บทที่ 463 ความวุ่นวาย

บทที่ 463 ความวุ่นวาย

อีกด้านหนึ่ง อาซือก็ค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไป ระหว่างทางก็ถูกเรือลำงามที่กำลังดูความคึกคักดักทางไว้

อาซือกระวนกระวายใจอย่างมาก จนเกือบจะปีนขึ้นไปบนเรือเพื่อมองดูว่าทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น

โชคดีที่มีเหยาซูอยู่ด้วย จึงสามารถปลอบประโลมให้อาซือสงบลงได้บ้าง

ก่อนที่อาซือจะอึดอัดทนไม่ไหว เรืออันงดงามที่ขวางอยู่เบื้องหน้าก็ค่อย ๆ สลายตัวไปในที่สุด

เหยาซูจึงรีบให้คนพายเรือเข้าไปทันที

อาซือจ้องเขม็งไปยังทางนั้น และเห็นเจี่ยงเถิงเป็นคนแรก

แต่เจี่ยงเถิงกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง จึงไม่ได้สังเกตมาทางนี้ อาซือรีบโบกมือพร้อมตะโกนเสียงดัง “พี่อาเถิง ทางนี้!”

“อาซือ!” เจี่ยงเถิงได้ยินเสียงนั้นก็รีบโบกมือไปทางนางทันที “ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวล”

ครั้นเห็นท่าทางจนตรอกเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำของเจี่ยงเถิง ไฉนอาซือจะไม่กังวล เรือยังไม่ทันเข้าเทียบก็รีบสาวเท้าวิ่งเข้ามา เจี่ยงเถิงตื่นตกใจจนต้องวิ่งเข้าไปปกป้อง เพราะกลัวว่าอาซือที่เพิ่งหายป่วยจะตกน้ำตกท่า

“เหอะ ๆๆ พวกเจ้าสองคนยังจะหวานเลี่ยนกันได้อีกนะ” เหยาเอ้อหลางที่มีสภาพเหมือนลูกสุนัขตกน้ำได้หยอกเย้าขี้นข้างกาย

อาซือที่ประคองเจี่ยงเถิงด้วยท่าทางโง่งมอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่เชื่อว่าจะเห็นเหยาเอ้อหลาง

“ทำไม ไม่รู้จักกันแล้วหรือ?” เหยาเอ้อหลางยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าของอาซือ “ญาติผู้น้อง ยังจำข้าได้หรือไม่?”

“พี่ พี่รอง?” อาซือได้สติกลับมา “พี่กลับมาแล้ว!”

เหยาเอ้อหลางพยักหน้า “เพิ่งกลับมา ยังไม่ทันได้กลับบ้าน ก็มาเห็นเจ้าโง่ผู้นี้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้เสียก่อน”

เจี่ยงเถิงตีมือของเหยาเอ้อหลาง ก่อนจะหัวเราะเยาะและก่นด่าประโยคหนึ่ง

ในที่สุดเรือของเหยาซูก็จอดสนิท อาซือชี้ไปยังเหยาเอ้อหลางพลางพูดกับเหยาซูที่มีสีหน้าเป็นกังวล “ท่านแม่ ท่านดูสิว่านี่ใคร!”

“เอ้อหลาง?” เหยาซูมองคนผู้นี้อย่างคุ้นตาจากไกล ๆ ครั้นจำได้ก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

เหยาเอ้อหลางมีกิริยาเรียบร้อยยิ่งยามอยู่ต่อหน้าเหยาซู เขาเดินเข้าไปพลางเอ่ยอย่างสุภาพ “ท่านอา”

“เจ้าเด็กคนนี้ กลับมาก็ไม่บอกข้าสักคำ” เหยาซูมองไปทางเหยาเอ้อหลางด้วยความทอดถอนใจ เขาจากบ้านไปนานถึงสองปีจนตัวหมองคล้ำขึ้นไม่น้อย

“รีบกลับมาก็เลยลืมขอรับ” เหยาเอ้อหลางลูบหลังศีรษะแก้เขิน “สร้างความประหลาดใจให้พวกท่านใช่หรือไม่”

“กลับไปก็ให้พ่อเจ้าจัดการเสียหน่อย” เหยาซูเผลอยิ้มออกมา แล้วพาเหยาเอ้อหลางและเจี่ยงเถิงขึ้นเรือไปด้วยกัน “พวกเจ้าสองคนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย อย่าคิดว่ายังหนุ่มยังแน่นแล้วจะไม่เป็นอะไร”

เจี่ยงเถิงถือโอกาสตามเหยาเอ้อหลางไปตอนที่อยู่เพียงลำพัง ก่อนจะรีบเอ่ยถามว่า “เรื่องเมื่อครู่ เจ้ามองออกตั้งแต่แรกเลยหรือ?”

“แน่นอน” เหยาเอ้อหลางชำเลืองมองเจี่ยงเถิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่ใช่คนโง่อย่างเจ้าหรอก”

เจี่ยงเถิงเก็บอารมณ์ ชกหมัดใส่เหยาเอ้อหลาง แต่กลับไม่ได้ทิ้งรอยแดงไว้บนกล้ามเนื้อของอีกฝ่าย “ฝีปากเจ้าเก่งยิ่งนัก คงจะไม่เคยโดนจัดการยามอยู่ในค่ายทหารใช่หรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางแสดงกล้ามเนื้อของตัวเอง แล้วพูดอย่างลำพองใจว่า “ก็ถ้าจะจัดการก็ต้องให้ข้าจัดการคนอื่นด้วยไหมเล่า?”

“เอาละ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าควรตอบอย่างไรหากท่านอาซูถามก็พอ” เจี่ยงเถิงรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว อาศัยจังหวะกำชับอีกครั้ง

“ข้ารู้แล้ว” เหยาเอ้อหลางมองไปทางเงาของอาซือที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง “พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เจี่ยงเถิงหยุดชะงักไปทันที จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางสงบ “ก็ตามนั้น”

“เจ้าไม่ได้เรื่องเลยนะ เจี่ยงเถิง หลายปีมานี้ ไม่ก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย” เหยาเอ้อหลางกลั้วหัวเราะก่อนพาดมือบนบ่าของเจี่ยงเถิงอย่างสบายอารมณ์ “อีกไม่นานน้องสาวของข้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว มีคุณชายผู้มั่งคั่งตั้งมากมายในเมืองหลวง เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะหรือไม่เล่า?”

เจี่ยงเถิงแกะมือของเหยาเอ้อหลางออก จากนั้นก็ตบบ่าของเขา แล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

พูดจบก็ก้าวออกจากเรือไป

“เด็กคนนี้” เหยาเอ้อหลางยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็เดินตามออกไปพร้อมกับตอบคำถามจากคนภายนอก

ในขณะที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่เหยาเอ้อหลางผู้ปรากฏตัวอย่างฉับพลัน เจี่ยงเถิงถือโอกาสนี้แอบถอยไปอยู่ข้างกายของอาซืออย่างเงียบ ๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “อาซือ ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าโกรธเลย”

“ข้าไม่ได้โกรธ” อาซือมีสีหน้าไร้ความรู้สึก

“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม อาซือไม่โกรธ” เจี่ยงเถิงปลอบโยน “เช่นนั้นเจ้าช่วยสนใจข้าหน่อยได้หรือไม่?”

“ข้าฟังญาติผู้พี่พูดอยู่นี่อย่างไรเล่า” อาซือถลึงตาคาดโทษใส่เจี่ยงเถิง พร้อมกับพูดด้วยความโกรธแค้น

เถิงเอ๋อรู้สึกปวดใจกับการถลึงตาใส่ของอาซือไปชั่วขณะ ก่อนจะเงียบลง จำต้องยืนฟังเหยาเอ้อหลางพล่ามพูดเรื่องไร้สาระอยู่ข้างกายอาซืออย่างเชื่อฟัง

เหยาเอ้อหลางเองก็ไม่ได้ปิดบังมากมาย บอกว่าสองแม่ลูกคู่นี้มาหลอกคนอื่น แต่ใต้เท้าโจวนั้นมาได้ทันเวลาและพบความจริงบางอย่าง จึงพาตัวคนเหล่านั้นไป

เหยาซูรู้ว่าเหยาเอ้อหลางจะต้องไม่พูดความจริงเป็นแน่ แต่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ก็ดูโตขึ้นเพียงนี้แล้ว รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ จึงคร้านจะซักไซ้ไล่ถาม แค่ให้เหยาเอ้อหลางกลับมาอยู่กับคนที่บ้านก็พอแล้ว

เหยาเอ้อหลางตอบรับสั้น ๆ ครั้นอาซือเห็นว่าไม่มีสิ่งใดพอจะใส่ใจอีก จึงเดินออกจากเรือไป

เจี่ยงเถิงตามนางไปโดยพลัน

“อาซือ เจ้ารอข้าก่อน” เจี่ยงเถิงเห็นว่าอาซือไม่สนใจตน ทำได้แค่ใช้ลูกไม้เดิม ด้วยการร้องโอดครวญเดินกะเผลกตามอาซือไป

อาซือจึงได้หยุดชะงักฉับพลัน มองขาของเจี่ยงเถิงแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “บาดเจ็บอีกแล้วหรือ?”

“เมื่อครู่ข้าเป็นตะคริว เลยปวดเล็กน้อย” เจี่ยงเถิงพูดโป้ปดได้หน้าตาเฉย

อาซือหยุดเดินแล้วประคองเจี่ยงเถิงที่เอนกายพิงราวบันได หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งก็ได้เอ่ยเสียงต่ำว่า “พี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว คราวนี้ข้าอยู่ข้างกายพี่ พี่ยังกล้ากระโดดลงไปโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น”

“ก็ตอนนั้นข้าร้อนใจ เห็นว่าไม่อันตรายอะไร ก็เลยกระโดดลงไป”

“ไม่อันตรายอะไร?” อาซือตัดบทพูดของเจี่ยงเถิง แล้วชี้ไปยังขาที่เขาแกล้งกะเผลก “แล้วนี่ยังเรียกว่าไม่อันตรายอะไรอีกหรือ?”

“บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” น้ำเสียงของเจี่ยงเถิงทุ้มต่ำลง

“แล้วข้าเล่า? ถ้าข้าอยู่ตรงหน้าของพี่ แล้วยังไปช่วยผู้อื่นโดยไม่สนใจพี่จนขากะเผลกเช่นนี้ พี่จะคิดได้หรือไม่?” อาซือถามกลับ

เจี่ยงเถิงไม่พูดสิ่งใด เขาไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

แค่คิด เขาก็หายใจไม่ออกแล้ว

“ข้าสัญญา ต่อไปจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้ว” เจี่ยงเถิงพูดเสียงต่ำ

อาซือส่งเสียงอย่างเย็นชา “ท่านไม่ควรเลยเป็นดีที่สุด”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ดูเลื่อนลอยดังขึ้นไม่ไกลนัก “นี่เจี่ยงเถิงใช่หรือไม่? เมื่อครู่คิดว่าอยากช่วยคนเพราะอยากออกหน้า แต่กลับถูกใส่ความเสียอย่างนั้น น่าขบขันยิ่งนัก”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาซืองอนพี่แล้วที่ไปช่วยผู้อื่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ง้ออาซือเลยนะพี่เถิง

ใครมันเสนอหน้ามาอีกเนี่ย

ไหหม่า(海馬)