ตอนที่ 473 ข้าไม่มีรายชื่อแล้วเหตุใดยังต้องแบกรับเรื่องพวกนี้

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 473 ข้าไม่มีรายชื่อแล้วเหตุใดยังต้องแบกรับเรื่องพวกนี้

พอเข้าประตูมาแล้วมู่เกินเอ๋อร์ก็เห็นหลินจื่อเหยียนยืนอยู่กลางลานบ้าน…เอ่อ…เมื่อครู่ตื่นเต้นเกินไปหน่อยจึงลืมถามว่าพี่ชายของเอ้อร์ฮว๋าสอบผ่านหรือเปล่า

แม่ซัวถัวผู้รับผิดชอบทำเนื้อแผ่นได้ยินแบบนั้นก็รีบหันไปแสดงความยินดีกับนางเฝิง “ยินดีด้วย ยินดีด้วย ! ตระกูลเจียงมีขุนนางแล้ว ! น้องเฝิงอบรมสั่งสอนบุตรได้ดียิ่งนัก ! ”

เจ้าหน้าที่ผู้มาแจ้งข่าวก็ถูกแย่งหน้าที่ไปเสียดื้อ ๆ และไม่เพียงเท่านั้น จู่ ๆ ก็มีกลุ่มสตรีน้อยใหญ่ในลานบ้านแห่กันมาเอ่ยแสดงความยินดีอย่างพร้อมเพรียง ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแทรกเลย

ในเวลานี้ เจียงโม่หานจึงได้วางพู่กันลงแล้วออกมาจากศาลาเถาหราน แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะไม่เคยเห็นหน้าตาของเจียงเจี้ยหยวนมาก่อน ทว่าด้วยบุคลิกของเจียงโม่หานก็ทำให้เจ้าหน้าที่มั่นใจได้ทันทีว่านี่คือเป้าหมายของการมาแจ้งข่าวดี เขาจึงเดินอ้อมเหล่าสตรีน้อยใหญ่ไปตรงเบื้องหน้าเจียงโม่หานแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ยินดีกับเจี้ยหยวน ท่านสอบได้คะแนนสูงสุดในการสอบเซียงซื่อประจำเมืองเหอโจวและจงโจว ! ”

หลินเว่ยเว่ยเอาซองแดงที่เตรียมไว้แต่แรกมายัดใส่มือเจ้าหน้าที่คนนี้ “ลำบากท่านเจ้าหน้าที่แล้ว ท่านเหนื่อยหรือไม่ ? นั่งพักแล้วดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเถิด…”

เจ้าหน้าที่ทางการแอบบีบซองแดงเบา ๆ เขาพอใจกับความนูนของซองแดงมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้มาเสียเที่ยว เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่รบกวนดีกว่า ข้าต้องไปแจ้งข่าวดีที่เขตอันผิงใกล้ ๆ นี้อีก ! ”

“เขตอันผิง ? ใช่ตระกูลเผิงที่อยู่รอบนอกของเขตอันผิงหรือไม่ ? ” พี่สาวคนโตหันไปมองเจ้าหน้าที่ด้วยความคาดหวัง สองมือของนางจับกันไว้แน่น

เจ้าหน้าที่พยักหน้าพลางกล่าวว่า “จู่เหรินผู้นั้นแซ่เผิง มีนามว่า หยูเหยี่ยน…”

พี่สาวคนโตได้ยินเช่นนั้นก็เอามือป้องปาก น้ำตารื้นออกมาด้วยความซาบซึ้ง นางคาดไม่ถึงเลยว่าหนอนหนังสือเช่นเขาจะสร้างเรื่องประหลาดใจให้ถึงเพียงนี้ เขาสอบได้บัณฑิตจู่เหรินแล้ว นางพลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต นึกถึงความก้าวหน้าและความขยันขันแข็งของคู่หมั้นหนุ่ม ในใจของนางรู้สึกสงสารเขายิ่งนัก ยังดีที่ความทุ่มเทของเขาได้รับผลตอบแทนแล้ว…

พี่สาวคนโตกลับเข้าห้องมาเอากระเป๋าเงินแล้วยัดเงินใส่มือเจ้าหน้าที่ ทำเอาเจ้าหน้าที่ถึงขั้นตกตะลึง…นี่หมายความว่าอะไร ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าครอบครัวเดียวจะมอบสินน้ำใจในการแจ้งข่าวดีให้ถึงสองชุด

เหล่าสตรีวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังของเขาจึงช่วยขจัดความข้องใจให้ “เผิงจู่เหรินจากเขตอันผิงคือคู่หมั้นของนาง ดูสิ นางดีใจจนน้ำตาไหล ! ”

หญิงวัยกลางคนอีกคนกล่าวว่า “บุตรสาวสองคนของตระกูลหลินล้วนเป็นผู้ที่มีวาสนาทั้งนั้น พวกนางได้หมั้นหมายกับจู่เหริน…ไม่แน่ว่าในอนาคตพวกนางอาจได้เป็นฮูหยินขุนนางใหญ่เลยก็ได้ ! ”

เจ้าหน้าที่ทางการได้ยินดังนั้นก็อดทึ่งไม่ได้…กู่เหนียงทั้งสองคนนี้ช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก ? เพราะพวกนางได้คู่หมั้นที่สอบติดจู่เหริน มองจากจำนวนผู้ที่ติดอันดับทั้งหมดสามคนในเขตพื้นที่ป่าเขาแบบนี้ อืม ต่อให้มีชาติกำเนิดดีเพียงใดก็ยังไม่สู้แต่งกับคนดี ๆ กู่เหนียงทั้งสองคนนี้มีวาสนายิ่งนัก !

เจ้าหน้าที่จึงหันไปกล่าวแสดงความยินดีกับบัณฑิตเจี้ยหยวนและว่าที่ภรรยาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะถือตะกร้าที่หลินเว่ยเว่ยยัดใส่มือให้แล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าเพื่อมุ่งหน้าสู่เขตอันผิง

บนหลังม้า เขาเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าออกจึงพบว่าภายในตะกร้ามีทั้งแยมผลไม้ ผลไม้อบแห้งและเนื้อแผ่น นอกจากนี้ยังมีขนมอีกสองสามชนิด…นี่เป็นของที่สามารถหาซื้อได้ในร้าน ‘หนิงจี้’ เท่านั้น แต่ครอบครัวนี้ไม่เสียดายและมอบให้เขาอย่างมากมาย ! เกรงว่าการมาแจ้งข่าวยังพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้จะคุ้มค่าสำหรับตนเหลือเกิน !

นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ของทางการเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่แวะเวียนมาแสดงความยินดีกับตระกูลหลินก็ไม่ขาดสาย โดยเฉพาะตอนที่กลุ่มไปเก็บผลไม้ป่ากลับมาแล้ว ยิ่งทำให้ลานบ้านตระกูลหลินอัดแน่นเข้าไปใหญ่

ผู้ที่สอบได้จู่เหริน หากมีลู่ทางก็ย่อมสามารถเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้ เช่น ตำแหน่งนายทะเบียนประจำอำเภอหรือไม่ก็ตำแหน่งผู้ช่วยของท่านเจ้าเมือง ล้วนเป็นผู้ที่สอบได้จู่เหรินทั้งสิ้น ตอนนี้หมู่บ้านฉือหลี่โกวมีผู้สอบได้จู่เหริน ย่อมพบเห็นได้ยากในหมู่บ้านทุรกันดารเช่นนี้ เหล่าชาวบ้านจึงดีอกดีใจมากเป็นพิเศษ

กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงกลางดึก บ้านตระกูลหลินถึงได้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ตระกูลหลินและตระกูลเจียงเหนื่อยต่อการต้อนรับแขกที่มาแสดงความยินดีจนเสียงแหบเสียงแห้ง

หลินจื่อเหยียนที่โดนหลงลืมไปชั่วขณะก็กล่าวด้วยความเศร้าใจ “ข้าไม่มีรายชื่อแล้วเหตุใดยังต้องแบกรับเรื่องพวกนี้ ? ”

หลินเว่ยเว่ยอดถากถางเขาไม่ได้ “ยังจะพูดอีก ! ที่ผ่านมาเจ้าชอบเอาตัวเองไปเปรียบกับบัณฑิตน้อยไม่ใช่หรือ ? ตอนนี้แม้แต่หนอนหนังสืออย่างเผิงหยูเหยี่ยนยังสอบผ่าน แต่เจ้าไม่มีรายชื่อแล้วยังมีหน้ามาพบท่านแม่อีกหรือ ? ”

“พี่รอง ท่านเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของข้านะ ! ข้าจะไม่ประมาณตนและเอาตนเองไปเปรียบกับพี่เขยรองได้อย่างไร ? ” หลินจื่อเหยียนหดหู่ใจยิ่งนัก…ชีวิตเขาต้องมาพบเจอคำพูดแทงใจดำแบบนี้ ไม่มีใครปลอบก็ไม่ว่าหรอก ทว่าคำพูดแต่ละคำของพี่รองช่างแหลมคมราวกับใบมีด

“ในตอนที่เจ้าสอบติดซิ่วไฉ เจ้าดีใจจนตัวแทบลอยไปบนฟ้าไม่ใช่หรือ ? แถมยังชอบคุยโวว่าตนเป็นบัณฑิตซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดในอำเภอเป่าชิง เฮอะ…คราวนี้รู้สึกแล้วหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด

หลินจื่อเหยียนมุ่ยปาก “พี่รอง แบบนี้ไม่ใช่การทับถมคนในครอบครัวหรือไง ! ”

ในที่สุดพี่สาวคนโตก็ได้สติกลับมาจากความดีใจ นางหันไปถลึงตาใส่หลินเว่ยเว่ยทันที “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร ? ที่บอกว่า ‘แม้แต่หนอนหนังสืออย่างเผิงหยูเหยี่ยนยังสอบผ่าน’ เจ้าดูแคลนเขาหรือ ? พี่…พี่เผิงตั้งใจและพยายามมาตั้งหลายเดือน หรือว่าเจ้าไม่เห็น ? การที่เขาสอบผ่านนั้นถือเป็นผลลัพธ์ของความพยายาม ! ”

หลินจื่อเหยียนรู้สึกว่าเหมือนโดนมีดกรีดหัวใจอีกยก “พี่ใหญ่ หรือท่านจะบอกว่าข้าไม่พยายาม ? ”

พี่สาวคนโตเหลือบมองเขาแล้วกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ที่เจ้าสอบไม่ผ่านเพราะยังพยายามไม่มากพอต่างหาก ! ”

หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าน้องชายคนโตก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ จึงพูดปลอบโยนเขา “ข้าถามบัณฑิตน้อยมาแล้ว มันไม่ใช่เพราะเจ้าไร้ความพยายาม แต่เป็นเพราะช่วงอายุของเจ้ายังขาดประสบการณ์ รอให้อายุเท่ากับพี่เผิงแล้ว เจ้าจะต้องมีความโดดเด่นกว่าเขาแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เจ้าต้องสงบจิตใจลงก่อน…”

หลินจื่อเหยียนได้ยินแบบนั้นก็กลับมามีความกระตือรือร้นอีกครั้ง เขากล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “พี่รองของข้าดีที่สุด ! พี่รองวางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน ! ”

“ชะตากรรมวางอยู่ในมือของเราเอง ไม่ว่าสุดท้ายสิ่งที่เจ้าพยายามจะสูญเปล่าหรือประสบผลสำเร็จ แต่หากเจ้าแก่เฒ่าแล้วมองย้อนกลับไป เจ้าจะไม่รู้สึกเสียใจเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยให้กำลังใจน้องชาย

ช่วงกลางเดือนเก้า อากาศทางเหนือเริ่มเย็นสบายมากขึ้นทุกวัน ชาวฉือหลี่โกวเริ่มสวมเสื้อคลุมกันหนาวและวันเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงของเจียงโม่หานได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

นางหวงมองไปยังบุตรสาวที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมสัมภาระ นางลังเลเหมือนอยากจะพูดก็ไม่พูด สุดท้ายจึงอดเอ่ยปากไม่ได้ “เจ้ารอง แม่ว่า…เจ้าอย่าไปเลย…ไปกันเพียงสองคน คงจะ…”

ในความเห็นของนางคือบุุตรสาวแค่หมั้นหมายกับตระกูลเจียง ยังไม่ใช่สะใภ้อย่างเป็นทางการ ดังนั้นการเดินทางไปเมืองหลวงในคราวนี้ หากไปกับเจียงโม่หานเพียงสองต่อสอง คงไม่วายตกเป็นที่ครหาจากชาวบ้าน…

หลินจื่อเหยียน “…”

สิ่งใดที่เรียกว่าไปกันเพียงสองคน ท่านแม่เห็นข้าเป็นอากาศที่ไร้ตัวตนหรอกหรือ ?

ใช่แล้ว หลายวันมานี้หลินจื่อเหยียนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เพราะเขาอยากไปเผชิญโลกกว้างในเมืองหลวง ! ขนาดคนโบราณยังมีคำกล่าวที่ว่า อ่านตำราหมื่นเล่มก็ยังไม่สู้เดินทางหมื่นลี้ เมืองหลวงเป็นสถานที่ในฝันของผู้คนมากมาย เขาจึงอยากไปเที่ยวเมืองหลวงมาก !

หลินเว่ยเว่ยทำตาโตแล้วหันไปมองมารดา “ท่านแม่เจ้าคะ เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ ? ท่านจะมาเปลี่ยนใจตอนที่เวลากระชั้นชิดเช่นนี้ไม่ได้ จากเขตเริ่นอันไปยังเมืองหลวงต้องเดินทางไกล หากข้าไม่ตามไป แล้วให้บัณฑิตผู้มีร่างกายอ่อนแอทั้งสองคนเดินทางไปกันเอง ท่านจะวางใจได้หรือเจ้าคะ ? ”

เจียงโม่หาน “…”

กู่เหนียงน้อย เจ้าอยากตามข้าไปเองก็อย่ายกคนอื่นมาเป็นข้ออ้างสิ !