินจื่อเหยียนได้ยินแบบนั้นก็หันไปฟ้องนางหวง “ท่านแม่ขอรับ ท่านดูพี่รองสิ ยังไม่ทันแต่งเข้าตระกูลเจียงก็ผลักไสข้าผู้เป็นน้องชายแท้ ๆ เสียแล้ว นางอยากจะชื่นชมยกยอพี่เขยรองก็ทำไปสิ เหตุใดต้องเอาข้าไปเปรียบกับเขาด้วย บุตรชายของท่านโดนนางทำร้ายจิตใจจนอ่อนระทวยไปหมดแล้วขอรับ ! ”

นางหวงได้ยินบุตรชายพูดเช่นนี้ก็ไม่ยืนข้างเขาสักนิด นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้ามีความสามารถมากพอ ผู้อื่นก็จะหมดโอกาสเหยียบย่ำเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องขยันหมั่นเพียรให้มาก ถึงจะได้รับคำชื่นชม ! ”

วันเวลาค่อยๆ ผ่านไปท่ามกลางบรรยากาศแสนสุขของคนในครอบครัว ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงฤดูกาลที่ตระกูลหลินและคนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวยุ่งที่สุด

เพราะบรรดาลูกท้อ ผลซิ่ง ลูกหยี ผลซานจา…ต่างทยอยสุกงอม หากไม่เก็บเกี่ยวให้ทันเวลาก็มีแต่จะเน่าเสียให้นึกเสียดาย

ในยามนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงวัยกลางคนหรือสตรีวัยแรกแย้มของหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็ล้วนพากันขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่า แม้แต่เด็กน้อยอายุ 7-8 ขวบและคนแก่ที่ยังมีร่างกายแข็งแรงก็ไม่ยอมอยู่ว่างเช่นกัน นั่นเป็นเพราะตระกูลหลินรับซื้อผลไม้เหล่านี้อย่างไม่จำกัด อีกทั้งยังให้ราคายุติธรรม ส่งผลให้ตลอดช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้แต่ละครอบครัวมีรายได้เข้ากระเป๋าอยู่หลายตำลึงเงิน

ตระกูลหลินก็ขยายฐานการผลิตผลไม้อบแห้งและพวกเมล็ดแตงโดยการซื้อหม้อและเตาเพิ่ม จากนั้นก็จ้างสตรีวัยกลางคนที่ดูสะอาดสะอ้านอีก 7-8 คนมาทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

เหล่าบุรุษในหมู่บ้านฉือหลี่โกวยิ่งมีความขยันขันแข็งมากกว่า ปีนี้โรงงานแปรรูปเมล็ดสนได้กลายเป็นของหมู่บ้านแล้ว เมล็ดสนที่พวกเขาเก็บมาได้จะผ่านการแปรรูปที่โรงงานนี้แล้วส่งไปขายยังหลายเมือง ขนาดที่ว่าเหล่าพ่อค้าจากเมืองหลวงก็ยังมาสั่งจองผลิตภัณฑ์แปรรูปของหมู่บ้านฉือหลี่โกวตั้งแต่ยังผลิตไม่เสร็จด้วยซ้ำ !

เมื่อปีที่แล้ว ลำพังแค่การขายวัตถุดิบอย่างเมล็ดสนกะเทาะเปลือกก็ทำให้แต่ละครอบครัวมีเงินเข้ากระเป๋าหลายสิบตำลึง ปีนี้ได้ขายผลิตภัณฑ์แปรรูปจึงทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากหักเงินปันผลให้แก่ตระกูลหลินแล้วแต่ละครอบครัวก็มีรายได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน…