ตอนที่ 472 ว่าที่ภรรยามักคิดว่าเขาอ่อนแอ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 472 ว่าที่ภรรยามักคิดว่าเขาอ่อนแอ

เมื่อก่อน ต่อให้พวกเขาจะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งปีก็ยังทำเงินได้แค่ไม่กี่ตำลึง แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกันแล้วคนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวต่างรู้สึกว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ตอนนี้คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวเข้าป่าแบบไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย กิจกรรมของพวกเขาส่วนใหญ่จะอยู่ในอาณาเขตของจ่าฝูงหมาป่าเจ้าเทา บางส่วนจะอยู่ในอาณาเขตของสองแม่ลูกหมีควายที่โดนนางหนูรองตีจนกลัว สัตว์ป่าสองสายพันธุ์นี้ล้วนคุ้นเคยกับกลิ่นของชาวฉือหลี่โกว ต่อให้พบเจอพวกมันก็เพียงสบตากันเล็กน้อยและรู้ว่าต่างฝ่ายควรทำอย่างไร

คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็เคยพยายามลองเปิดพื้นที่บนภูเขาใหม่เช่นกัน แต่ทุกครั้งจะมีอินทรีทองอย่างเจ้าต้าจินคอยบินตรวจตราอยู่บนน่านฟ้า เมื่อมันพบเจอสัตว์ร้ายที่ชาวบ้านยากจะรับมือไหว มันก็จะส่งเสียงเตือนพวกเขาขึ้นมา

เมื่อก่อน หมูป่าบนภูเขามีเป็นฝูง แต่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกมันถูุกหลินเว่ยเว่ยจัดการจนเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนพวกสุนัขจิ้งจอก เสือดาว เสือโคร่งก็ล้วนเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้น้อยมาก ชาวบ้านสามารถรับมือได้ ขอแค่ให้บุรุษร่างกายแข็งแรงในหมู่บ้านรวมพลังกันแล้วก็จัดการพวกมันได้อย่างสบาย ดังนั้นพวกมันจึงทำได้เพียงเดินเลี่ยงเส้นทางภูเขาลูกนี้ ชาวฉือหลี่โกวจึงเปรียบเสมือนปลาได้น้ำในยามที่เดินขึ้นเขา พวกเขาสามารถเก็บของป่าได้อย่างสบายใจและปลอดภัยหายห่วง

ทุกครั้งที่หลินเว่ยเว่ยขึ้นเขาก็มักจะเอาเมล็ดพันธุ์หรือต้นอ่อนของผลไม้ที่มีรสชาติดีเข้าไปปลูกไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณของนาง ต่อให้ในอนาคตต้องไปจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวจริง ๆ นางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ผลไม้กิน !

ตอนนี้พื้นที่ในมิติน้ำพุวิญญาณของนางขยายใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า หากต้องการปลูกผลไม้หลายร้อยต้นล้อมรอบที่ดินหนึ่งร้อยหมู่ย่อมไม่ใช่ปัญหา !

นอกจากนี้นางยังจับสัตว์ป่ามาบางส่วนแล้วนำไปเลี้ยงไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณ เพราะหากในอนาคตย้ายไปเมืองหลวงแล้วต้องการกินเนื้อสัตว์ป่าคงไม่ง่ายเหมือนตอนอยู่ที่หมู่บ้านฉือหลี่โกว ต้องกันไว้ดีกว่าแก้…

ไม่เพียงผลไม้ป่าบนภูเขาเท่านั้น นางยังให้หลิวว่ายจื่อไปรอบ ๆ เมืองหลายแห่งเพื่อหาซื้อเมล็ดผลไม้และเมล็ดแตง ดังนั้นในมิติน้ำพุของนางจึงมีสตรอเบอร์รี่และเชอร์รี่ที่นางชื่นชอบในชาติที่แล้ว แต่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อกิน

วันเวลาผ่านไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ล่วงเลยมาถึงช่วงปลายเดือนแปด แต่ผู้มาแจ้งข่าวดีกลับไม่โผล่มาให้เห็นสักคน หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงเริ่มเกิดความร้อนใจ…คงไม่มีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลหรือมีคนสอบได้คะแนนดีกว่าบัณฑิตน้อยใช่หรือเปล่า ?

แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยคิดเรื่องที่เจียงโม่หานจะสอบไม่ผ่าน เพราะนางมั่นใจในตัวบัณฑิตน้อย ! แต่ถึงอย่างไรบัณฑิตน้อยของนางก็เป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาที่อยู่ห่างไกล ไร้อำนาจ ไร้อิทธิพลและผู้หนุนหลัง ย่อมถูกโกงได้ง่าย

“หรือไม่ก็…ให้คุณชายหนิงไปถามไถ่ข่าวคราวที่เมืองเหอโจวดีหรือเปล่า ? หากผู้แจ้งข่าวไม่มาวันหนึ่ง ใจของข้าก็ไม่อาจสงบลงได้ ! ” หากมีผู้ใดไม่ดูตาม้าตาเรือมาโกงรายชื่อบัณฑิตน้อยของนางจริง ๆ นางก็จะอาศัยช่วงที่หมินอ๋องซื่อจื่อยังไม่กลับเมืองหลวงแล้วบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ หมินอ๋องซื่อจื่อน่าจะเห็นแก่ป้ายหยกกิเลนแล้วช่วยพวกนางทวงถามความยุติธรรม !

หลังจากที่เจียงโม่หานรู้ความคิดของนางแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน “ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่บัณฑิตหยวนยังอยู่ทางเหนือเลย ลำพังแค่ใต้เท้าโหยวเจ้าเมืองเหอโจวก็เป็นผู้ที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์ ไม่เคยคดโกงอยู่แล้ว บางทีเมืองอื่นอาจมีเรื่องทุจริต แต่ข้าเชื่อว่าไม่มีทางเกิดขึ้นในเมืองเหอโจวแน่นอน ! ”

“เช่นนั้น…พวกเราเขียนจดหมายไปถามโหยวต๋าดีหรือเปล่า ?…อย่างมากข้าก็แค่ไปจับอินทรีทองในพื้นที่ชายแดนทางเหนือมาให้เขาสักตัว ถือเป็นสินน้ำใจ ! ” โหยวต๋าผู้นี้อยากได้อินทรีทองของนางมาโดยตลอด แต่เจ้าต้าจินเป็นสัตว์มงคลของหมู่บ้านฉือหลี่โกว ตอนนี้คนในหมู่บ้านสามารถเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ได้โดยไม่ถูกคุกคาม นั่นก็เพราะสัตว์ตัวอื่นหวาดกลัวต้าจิน ! อย่างไรนางก็ไม่อาจยกต้าจินให้เด็กน้อยผู้นั้นได้ !

เจียงโม่หานกล่าวด้วยความเอ็นดู “กว่าจดหมายของเจ้าจะไปถึงและถูกตอบกลับ ก็เกรงว่าจะล่าช้าเกินไป พอถึงตอนนั้นผู้รายงานข่าวดีอาจมาถึงก่อนด้วยซ้ำ ไม่ต้องร้อนใจ เมืองที่มีขนาดเล็กมักจะประกาศรายชื่อออกมาในช่วงต้นเดือนเก้า…ส่วนเมืองเหอโหวนั้น ข้าคิดว่าช้าสุดก็น่าจะกลางเดือนเก้า”

หลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้นก็ตระหนักได้ว่ายังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน นางจึงมองค้อนว่าที่สามีของตน “เหตุใดไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ? ปล่อยให้ข้าร้อนใจเก้อ ! ”

หลายวันต่อมา นางก็ไม่วิ่งวุ่นไปไหนแล้ว นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการเก็บของ เพราะถึงอย่างไรการเดินทางไปเมืองหลวงต้องใช้เวลานับเดือน อาหารการกินและเสื้อผ้าต้องพร้อม…ต้องเตรียมทุกอย่างไปให้ครบ ว่าที่สามีของนางเป็นบัณฑิตร่างกายบอบบาง เขาจะทนต่อการเดินทางแสนทรหดได้หรือไม่ ?

เจียงโม่หานที่พอจะเดาความคิดนางออกก็ได้แต่หมดคำพูด “…”

ว่าที่ภรรยามักคิดว่าเขาอ่อนแอ ดูแลตัวเองไม่ได้ ? รอก่อนเถิดกู่เหนียงตัวน้อย…

ในที่สุดก็ถึงวันที่สิบของเดือนเก้า ข่าวดีที่หลินเว่ยเว่ยรอคอยมาโดยตลอดก็มาเยือนเสียที

วันนี้โก่วเชิ่งเอ๋อร์ผู้ที่เจ้าหนูน้อยไหว้วานให้ช่วยดูแลคอกกระต่ายก็ได้แบกกระบุงใส่หญ้าสดพลางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในลานบ้านตระกูลหลิน ปากก็ร้องตะโกนว่า “พี่รองหลิน พี่รองหลิน ! มีคนควบม้าเข้ามาทางหมู่บ้านของเราแล้ว ! ”

เขาเกี่ยวหญ้าอยู่กับมู่เกินเอ๋อร์จึงได้เห็นว่ามีคนกำลังขี่ม้าทะยานเข้ามาตามเส้นทางภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้บอกพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นคนขี่ม้าหรือนั่งรถม้าก็ล้วนมาที่บ้านตระกูลหลิน เด็กน้อยจึงรีบวิ่งมารายงานข่าวให้หลินเว่ยเว่ยรับรู้

หลินเว่ยเว่ยรีบล้างมือแล้วเรียกบัณฑิตน้อยที่กำลังวาดรูปออกมาด้านนอก “บัณฑิตน้อย ! เจ้าไปดูสิว่าใช่เจ้าหน้าที่ทางการมาแจ้งข่าวดีหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานยังคงไร้ท่าทีใด ๆ หลังจากวาดลายเส้นสุดท้ายเสร็จแล้วเขายังยิ้มให้ภาพวาดของตนพลางกล่าวกับนางว่า “สงบใจลงบ้างเถิด หากเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการจริง ๆ ประเดี๋ยวเขาก็มาที่บ้านพวกเราเอง”

ในเวลานี้เจ้าหน้าที่ทางการบนหลังอาชาตัวสูงใหญ่ก็ได้มาหยุดอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านและถามเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ว่า “เด็กน้อย รู้หรือไม่ว่าบ้านของบัณฑิตเจียง เจียงโม่หานอยู่ที่ใด ? ”

เสี่ยวหนี่ชิวเช็ดจมูกพลางย้อนถาม “มาหาพี่โม่หานหรือ ? เข้าหมู่บ้านไปแล้วอยู่บ้านหลังที่สอ…”

เสี่ยวโต้วติงหนึ่งในเด็กกลุ่มนี้แย้งว่า “ไม่ใช่ บ้านหลังแรกต่างหาก ! บ้านหลังที่สองคือบ้านของพี่รองหลิน ! ! ”

เสี่ยวหนี่ชิวหันไปส่งสายตาดูแคลนให้อีกฝ่าย “พี่โม่หานแค่อาศัยบ้านของตนเป็นที่หลับนอนในยามกลางคืนเท่านั้น เวลาที่เหลือก็มักจะอยู่ที่บ้านของพี่รองหลิน หรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ ? ”

“แต่เขาถามถึงบ้านพี่โม่หาน ! เห็นกันอยู่ว่าบ้านตระกูลเจียงอยู่หลังแรก ! ข้าไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย ! ” เสี่ยวโต้วติงมุ่ยปากอย่างหงุดหงิด

เสี่ยวหนี่ชิวเห็นแบบนั้นก็ทำเสียงไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “เขามาหาพี่โม่หาน ต่อให้ไปหาที่บ้านในเวลานี้ก็ไม่เจอหรอก ดังนั้นเขาจึงต้องไปบ้านหลังที่สองอย่างไรเล่า…”

เจ้าหน้าที่ทางการฟังเด็กน้อยถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบ เขาจึงพูดตัดบท “เช่นนั้น…สรุปว่าข้าต้องไปบ้านหลังแรกหรือหลังที่สอง ? ”

มู่เกินเอ๋อร์ที่แบกกระบุงใส่หญ้ากระต่ายเดินผ่านมา พอเห็นคนแปลกหน้าผู้นี้จึงเอ่ยถามอย่างระแวดระวังว่า “ท่านมีธุระใดกับเจียงอั้นโฉ่ว ? ”

เจ้าหน้าที่กล่าวด้วยน้ำเสียงปนรำคาญ “ยังมีเรื่องใดอีก ? ก็ข่าวดีไงเล่า ! รีบพาข้าไปพบเจียงเจี้ยหยวน (ผู้สอบเซียงซื่อได้อันดับหนึ่ง) เถิด ! ”

มู่เกินเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ พอได้ยินข่าวดีนี้แล้วเขาก็รีบกล่าวว่า “เจียงอั้นโฉ่วสอบติดจู่เหริน ( สอบผ่านเซียงซื่อ ) ใช่หรือไม่…ท่านคือผู้มาแจ้งข่าวดีใช่หรือเปล่า ? ”

ตั้งแต่เจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนกลับมาจากเหอโจว คนในหมู่บ้านก็เอาแต่พูดถึงเรื่องของทั้งสอง เวลาที่ทั้งสองพบเจอคนในหมู่บ้านก็มักจะถูกถามไถ่อย่างอบอุ่นว่าสอบเป็นอย่างไรบ้าง ? ในหมู่บ้านจะมีบัณฑิตจู่เหรินสองคนหรือเปล่า…ดังนั้นเด็ก ๆ ในหมู่บ้านจึงพลอยรู้เรื่องของผู้มารายงานข่าว

มู่เกินเอ๋อร์กล่าวกับเจ้าหน้าที่ทางการว่า “ท่านตามข้ามาเถิด ข้าจะพาท่านไปหาเจียงอั้นโฉ่ว…ไม่สิ ต้องเรียกว่าเจียงจู่เหรินต่างหาก ! ”

เจ้าหน้าที่ควบม้าตามมู่เกินเอ๋อร์ไป กระทั่งมาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลหลินและยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก มู่เกินเอ๋อร์ก็ชิงตะโกนขึ้นมาว่า “พี่โม่หาน พี่รองหลิน ผู้แจ้งข่าวดีมาแล้ว ! พี่โม่หานสอบได้บัณฑิตจู่เหรินแล้ว ! ”