นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 354 ทำเสื้อผ้า
ทั้งสองคุยกันไปพลาง ก็เข้าไปในร้านตัดเสื้อร้านหนึ่ง บอกกับช่างตัดเสื้อคนนั้นว่าต้องการให้เขาทำชุดกันหนาวสักสิบกว่าชุด เจ้าของร้านตัดเสื้อคนนั้นดีใจจนเนื้อเต้น รีบตามโจวกุ้ยหลานไปที่บ้านของโจวกุ้ยหลานทันที
ทันทีที่ไปถึงบ้าน โจวกุ้ยหลานก็พาช่างตัดเสื้อไปยังห้องที่พวกเขากำลังเรียนหนังสืออยู่
นางผลักประตูเปิด อาจารย์ที่อยู่ข้างในก็ปรายตามองมา เมื่อเห็นว่าเป็นโจวกุ้ยหลาน สีหน้าก็ปรากฏแววไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที: “พวกเขากำลังเรียนหนังสือกันอยู่ เจ้าเข้ามารบกวนทำไม?”
โจวกุ้ยหลานอารมณ์ดี จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับอาจารย์ นางหมุนตัวไปพูดกับช่างคนนั้นว่า “กรุณาวัดขนาดตัวของพวกเขาด้วย”
บรรดาบัณฑิตซิ่วฉายที่หดคอ หนาวจนตัวสั่นงันงกแอบชำเลืองมองไปทางอาจารย์ พลางก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมือต่อไป
โจวกุ้ยหลานตบมือเป็นสัญญาณ: “เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยมาเรียนกันต่อ ช่างตัดเสื้อยุ่งมากนะ ต้องรีบวัดขนาดตัวของพวกเจ้าโดยเร็ว เขายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องไปทำอีก”
ยังคงเป็นเมิ่งเจียงที่ขวัญกล้าที่สุด เงยหน้าขึ้น หันไปมองอาจารย์แล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ?”
“มองข้ากันทำไม? ไม่ได้ยินหรอกรึว่าช่างตัดเสื้อยุ่งมากน่ะ? ” อาจารย์ตอบกลับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว คนพวกนี้แต่ละคน ๆ ต่างก็หดคอ หนาวจนตัวสั่นงันงก เขาได้เห็นแบบนี้ใจก็รู้สึกสงสาร ครั้งนี้จึงไม่หยุดไม่ห้ามพวกเขาอีก
หลังจากได้รับคำพูดยืนยันของอาจารย์ ซิ่วฉายทั้งแปดก็วางหนังสือลง เดินออกมาอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ช่างตัดเสื้อคนนั้นวัดขนาดตัวของลูกศิษย์ของเขาทีละคน หลังจากจดข้อมูลขนาดของทุกคนแล้ว พวกเขาก็กลับไปนั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง แล้วเรียนหนังสือต่อ
โจวกุ้ยหลานเลื่อนสายตามองไปมองอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ เมื่อเห็นว่าเขายังหลับตาแสร้งทำเป็นพักสายตาอยู่ นางจึงเดินเข้าไปหาอย่างช้า ๆ แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา
“ท่านอาจารย์ ท่านสะดวกยืนขึ้น ให้ช่างตัดเสื้อวัดตัวสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
“จะให้รับค่าตอบแทนโดยที่ยังไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย อย่างไรข้าก็ขอปฏิเสธดีกว่า” อาจารย์พูดพลางโบกมือ ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองสักแวบ
โจวกุ้ยหลานกวาดตามองพวกนักเรียนที่ยังคงท่องตำรากันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเด็กทั้งสองที่จริงจังกับการเรียนหนังสือมาก ดูท่าทางเหมือนไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมท่านจะไม่ได้ทำประโยชน์อะไรล่ะ? ลูกชายสองคนของข้าต่างก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ต้องรบกวนท่านสอนสั่งให้ทั้งวัน แค่ทำชุดกันหนาวให้ท่านชุดสองชุด ไม่นับว่ามากเกินไปหรอกกระมังเจ้าคะ?”
“เจ้าให้ข้าวปลาอาหารข้ากินแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ” อาจารย์ลืมตาขึ้น ตอบกลับมาประโยคหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนลงไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า: “ท่านอาจารย์ ถ้าท่านถูกลมหนาวจนล้มป่วย ใครจะรักษาให้ท่านล่ะ? หรือจะปล่อยให้นักเรียนเหล่านี้เรียนหนังสือกันเอง? อีกไม่นานก็จะเริ่มการแข่งขันแล้ว ท่านทำใจได้จริง ๆ น่ะรึ?”
ทันทีที่เขาได้ยินคำว่าการแข่งขัน สีหน้าของอาจารย์ก็เปลี่ยนไปทันที
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่สนใจเรื่องเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั่นแล้ว รวมถึงพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอีกต่อไปแล้วด้วย ทั้งยังมีพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกให้ใช้พร้อม แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา ชื่อเสียงของเขาจะไม่ถูกทำลายจนย่อยยับป่นปี้รึ?
เขาลังเลไปชั่วขณะ โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบจากเขา แค่รอเขาอย่างช้าๆ
เคราสีเทาของอาจารย์สั่นสะท้าน พูดขึ้นแทบจะทันทีว่า: “รอให้พวกเราได้รับรางวัลแล้ว จะมอบเงินก้อนนี้เป็นสิ่งชดเชยให้เจ้า”
“ได้เลย” โจวกุ้ยหลานตอบรับ จากนั้นโบกมือให้ช่างตัดเสื้อที่ยืนอยู่ไม่ไกล ส่งสัญญาณให้เขาเข้ามา
ช่างตัดเสื้อเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ช่วยพยุงอาจารย์ให้ยืนขึ้น จากนั้นก็ช่วยวัดขนาดตัวให้เขา เสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับโจวกุ้ยหลาน ก่อนจะปิดประตูตามหลังให้เรียบร้อย
โจวกุ้ยหลานออกไปพร้อมกับพวกเขา เพื่อไปส่งช่างกลับ
อีกด้านหนึ่ง อาจารย์รอจนพวกเขาออกไปแล้ว ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เวลานี้ ทั้งเขาและบรรดานักเรียนที่ยากจนเหล่านี้ ต่างก็ต้องพึ่งพาโจวกุ้ยหลานให้ช่วยเหลือเกื้อกูล
ตอนนี้แม้แต่หนังหน้าของเขาก็ยังหนาขึ้นแล้ว กระทั่งเสื้อกันหนาวก็ยังรับของเขามา
ช่างเป็นความอัปยศของบัณฑิตโดยแท้…..
ขณะที่กำลังคิดอยู่ คำพูดที่โจวกุ้ยหลานเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็แวบเข้ามาในหัว คนเราทุกคนล้วนต้องมีปัจจัยสี่เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต นี่ทำให้ในใจของเขารู้สึกสบายขึ้นมาได้บ้าง
จากนั้นก็มาพินิจดูพวกนักเรียนของเขาอีกที เพราะได้กินดีกินอิ่ม ตอนนี้หน้าตาของแต่ละคนล้วนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา สีหน้าก็ไม่ซีดเซียวเหมือนแต่ก่อน ยังมีช่วงนี้ที่ต้องเดินไปเดินมาเพื่อเก็บโต๊ะเก้าอี้ ได้เดินเหินกันเยอะขึ้น ร่างกายแต่ละคนก็ดูแข็งแรงกำยำขึ้นมาไม่น้อย…..
เฮ้อ! ติดค้างบุญคุณมากมายเหลือเกิน….
แน่นอนว่า โจวกุ้ยหลานย่อมไม่ได้รู้ถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของอาจารย์เป็นธรรมดา ตอนที่นางกลับมาถึงร้าน ก็เห็นคนสามสี่คนที่ดู ๆ ไปแล้วเหมือนพวกเถ้าแก่ร้านกำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ อีกทั้งบนโต๊ะในร้านก็เต็มไปด้วยขวดโค้ก
นางเดินเข้าไปในร้านสามสี่ก้าว ก็เห็นไป๋ยี่เซวียนออกไปส่งพวกเถ้าแก่ร้านกลับออกไปกันแล้ว
ทั้งสองมองหน้าประสานสายตากันไปมา รอจนพวกเขาไปกันหมดแล้ว ไป๋ยี่เซวียนเดินกลับเข้ามา โจวกุ้ยหลานก็ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ไป๋ยี่เซวียนอธิบายเรื่องนี้แบบง่าย ๆ ว่าตลอดหลายวันมานี้ ไม่มีใครซื้อโค้กกันแล้ว บรรดาเถ้าแก่ร้านต่างก็รู้สึกว่าโค้กเหล่านี้กินพื้นที่วางสินค้าภายในร้านมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจส่งคืนมาทั้งหมด
“ของพวกนี้เก็บไว้ได้อีกไม่กี่วัน ก็น่ากลัวว่าจะเสียหมดแล้วล่ะ คงต้องทิ้งไปทั้งหมดนี่แหล่ะ” ไป๋ยี่เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงจนใจเล็กน้อย
ตอนนี้ต่อให้มีเด็ก ๆ ที่อยากกิน แต่ต่อให้พูดอ้อนวอนยังไงพวกพ่อแม่เหล่านั้นก็ไม่ยอมซื้อให้แล้ว
แต่ถ้าของพวกนี้ต้องโยนทิ้งไป นั่นจะไม่เท่ากับสิ้นเปลืองไปเปล่า ๆ หรอกรึ?
สีหน้าของโจวกุ้ยหลานก็ดูเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาเช่นกัน
หลายวันมานี้ไม่ได้ค้าขายเลยจริง ๆ แล้วล่ะ
อารมณ์ที่เดิมทียังดี ๆ
“เก็บทั้งหมดไปก่อนแล้วกัน เผื่ออีกเดี๋ยวมีลูกค้ามา เห็นอะไรแบบนี้เข้ามันจะไม่ค่อยดี” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ก็เดินนำไปเก็บขวดโค้กพวกนั้นไปพลาง
ไป๋ยี่เซวียนโบกมือ สั่งให้ทุกคนช่วยกันเก็บไปให้เรียบร้อย
ตลอดทั้งบ่าย ไม่มีลูกค้าเข้าร้านมาเลยแม้แต่คนเดียว
ทั้งบรรดาพ่อครัวและพวกลูกจ้างต่างก็หดหู่ห่อเหี่ยวไม่แพ้กัน ทั้งร้านล้วนถูกห่อหุ้มไปด้วยบรรยากาศแห่งความกดดันอย่างหนัก
โจวกุ้ยหลานหารือกับไป๋ยี่เซวียนอีกครั้ง แล้วให้วันหยุดพวกเขาหนึ่งวัน เพื่อที่พวกเขาจะได้กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่
หลายวันมานี้ อากาศหนาวเย็นลงไปเรื่อย ๆ แล้ว นับตั้งแต่เปิดร้านมาพวกเขาก็ไม่ได้พักผ่อนกันเลย ในเมื่อไม่มีลูกค้าขนาดนี้ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าร้านกันตลอดเวลาแล้วก็ได้
วันรุ่งขึ้น โจวกุ้ยหลานได้แต่นอนอยู่บ้านตลอดทั้งวัน
ตลอดหลายวันมานี้ตัวนางเองคิดตกแล้ว แต่ตอนกลางคืนก็ยังเอาแต่นอนไม่หลับ แต่นับจากเมื่อวานเป็นต้นมา ในใจของนางรู้สึกผ่อนคลายลงไปไม่น้อย ทำให้นางรู้สึกง่วงนอน
เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานกลับมาแล้ว อาจารย์ก็ให้วันหยุดแก่ซิ่วฉายเหล่านั้นหนึ่งวันด้วยเช่นกัน
มีสองคนที่บ้านอยู่ในเมืองหลวง ต่างก็กลับบ้านกันไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็ใช้ผ้านวมห่อตัวเอง นั่งอยู่หน้าโต๊ะ พลางเขียนบทกลอนของตัวเองไปเรื่อย ๆ
ต่อจากนั้น อาจารย์ก็แสดงความคิดเห็นแล้วให้ทุกคนร่วมกันลงคะแนน ผลคือบทกลอนที่มีชื่อว่า “เหน็บหนาว” ของจ้าวจงตี้ชนะได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง อาจารย์ให้พวกเขาสลับผลงานกันไปมา ช่วยกันอ่านแล้ววิจารณ์ผลงานของกันและกัน
พอถึงช่วงบ่าย โจวกุ้ยหลานค่อยตื่นนอน พอมองดูท้องฟ้า บวกกับได้ยินเสียงถอนหายใจของพวกบัณฑิตซิ่วฉายในห้อง ตอนนี้ในใจนางรู้สึกโล่งสบายขึ้นมานิดหน่อย จึงตัดสินใจทันทีว่าคืนนี้กินหม้อไฟก็แล้วกัน
อากาศแบบนี้ การกินหม้อไฟคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
นางหยิบเงินมาจำนวนหนึ่ง ไปยังสถานที่ใกล้ ๆ ที่มีคนขายผักหญ้าอาหารมากมาย แล้วซื้อของมาไม่น้อย ทั้งเนื้อทั้งปลาต่างก็ซื้อมาจนครบถ้วน
สุดท้ายนางก็หิ้วไม่ไหว จึงได้แต่ขอให้เจ้าของร้านแผงลอยช่วยนางดูของพวกนั้นก่อนเป็นการชั่วคราว รอให้นางเอาของทั้งหมดที่ถืออยู่ส่งกลับไปแล้ว ค่อยเรียกพวกเมิ่งเจียงมากับนาง ให้มาช่วยกันยกข้าวของที่ฝากเจ้าของร้านนั้นดูแล กลับไปพร้อมกันในทีเดียว
ตอนนี้คนเหล่านี้ล้วนมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาไม่น้อย เวลาหิ้วของหนัก ๆ แบบนี้ก็ไม่มีท่าทางโซซัดโซเซ เดินได้ไปหนึ่งก้าวก็แข้งขาสั่น หายใจหายคอไม่ทันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
พอกลับถึงบ้าน โจวกุ้ยหลานก็เรียกพวกซิ่วฉายทุกคนออกมา ใครที่ถนัดล้างผักก็ล้างผักไป ใครที่ถนัดหั่นผักก็หั่นผักไป