นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 353 ไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ
ทันทีที่โจวกุ้ยหลานได้ยิน เส้นขนทั่วร่างก็ลุกชี้ชันไปทั้งตัว: “เจ้าหมายความว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเด็กที่ตายไปอย่างนั้นรึ?”
“ได้ยินมาว่าสามีของหญิงคนนั้นเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน อาเฟินคนนั้นเลี้ยงดูทั้งลูกกับพ่อแม่อีกสองคนไม่ไหว เลยหาคนเป็นแม่สื่อช่วยแนะนำคนใหม่ให้ แล้วพาลูกกับพ่อแม่สามีย้ายมาแต่งงานใหม่”
ไป๋ยี่เซวียนพูดพลาง สีหน้าก็เผยแววซับซ้อนสับสน
“ปกติแล้วผู้ชายคนนั้นปฏิบัติต่อเด็กคนนั้นอย่างไรบ้าง?” โจวกุ้ยหลานฝืนสะกดข่มความตื่นตระหนกในใจพลางเอ่ยถาม
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า: “ได้ยินพวกเพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผู้ชายคนนี้เพิ่งแต่งงานมา เขาเป็นคนบอกเองว่าจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เป็นเหมือนลูกแท้ ๆ ของตัวเอง แล้วช่วงนี้ชายคนนั้นก็ดีกับคนในครอบครัวของเด็กมากด้วย”
“ถ้าเขาดีขนาดนี้จริง ๆ พอเด็กตายไป เขาก็คงจะไม่เลือดเย็นขนาดนั้นหรอกมั้ง?” โจวกุ้ยหลานพูดพลางหรุบเปลือกตาลง: “ถ้าเด็กคนนี้ ถูกผู้ชายคนนั้นลงมือซะเองล่ะ?”
สีหน้าของไป๋ยี่เซวียนยิ่งเคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วน “พวกเราเอาแต่คาดเดากันเองแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ จะอย่างไรข้าก็ควรหาคนมาช่วยสืบเสาะเรื่องนี้ให้กระจ่างจะดีกว่า”
“เจ้ายังรู้จักคนที่สามารถสืบคดีได้ด้วยหรือ?” โจวกุ้ยหลานรู้สึกประหลาดใจ
ไป๋ยี่เซวียนยิ้มพลางโบกสะบัดพัดในมือตัวเองเล่น: “เจ้าก็เห็นว่าเวลาข้าไปหยาเหมิน ข้าไม่เคยต้องคุกเข่าเลยสักครั้ง กะอีแค่หาคนมาช่วยสืบคดี มันจะยากสักแค่ไหนกัน?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็นึกประหลาดใจขึ้นมาอีก: “เจ้าไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไรเป็นสิ่งคุ้มกาย ทำไมถึงไม่ต้องคุกเข่าล่ะ?”
“เพราะพ่อของข้า เป็นถึงบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นเหลียงน่ะสิ” ไป๋ยี่เซวียนตอบกลับด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่ยี่หระ
โจวกุ้ยหลานชะงักไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว พูดขึ้นว่า: “ต่อให้พ่อของเจ้าจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่อย่างไรเขาก็ยังเป็นเพียงพ่อค้า สถานะของเขาก็ไม่ได้นับว่าสูงมากหรอกมั้ง?”
บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ถ้ามองจากตำแหน่งล่างสุดขึ้นมา อาชีพพ่อค้าคืออาชีพที่ถูกจัดให้อยู่ในลำดับท้ายสุด
“ปีนี้นายท่านไป๋ได้บริจาคเงินให้ท้องพระคลังมาแล้วถึงสองครั้ง หากนำมารวมกันแล้ว เกรงว่าคงจะเกือบ ๆ ล้านตำลึงได้แล้วกระมัง ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะพระราชทานตำแหน่งให้เขาเลยด้วย” ไป๋ยี่เซวียนยังคงพูดต่อด้วยท่าทางสบาย ๆ คล้ายไม่ได้ใส่ใจเหมือนเดิม
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกมีดคมกริบแทงเข้าที่หัวใจหลายต่อหลายแผลเลยทีเดียว
นี่ก็คือลูกหลานคนรวยรุ่นสองแห่งยุคโบราณสินะ? แถมอีตาพ่อคนนี้ก็อวดร่ำอวดรวยน่าดูเลยจริง ๆ
แต่ว่า.……
“พ่อของเจ้ามีทรัพย์สินเท่าไหร่กันแน่หรือ?”
บริจาคเงินหนึ่งล้านตำลึง ทั้งยังเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นเหลียง?
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า: “ไม่แน่ใจเหมือนกัน ในมือของนายท่านไป๋มีนักบัญชีอยู่หลายสิบคน ไม่มีใครรู้แน่ชัดเกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินโดยรวมของเขา”
“ไป๋ยี่เซวียน ข้าคิดว่าเจ้าควรตั้งสติไว้ให้มั่นแล้วล่ะ เงินทองมากมายขนาดนี้ กำลังรอให้เจ้าเข้าไปรับช่วงดูแลต่อ ถ้าในอนาคตข้าไม่มีเงินแล้วล่ะก็ ข้าก็ยังมีเพื่อนที่ร่ำรวยอย่างเจ้าคอยช่วยเหลือเกื้อกูลได้”
โจวกุ้ยหลานพูดไปพลาง มือก็ตบ ๆ ที่ไหล่ของไป๋ยี่เซวียนไปด้วย
พอคิดว่าทรัพย์สมบัติมหาศาลขนาดนั้น มีสิทธิ์ที่จะถูกส่งมอบไปให้ไป๋ยี่เซวียนหมด นางก็เกิดความรู้สึกคาดไม่ถึงขึ้นมาเลยทีเดียว
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า: “พ่อคงจะไม่ยอมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ข้าจริง ๆ หรอก พี่ชายของข้ามีกลอุบายที่แยบคายร้ายกาจกว่าข้ามากนัก บางทีเรื่องครั้งนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาก็ได้นะ?”
โจวกุ้ยหลานยังคงตบ ๆ ที่ไหล่เขา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดจาเกลี้ยกล่อมเขายังไง
เพราะสุดท้ายแล้ว กระทั่งตัวนางเองก็ยังใช้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงเละเทะขนาดนี้เลย
ทั้งสองคนคุยกันไปได้สักพัก ไป๋ยี่เซวียนก็ออกไปหาคนอีกครั้ง พอเขากลับมาก็บอกโจวกุ้ยหลานว่า เขาหามือปราบคนหนึ่งมาช่วยสืบคดีนี้ได้แล้ว
เรื่องนี้มอบให้ไป๋ยี่เซวียนเป็นคนจัดการ โจวกุ้ยหลานรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
ฝนตกต่อเนื่องมาสี่วันแล้ว ช่วงหลายวันมานี้ ที่ร้านของพวกเขายังคงเงียบเหงาไร้ลูกค้า ทุกคนจึงใช้เวลาที่อยู่ว่าง ๆ ทำพวกซีอิ๊วเครื่องปรุงกักตุนไว้จำนวนมาก
หลายวันมานี้ โจวกุ้ยหลานค่อย ๆ ฟื้นคืนสติกลับขึ้นมาได้ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไร สุดท้ายแล้ว นางก็ยังมีลูกอีกสองคน ต่อให้นางทุกข์ทรมานกว่านี้อีกสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำตัวให้พวกเขาเป็นห่วงนางได้
ติดแค่ว่า มีบางครั้งที่โจวกุ้ยหลานจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก สายตาก็จะคอยจ้องมองไปที่กระเบื้องสี่ห้าแผ่นบนหลังคา แต่ก็ไม่เคยเห็นกระเบื้องเหล่านั้นมีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใด ๆ
จนถึงวันที่ห้า ด้วยความโกรธ โจวกุ้ยหลานจึงเรียกช่างไม้ที่ช่วยนางทำตุ๊กตาไม้ทั้งวัน มาทำไม้กระดานแผ่นใหญ่เพื่อใส่บ้านของนาง โดยสั่งให้ช่างวางแผ่นไม้นั้นไว้ในแนวนอน ให้มันระนาบไปกับพื้นกระเบื้องทุกแผ่น
เมื่อช่างไม้คนนั้นได้ยินคำขอของโจวกุ้ยหลาน ก็มีท่าทีจนใจน้อย ๆ: “ฮูหยิน ถ้าจะวางไม้กระดานแบบที่ท่านว่ามาจริง ๆ แบบนั้นบ้านก็จะ….. ก็จะดูน่าเกลียดมากเลยนะขอรับ แถมบ้านนี้….. บ้านนี้ทั้งหลังก็จะไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเลย”
โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นมอง เกิดลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไร ในตอนแรกนางก็ต้องตาเจ้าพวกกระเบื้องที่มันรับแสงสว่างได้ดีเหล่านี้ ถ้าจากนี้ไปจะไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเลย ในใจของนางก็คงรู้สึกยากจะทนรับได้จริง ๆ
“หรือไม่ เจ้าก็ทำเตียงหลังใหญ่ ๆ แบบที่มีไม้กระดานกั้นแทนได้ไหม?”
โจวกุ้ยหลานถามอีกครั้ง
ช่างไม้คนนั้นคิดว่าถ้าแบบนี้น่าจะได้ หลังจากพูดคุยกับโจวกุ้ยหลานแล้ว ก็ไปติดต่อช่างไม้อีกสองสามคนที่เขามีความสัมพันธ์อันดีด้วย เพื่อมาช่วยเขาทำเตียงไม้หลังนี้
ตอนที่ไป๋ยี่เซวียนออกไปซื้อผักหญ้าอาหาร ก็รวดพาโจวกุ้ยหลานออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย
พอไปถึงข้างนอก ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันในทำนองที่ว่า ตอนที่ฝ่าบาทจะทรงพระราชทานงานมงคลสมรส ดูเหมือนว่าสวีฉางหลินจะปฏิเสธไป
“นายพลสวีคนนี้ เหมือนว่าจะเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถในการทำศึกที่สุดในแคว้นเหลียงเลยนะ ถ้าเขาไม่ยอมแต่งงานกับองค์หญิง ฝ่าบาทจะทรงให้เขาเป็นผู้นำทัพไปออกรบอย่างวางพระทัยได้อย่างไรล่ะ?”
“จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ นายพลสวีมีเป้าหมายที่จะนำสันติภาพมาสู่แคว้นของเรา การที่เขาไม่ยอมแต่งงานกับองค์หญิง มีอะไรผิดล่ะ?”
“แถมฮองเฮายังเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขาด้วยนะ เขาจะไม่สนใจต่อความสะดวกสบายของพี่สาวตัวเองเลยเชียวรึ? ข้าว่านะ ความกังวลของฝ่าบาทออกจะเกินจำเป็นไปแล้วล่ะ”
ตลอดเส้นทางที่ผ่าน ล้วนมีแต่บทสนทนาลักษณะนี้
โจวกุ้ยหลานเงี่ยหูฟังทุกคำพูด ทุกประโยค ทุกถ้อยคำ ไม่มีตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว
“วางใจแล้วล่ะสิ?” ไป๋ยี่เซวียนมองสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงไปไม่น้อยของนาง ก็เอ่ยถามขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้วมุ่น : “ข้าต้องวางใจเรื่องอะไรรึ?”
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า แต่ก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่เดินซื้อของอย่างอื่นต่อไป
ต่อให้เป็นการได้ยินข่าวของสวีฉางหลินจากปากของคนอื่นก็ตาม ในใจของนางก็ยังรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้ไม่น้อย บางที เขาอาจมีความลำบากใจอะไรบางอย่างจริง ๆ ก็ได้
ในตอนนั้น เพียงแค่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นของเขา นางก็รู้สึกเสียใจจนเกินจะรับได้แล้ว แต่หลังจากลองคิดใคร่ครวญเรื่องนี้ดูอีกครั้ง วันนั้นที่ข้างกายเขามีคนติดตามอยู่มากมายเลยทีเดียวน่ากลัวว่าอาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่จริง ๆ
หรือบางที เขาอาจจะเสแสร้งแกล้งทำ
โจวกุ้ยหลานฝึกสร้างเกราะกำบังในจิตใจให้ตัวเอง ทำให้อารมณ์ที่เคยดิ่งถูกดึงจนสูงขึ้นมาไม่น้อย
รอจนซื้อของเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานก็หารือกับไป๋ยี่เซวียนอีกรอบ สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อรถม้าสำหรับใช้งานในร้านค้าอีกคันหนึ่ง
หลังจากที่รถม้าคันก่อนหน้านี้ของไป๋ยี่เซวียนมาถึงเมืองหลวง ม้าตัวนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม หรือเป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศ เพียงไม่นานมันก็ล้มป่วยลง
ส่วนล้อของรถคันนั้น ก็เก่าแก่สึกหรอไปมากแล้ว สมควรจะเปลี่ยนล้อชุดใหม่ได้แล้วจริง ๆ
หลังจากที่พวกเขาเลือกดูอยู่ครู่หนึ่ง ต่อรองราคากับเถ้าแก่ไปอีกยก ในที่สุดก็ซื้อรถม้ามาได้คันหนึ่ง แต่ติดที่เจ้าสิ่งนี้ราคาแพงมากจริง ๆ ซื้อทีต้องยอมทุ่มเงินไปกว่าห้าร้อยตำลึง
“ เงินพวกนี้หาแต่ละทีไม่ใช่ง่าย ๆ แต่พอตอนจ่ายนี่ไปอย่างเร็วเลยจริง ๆ ” โจวกุ้ยหลานอดทอดถอนใจพลางบ่นงึมงำไม่ได้
นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่มีคนตายขึ้นกับพวกเขาเมื่อคราวก่อน กิจการของพวกเขาก็ไม่เคยดีขึ้นอีกเลย ต่อให้พวกเขาจะถูกหยาเหมินตัดสินว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่พวกชาวบ้านก็ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย
“รอให้เงินทุนเพิ่มมา ก็หาเงินได้ง่ายแล้วล่ะ” ไป๋ยี่เซวียนกลับไม่ได้ถึงกับมองโลกในแง่ลบมากมายเหมือนโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า: “ถ้ามีเงินทุนถาวรสักก้อน แบบนั้นเราก็สามารถใช้เงินมาหมุนเงินได้ แน่นอนว่ามันต้องหาใหม่ได้เร็วแน่ แต่ตอนนี้เราไม่มีต้นทุนนี้ แล้วถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ แค่ค่าจ้างคนงานของเราก็อาจจะจ่ายกันไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ”
เดิมทีพวกเขาซื้อทั้งร้านค้า ทั้งทำโฆษณาเชิญชวนผู้คน ก็ใช้เงินไปไม่น้อยแล้ว เวลาต่อมาโค้กก็ช่วยให้พวกเขามีรายได้เข้ามาไม่น้อย แต่ตอนนี้โค้กกลับขายไม่ออกแล้ว พวกเขาจึงสูญเสียรายได้หลักก้อนนี้ไป