ตอนที่ 504 ความผิดหวังของฟางจั๋วเยวี่ย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 504 ความผิดหวังของฟางจั๋วเยวี่ย

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่า ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเงินตรา ผู้อยู่อาศัยของหมู่บ้านซั่งเฉวียนที่มาโวยวายให้ยกเลิกสัญญาก่อนหน้านี้ ต่างก็ถือเงินรางวัล300หยวนเอาไว้ แล้วเดินจากไปด้วยความเบิกบานใจ

ก่อนที่หลินม่ายจะมาถึง ลูกน้องที่เฉินเฟิงแต่งตั้งให้รับหน้าที่ในการรื้อถออนโดยเฉพาะสามสี่คนนั้นก็ถูกกลุ่มผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านซั่งเฉวียนพวกนั้นก่อความวุ่นวายจนรับมือไม่ไหว ทรมานเสียจนสะบักสะบอม

ตอนนี้เห็นหลินม่ายไล่ผู้อยู่อาศัยพวกนั้นไปแล้ว ทุกคนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ลูกน้องคนหนึ่งยกนิ้วโป้งให้กับหลินม่ายอย่างชื่นชม “ประธานหลินสุดยอดเลย”

หลินม่ายหัวเราะ “สุดยอดอะไรกัน? ขอเพียงให้ผลประโยชน์มากพอ ก็ไม่มีใครยกเลิกสัญญาหรอก บางคนที่ยกเลิกได้ นั่นก็เป็นเพราะผลประโยชน์ยังไม่มากพออย่างไรล่ะ”

เธอเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด เชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ในชาติก่อนบ้านตะปู(1)พวกนั้น ก็เป็นเพราะได้รับผลประโยชน์ไม่เพียงพอ ถึงได้ยืนกรานไม่ยอมย้ายออกไปไม่ใช่เหรอ?

หลินม่ายถือโอกาสนี้ในการฝึกอบรมในเรื่องการรื้อถอนให้กับลูกน้องที่รับผิดชอบในการรื้อถอนสามสี่คนนั้นของเฉินเฟิง ว่าต้องเกลี้ยกล่อมให้ผู้อยู่อาศัยย้ายออกไปอย่างไรให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

ผู้อยู่อาศัยที่ไม่ยอมย้ายออกที่เรียกราคาสูงเกินไปนั้นให้ละทิ้งไปได้เลย

ลูกน้องสามสี่คนนั้นฟังแล้วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

หลินม่ายนึกถึงบ่ายวันนั้นขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากที่เธอพาเฉินเฟิงและลูกน้องไม่กี่คนนั้นไปทำสัญญากับผู้อยู่อาศัยที่หมู่บ้านซั่งเฉวียนกลับมา มีลูกน้องคนหนึ่งพูดขึ้นระหว่างทางว่าการรื้อถอนช่างง่ายดายมาก

เธอถามด้วยรอยยิ้ม “ใครพูดกันนะว่าการรื้อถอนนั้นง่ายมาก?”

ลูกน้องคนนั้นสีหน้ากระอักกระอ่วน แอบซ่อนอยู่ข้างหลังสหาย

หลินม่ายแค่เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง และถือโอกาสสอนลูกน้องพวกนั้นด้วยเล็กน้อย ว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ง่ายดาย แค่ก็ไม่ได้คิดจะตำหนิใคร

เธอทักทายกับเฉินเฟิงเล็กน้อยแล้วจึงกลับไป

ขณะที่หลินม่ายกำลังขี่จักรยานจากผ่านร้านเซาเข่าเหรินเยียนหั่วของตน เสี่ยวหม่านก็วิ่งออกมาจากในร้าน แล้วเรียกรั้งเธอเอาไว้ พลันบอกเธอว่า เมื่อวันก่อนมีเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยถามเกี่ยวกับเธอ แถมยังถามถึงเธอโดยตรงเลยด้วย

เสี่ยวหม่านขยิบตาใส่หลินม่าย “บอกมาตามตรงเถอะ ว่าไปหว่านเสน่ห์ข้างนอกมาใช่ไหม คนอื่นถึงได้มาหาถึงที่เลย? พี่ต้องเก็บเป็นความลับให้ดีๆ ล่ะ ถ้าถูกศาสตราจารย์ของพี่รู้เข้าคงซวยแน่!”

หลินม่ายคิดอยู่เป็นนานสองนาน ตัวเองก็ไม่ได้รู้จักนักศึกษาอะไรด้วย

เธอบีบใบหน้าเล็กที่เจ้าเนื้อหน่อยๆ ของเสี่ยวหม่านอย่างไม่เบาไม่แรง

“ห้ามพูดเหลวไหลนะ ฉันไม่ได้หว่านเสน่ห์อะไรเสียหน่อย เธอไม่ถามเด็กหนุ่มคนนั้นสักหน่อยเหรอว่าเขาชื่ออะไร มาหาฉันทำไม?”

เสี่ยวหม่ายมุ่ยปาก “ถามแล้ว หนุ่มคนนั้นลึกลับมาก เขาไม่ยอมบอกอะไรเลย ดังนั้นฉันเลยจงใจให้ข้อมูลผิดๆ กับเขาไป บอกว่าที่ถนนสายนี้ไม่มี่เด็กสาวที่ชื่อหลินม่าย แล้วไล่เขาไปแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า “เธอทำได้ดีมาก”

ในเมื่อเป็นคนที่ตนไม่รู้จัก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพบ

แม้เธอจะให้ความสำคัญกับเส้นสายทางสังคม แต่ก็ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใครมั่วๆ

ทว่าขณะที่เธอกำลังเข็นจักรยานกลับไปหลังบ้านนั่นเอง จู่ๆ เธอก็พอเดาออกว่านักศึกษาหนุ่มที่มาถามถึงเธอคนนั้นเป็นไปได้ว่าจะเป็นใคร

แปดสิบเปอร์เซ็นต์คงจะเป็นโอวหยางหรงหลานชายของผอ.เขตโอวหยาง

เจ้าหมอนี่น่ารังเกียจไปไหมเนี่ย เธอก็ปฏิเสธเขาไปอย่างชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ทำไมเขายังไม่ตัดใจอีก?

ตอนบ่าย จ้าวเลี่ยงโทรมาหาหลินม่าย บอกกับเธอว่าเขาไปถามห้องแช่เย็นมาอย่างชัดเจนแล้วว่าอุปกรณ์ทำความเย็นของพวกเขานั้นซื้อมาจากที่ไหน

มันถูกซื้อมาจากเมืองหลวง

หลินม่ายได้ฟังก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

เมืองเจียงเฉิงนั้นก็นับว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ไม่นึกว่าแม้แต่โรงงานผลิตอุปกรณ์ทำความเย็นก็ยังไม่มี ยังต้องถ่อไปซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นถึงเมืองหลวง

ระยะทางไกลขนาดนั้น เดินทางไปกลับก็ต้องใช้เวลาหลายวัน คงจะให้จ้าวเลี่ยงกับฟางจั๋วเยวี่ยไปหาซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นด้วยกันที่เมืองหลวงไม่ได้แน่

ใกล้จะถึงวันชาติแล้ว เขาต้องดูแลตลาดสดฝูตัวตัว ไม่สามารถล่าช้าไปหลายวันขนาดนั้นได้

อย่างนั้นก็ทำได้เพียงให้ฟางจั๋วเยวี่ยไปช่วยเธอซื้อที่เมืองหลวงคนเดียว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขยจะตกลงหรือเปล่า

เพื่อเอาใจฟางจั๋วเยวี่ย หลินม่ายจึงตัดสินใจเคี่ยวซุปนกพิราบให้เขา

ซุปนกพิราบของหลินม่ายนั้นรสชาติชั้นหนึ่งเลยทีเดียว

ที่ตลาดสดของตัวเองไม่มีนกพิราบขาย หลินม่ายจึงไปซื้อนกพิราบสองตัวที่ตลาดมืด พร้อมกับเม็ดบัว เก๋ากี้ พุทราและลำไยแห้ง เคี่ยวเป็นซุปนกพิราบแล้วจึงเอาไปส่งให้ฟางจั๋วเยวี่ย

ฟางจั๋วเยวี่ยได้กินอาหารมื้อใหญ่สองมื้อติดต่อกันแล้ว มื้อหนึ่งคือ “อาหารอยู่เดือน”ที่เถาจืออวิ๋นเอามาส่งให้ตอนเช้า

อีกมื้อหนึ่งคืออาหารบำรุงที่พ่อเถาส่งมาให้ จึงกำลังนอนฟังวิทยุอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมาส่งซุปนกพิราบ แม้ว่าจะไม่หิวเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังลุกขึ้นนั่งดื่มซุปนกพิราบ

ฝีมือทำอาหารของพี่สะใภ้ดีมาก ซุปนกพิราบนั้นอร่อยหาใครเทียม

ขณะที่เขากำลังดื่มซุปอย่างเอร็ดอร่อย พ่อเถาแม่เถาก็มาเยี่ยมด้วยกัน ในมือของทุกคนต่างถือกระติกเก็บความร้อนหนึ่งใบ

ทันทีที่แม่เถาเข้ามาก็เห็นฟางจั๋วเยวี่ยกำลังดื่มซุปนกพิราบอยู่ จึงถามด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ของเธอคงเคี่ยวมาให้สินะ กลิ่นหอมจริงๆ!”

พูดจบ ก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ แถมยังยื่นหน้าเข้าไปมองในถ้วยของฟางจั๋วเยวี่ยอีกด้วย

เมื่อเห็นว่าในซุปยังใส่ของบำรุงกำลังเช่นพุทราเก๋ากี้ไว้ด้วย ก็คิดในใจว่า ซุปนกพิราบถ้วยนี้ช่างใช้วัตถุดิบอุดมสมบูรณ์จริงๆ

พ่อเถาหัวเราะแหะๆ แล้วพูดขึ้น “พี่สะใภ้ของเธอเคี่ยวซุปนกพิราบให้แล้ว ซุปกระดูกหมูกับอาหารที่ทำมาฉันกับน้าเธอก็ขายไม่ออกแล้วน่ะสิ!”

ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังมองไปด้านหลังพ่อเถาแม่เถาอยู่พอดี เมื่อไม่เห็นเงาร่างของเถาจืออวิ๋น ในใจก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เขาได้ยินคำพูดของพ่อเถา ก็รีบพูดขึ้น “อาหารกับซุปที่คุณอาคุณน้าทำเองก็รสชาติดีมากเหมือนกันครับ”

พ่อเถาแม่เถาวางอาหารบำรุงกำลังที่เตรียมให้ฟางจั๋วเยวี่ยลงที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ บนเตียง

ฟางจั๋วเยวี่ยดื่มซุปนกพิราบในถ้วยหมด ก็กินอาหารเย็นที่พ่อเถาแม่เถาเอามาส่งให้

เขากินไปพลางเหลือบมองไปที่ประตูห้องผู้ป่วยเป็นครั้งคราว แม้จะมีคนเข้ามาบ้าง แต่ก็ล้วนไม่ใช่เถาจืออวิ๋น

สุดท้ายเขาก็ถามพ่อเถาแม่เถาอย่างอดใจไม่ไหว ว่าทำไมเถาจืออวิ๋นถึงไม่มา แต่เป็นพวกเขาที่มาส่งอาหารให้เขาเอง?

แม่เถายิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “พี่เถาของเธอยุ่งกับการออกแบบสินค้าใหม่สำหรับวันชาติน่ะ เลยไม่มีเวลามาส่งข้าว ฉันกับอาของเธอก็เลยมาส่งข้าวให้น่ะจ้ะ”

หลินม่ายนั่งฟังอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ

เธอรู้ว่าที่เถาจืออวิ๋นไม่ได้มาส่งข้าวให้ฟางจั๋วเยวี่ยด้วยตัวเอง คงจะเป็นเพราะกลัวว่าระหว่างทางจะเจอสองพ่อลูกหม่าเทาอีกแน่ๆ

แต่แม่เถาไม่ได้บอกความจริงกับฟางจั๋วเยวี่ย เพื่อปกป้องชื่อเสียงของลูกสาวตัวเอง

หลินม่ายเองก็ไม่ได้เปิดเผยความจริงด้วยเหตุนี้

ทว่าความผิดหวังเผยออกมาในแววตาของน้องเขยนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกัน?

พ่อเถาแม่เถารอจนฟางจั๋วเยวี่ยกินข้าวเย็นเสร็จ จึงเก็บข้าวของและจากไป

ฟางจั๋วเยวี่ยถามหลินม่าย “ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ? คุณไม่ไปกินข้าวเย็นที่วิลล่าเหรอ?”

ขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็หยิบไอโอดีนและสำลีก้านมาทายาที่บาดแผล

ร่างกายของเขายังติดเชื้อเล็กน้อย ถึงแม้บาดแผลจะตกสะเก็ดแล้วก็ยังต้องมายาอยู่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการอักเสบได้ง่าย

หลินม่ายเห็นเขาทายา เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน จึงหยิบไอโอดีนและก้านสำลีในมือเขามาทายาให้เขา

บริเวณที่เขาได้รับบาดเจ็บคือหัวเข่าไม่ก็ข้อศอกและฝ่ามือ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ไวต่อความรู้สึกอะไรเสียหน่อย

ในฐานะพี่สะใภ้ในอนาคต การจะทายาให้เขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

หลินม่ายทายาให้ฟางจั๋วเยวี่ยพลางพูดขึ้น “ฉันไม่ไป เพราะมีเรื่องจะขอร้องนายน่ะ”

ฟางจั๋วหรานเพิ่งไปดูผลการตรวจจากแพทย์ผู้ดูแลฟางจั๋วเยวี่ยมา นอกจากศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย อย่างอื่นก็ปกติทุกอย่าง

แพทย์ผู้ดูแลจัดการให้เขาออกจากโรงพยาบาลได้ในวันพรุ่งนี้ ฟางจั๋วหรานจึงตั้งใจมาบอกฟางจั๋วเยวี่ยหลังเลิกงาน

ทันทีที่เข้ามาในห้องผู้ป่วยเขาก็ได้ยินสิ่งที่หลินม่ายพูด พลันเอ่ย “คุณอยากให้จั๋วเยวี่ยทำเรื่องอะไร แค่บอกให้เขาไปทำโดยตรงก็ได้แล้ว ถ้าเขากล้าไม่ทำ ผมจะตีเขา!”

ความอยากเอาชีวิตรอดของฟางจั๋วเยวี่ยปะทุขึ้น เขามองไปที่หลินม่ายด้วยสายตาจริงใจ

“พี่สะใภ้ คนบ้านเดียวกันไม่ต้องเกรงใจกันหรอก คุณให้ผมทำอะไร ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟผมก็จะมุ่งไปอย่างอาจหาญ พูดว่าขอร้องอะไรกัน ห่างเหินเกินไปแล้วนะ!”

หลินม่ายเห็นว่าเขาเจอกับพี่ชายตัวเองราวกับหนูเจอแมวอย่างนั้น ในใจก็นึกอยากขำขึ้นมา “ไม่ต้องไปบุกน้ำลุยไฟหรอก ขอแค่ช่วยไปทำธุระให้ฉันสักครั้งก็พอแล้ว”

แล้วบอกเรื่องที่เธออยากขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยไปที่เมืองหลวง ช่วยซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นเพื่อติดตั้งในห้องแช่เย็นขนาดเล็กให้เธอออกมา

ฟางจั๋วเยวี่ยตบหน้าอกเสียงดังปักๆ “พรุ่งนี้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็จะไปเมืองหลวงซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นให้คุณทันทีเลย”

หลินม่ายรีบห้าม “นายดูสิว่าร่างกายนายมีแต่แผล พักผ่อนอีกสักสองสามวันแล้วค่อยเดินทางเถอะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยไม่สนใจเลยสักนิด “แผลถลอกนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก”

อย่ามองว่ายามปกติฟางจั๋วหรานมักจะดุร้ายกับน้องชายของเขาเชียว ความจริงแล้วภายในใจก็ยังเป็นห่วงเขาอย่างมาก “ไม่ว่าจะแค่แผลถลอกหรือเปล่า ก็ต้องพักฟื้นอาการบาดเจ็บสักสองวันแล้วค่อยเดินทาง”

ฟางจั๋วเยวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเต็มที่

หลังจากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้กลับไปแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยจึงพิงร่างกับหัวเตียงแล้วทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่

เมื่อครู่พี่สะใภ้ทายาให้เขาก็อ่อนโยนมากและไม่เจ็บเท่าใดเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกชาวูบวาบ

แล้วทำไมตอนที่เถาจืออวิ๋นทายาให้เขามันถึงได้รู้สึกชาวูบวาบ เป็นเพราะอะไรกันนะ?

(1)บ้านตะปู (钉子户) หมายถึงบ้านที่ยืนกรานไม่ยอมให้รื้อถอนและไม่ยอมย้ายออกไป ซึ่งเปรียบเทียบกับตะปูที่ติดแน่นงัดไม่ออกเสียที

สารจากผู้แปล

เป็นเพราะใจเรามันไม่ได้อยู่ที่เราแล้วน่ะสิจั๋วเยวี่ย ทำไมต้องเอาใจไปฝากไว้กับเขาขนาดนั้นคะ

ไหหม่า(海馬)