บทที่ 464 โต้เถียง

บทที่ 464 โต้เถียง

อาซือชำเลืองมองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่บนเรือแวบหนึ่ง ซึ่งมีหลายคนในนั้นกำลังวุ่นอยู่กับเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย จึงเมินหน้าไปทางอื่นด้วยหัวคิ้วขมวดเป็นปม

คนเหล่านั้นดูเหมือนผู้ลากมากดี แต่ไม่ได้ดูน่าคบเหมือนเช่นเจี่ยงเถิง

อาซือสังเกตเห็นความไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย จึงได้ขยับเข้าใกล้ตัวเจี่ยงเถิง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “พี่อาเถิง พี่รู้จักพวกเขาหรือไม่?”

เจี่ยงเถิงส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

“เฮ้อ ทำไมจะไม่รู้จักเล่า?”

นายน้อยผู้นั้นหัวเราะด้วยเสียงเย็นชา “ก่อนหน้านั้นเจ้าตั้งใจหักหน้าข้าในงานเลี้ยงมงคลฉงหลิน[1] ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก การตีสองหน้าไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเจ้าได้สักคนเดียว”

เจี่ยงเถิงไม่อยากยุ่งกับคนประเภทนี้ จึงพาอาซือเข้าไปในห้องโดยสารของเรือ แต่อาซือกลับชิงเดินรุดหน้าหนึ่งก้าวแล้วพูดว่า “เจ้าระวังคำพูดหน่อยก็ดี! ใครตั้งใจหักหน้าเจ้าไม่ทราบ แน่นอนว่าเป็นเจ้านั่นแหละที่เก่งสู้ผู้อื่นไม่ได้แล้วไม่ยอมรับมัน ข้าว่ามันคือความใจแคบต่างหากที่ไม่มีผู้ใดเทียบเจ้าได้!”

นายน้อยผู้นั้นโกรธเกรี้ยวทันใด จากนั้นก็พรวดลุกขึ้นแล้วชี้หน้าด่าอาซือ “เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาท้าทายข้า! ก่อนหน้านั้นข้าไม่เคยเห็นว่าเจี่ยงเถิงจะมีผู้อื่นข้างกาย อย่าคิดว่าทำตัวเป็นแขกของหอจุ้ยฮวาแล้วจะถูกไล่ออกไม่ได้เชียว”

หอจุ้ยฮวาเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง จะมีแขกเข้ามาขอตัวนางโลมไปปรนนิบัติดูแล

ก่อนหน้านั้นอาซือไม่ได้เดินเตร่ในเมืองหลวงมากนัก สหายรุ่นเดียวที่รู้จักกันก็ยิ่งน้อยลงเข้าไปอีก คาดไม่ถึงว่าการได้พบคนเหล่านี้เป็นครั้งแรก จะถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลม!

อาซือไม่เคยรู้สึกอัปยศอดสูเช่นนี้เลยตั้งแต่เด็กจนโต ใบหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ

เจี่ยงเถิงดึงตัวอาซือมาไว้ด้านหลัง พร้อมกับมองไปยังคนที่รนหาที่ตายด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าจำได้แล้ว เจ้าคือหลี่ฝูสิงที่ไหว้วานผู้อื่นให้เขียนบทประพันธ์ในงานเลี้ยงมงคลฉงหลิน สุดท้ายก็ถูกข้าเหยียบหัว ทั้งยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลหลี่ม่าว ขุนนางฝ่ายพลเรือนที่เคยถูกผู้อื่นฟ้องร้องคนนั้นใช่หรือไม่? แม้ว่าเจ้าจะมีความรู้งู ๆ ปลา ๆ นิสัยต่ำทราม แต่เพื่อเห็นแก่หน้าพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้า ข้าขอเตือนเจ้าเพียงครั้งเดียว ถ้าเจ้ายังอยากมีนิ้วชี้ของตัวเอง ก็รีบเก็บกลับไปเสีย”

เห็นได้ชัดว่าเจี่ยงเถิงไม่ได้พ่นคำหยาบคายออกมา แต่หลี่ฝูสิงกลับรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วแผ่นหลังอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความชาไล่ระดับมาจากกระดูกสันหลังไปจนถึงปลายนิ้ว จึงต้องลดมือลงอย่างอดเสียไม่ได้

หลังจากลดมือลงแล้ว คนผู้นั้นจึงยิ่งรู้สึกเสียหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าสหายมากมายของตัวเอง จึงได้ส่งเสียงเหอะอย่างเย็นชาออกมา แล้วพูดเสริมว่า “เดินเล่นในหอนางโลมโดยไม่ให้ผู้อื่นนินทา มิใช่ธรรมชาติของมนุษย์ อ่อ อีกอย่าง ถ้าข้าคิดว่าตัวเองสูงส่งเทียมฟ้าทุกวัน ข้าคงไม่กล้ายอมรับว่าข้าไปหอนางโลมหรอก”

เจี่ยงเถิงรั้งตัวอาซือที่อยากจะเข้าไปซัดหน้าสั่งสอนหลี่ฝูงสิงผู้นั้นเสียให้ได้ ก่อนจะพูดเสียงเบา “ข้ารับมือได้ ต่อล้อต่อเถียงกับเขามือเจ้าสกปรกเสียเปล่า ๆ รีบเข้าไปข้างในเถิด”

“ไม่ได้!” อาซือถลึงตาใส่เจี่ยงเถิงแวบหนึ่ง “นี่ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของเจ้า เหตุใดข้าต้องไปด้วย เมื่อครู่เจ้าเพิ่งสัญญากับข้าอยู่เลย ตอนนี้กลับไล่ข้าไปเพียงลำพังเสียอย่างนั้น?”

“ไม่ใช่ อาซือข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

เจี่ยงเถิงยิ้มอย่างจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เด็กสาวคนนี้ฟังอย่างไร

เขารู้สึกแค่ว่าฝีปากของคนผู้นี้หยาบคาย เกรงว่าจะทำให้หูของอาซือแปดเปื้อนไปด้วย

อีกอย่าง อธิบายเหตุผลกับคนที่ไร้ยางอายไปก็ไร้ประโยชน์ จะสู้กับคนต่ำทรามก็ต้องใช้วิธีของคนต่ำทราม

หลี่ฝูสิงเห็นสองคนนั้นกระซิบกระซาบบางอย่างเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ไฟโกรธจึงยิ่งสุมอยู่ในใจ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าคลุมเครือ “ไอหยา ชักช้าเสียจริง อัจฉริยะตระกูลเจี่ยง เจ้าคงไม่ได้จะขอนางโลมกลับจวนสักคนหรอกนะ เกียรติยศของตระกูลเจี่ยงถูกเจ้าทำลายป่นปี้เป็นแน่”

“ปากสกปรกพูดแต่เรื่องไร้สาระ พ่อของเจ้าไม่เคยสั่งสอนว่าเจ้าต้องเคารพผู้อื่นหรือ?”

อาซือโกรธจนควันออกหู ดึงตัวเจี่ยงเถิงที่ขวางตัวเองออก “คำก็นางโลมสองคำก็นางโลม เดาว่าเจ้าคงจะอาลัยอาวรณ์กับหอนางโลมไม่น้อย ดังนั้นเจอใครก็กล่าวหาว่าเป็นหญิงหอนางโลมไปเสียหมด ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่ต้องอับอายเพราะผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ที่โง่เขลาไร้สมองเหล่านี้!”

เจี่ยงเถิงรีบพูดคล้อยตามหญิงสาวทันที “นายน้อยหลี่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูล ปกติก็ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำอยู่แล้ว นึกจะพูดอะไรก็พูดอย่างนั้น ระวังจะปากแตกโดยไม่รู้ตัว วันหน้าถ้าข้าเจอใต้เท้าหลี่คงต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง หลีกเลี่ยงไม่ให้ขาดทายาทในอนาคต”

หลี่ฝูสิงโกรธทั้งสองคนเป็นฟืนเป็นไฟ จนอยากจะก่นด่ากลับไป แต่เพราะกลัวว่าเจี่ยงเถิงจะฟ้องบิดาของตน ในใจจึงยิ่งอึดอัด

หลี่ม่าวผู้เป็นบิดาของเขาเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ต้องทักทายเจี่ยงเถิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมักจะไปมาหาสู่กันเรื่อย ๆ จนเรียกเจี่ยงเถิงจนติดปากไปโดยปริยาย

เจี่ยงเถิงทำอะไรก็ดีไปเสียหมด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องเอาพวกเขาไปเปรียบเทียบกับเจี่ยงเถิงเสมอ สุดท้ายก็เจ็บใจตัวเอง

เพราะแบบนี้ เขาจึงอยากกดขี่ข่มเหงเจี่ยงเถิงในงานเลี้ยงมงคลฉงหลิน ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ใครจะรู้เล่าว่าไม่เพียงแต่ด้านวรรณกรรมที่สู้เจี่ยงเถิงไม่ได้แล้ว สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็ต้องยอมจำนนให้กับปลายพู่กันของเจี่ยงเถิง ตัวเองได้แต่ต้องมอบตัว

ยามนั้นหลี่ฝูสิงแทบจะกระอักเลือดออกมา

ต่อมาบิดาของตนก็รับรู้เรื่องนี้จนได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการลงไม้ลงมือยามโกรธเกรี้ยว ถ้าไม่ใช่เพราะมารดาเข้ามาขวางไว้ หลี่ฝูสิงคงจะถูกบิดาเฆี่ยนตีจนตายอย่างที่ตัวเองสงสัยไว้แน่นอน

ใครจะไปคาดคิดว่าตัวเองที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและยกเลิกคำสั่งห้าม จะได้พบกับเจี่ยงเถิงทันทีหลังจากที่เรียกสหายออกไปข้างนอกในครั้งแรก โลกมันชักจะแคบเกินไปเสียแล้ว

เวลานี้อาซือก็ยังราดน้ำมันบนกองไฟอีกด้วย “มีทายาทเช่นนี้ การไร้ซึ่งทายาทก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายนัก”

“นังสารเลวพูดจาเหลวไหล! เชื่อหรือไม่ว่าข้าตบปากเจ้าได้!”

หลี่ฝูสิงที่เพิ่งเก็บมือกลับไปก็ยกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพุ่งจู่โจมเข้าหาอาซือด้วยความโกรธเกรี้ยว

เขายังมีความกลัวต่อคำพูดที่เจี่ยงเถิงลั่นออกมาเมื่อครู่ก็จริง แต่ตอนนี้เขากลับทนไม่ไหวแล้ว

คนที่ท่องเที่ยวไปในโลกกว้างอย่างตนไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน จึงคิดว่านางไม่ใช่หญิงสาวในตระกูลสูงศักดิ์เป็นแน่ แต่ที่นางสามารถอยู่กับคนอย่างเจี่ยงเถิงได้ จะต้องเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้นแต่มีองค์ความรู้และสติปัญญาสักตระกูลอย่างแน่นอน

คนแบบนี้ตนไม่มองให้เสียสายตาหรอก!

ยังไม่ทันที่อาซือจะโต้กลับ ทันใดนั้นก็มีสิ่งของสองอย่างลอยเข้ามาทางด้านหลังของนางด้วยความเร็ว ก่อนจะกระทบเข้าที่นิ้วมือและมุมปากของหลี่ฝูสิงอย่างแม่นยำ

หลังจากที่ของสองสิ่งนี้ฟาดใส่คนอย่างแม่นยำแล้วมันก็ร่วงสู่พื้นจนเกิดเสียงกระทบพื้นดัง ‘เพล้ง’ ขึ้น คนที่มุงดูเหตุการณ์ก็มองเห็นได้ว่ามันคือจานกระเบื้องเคลือบสองใบ

“เมื่อครู่ข้าบอกให้เจ้าระวังมือตัวเอง เจ้าก็ไม่ฟัง ยังจะตบปากผู้อื่นอีก” เหยาเอ้อหลางค่อย ๆ เดินมายังอีกด้านของอาซือ “ดูปากของเจ้าดี ๆ ก่อนเถอะ”

เหยาเอ้อหลางมีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกโด่งเป็นคมสัน นัยน์ตาดุดันอย่างมาก ทั้งยังเคยตีรันฟันแทงอยู่ในสนามรบมาแล้วกว่าสองปี สีหน้าถมึงทึงที่เขาแสดงออกมาตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้ดีที่มักสำมะเลเทเมาในเมืองหลวงรับมือได้โดยง่าย

หลี่ฝูสิงมึนงงกับความเจ็บปวดจากใบหน้าและมือของตัวเอง จากนั้นน้ำตาก็พลันไหลพรั่งพรูก่อนตะโกนทั้งน้ำตา “มือของข้า มือของข้าหักแล้ว! ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”

ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นท่าทางจนตรอกของอีกฝ่าย เขาก็อดกระตุกมุมปากอย่างอดไม่ได้ “ดี ชีวิตของข้าอยู่ตรงนี้แล้ว รอเจ้ามาเอาไป จำไว้ให้ขึ้นใจเสีย เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนชื่อ จวนแม่ทัพ เหยาเกาบุตรคนที่สองของตระกูลหลิน”

อวัยวะทั้งห้าของหลี่ฝูสิงด้านชา จึงคว้าตัวคนข้างกายมาแยกเขี้ยวยิงฟันกล่าวถามว่า “เขาเป็นคนตระกูลไหน?”

“นายน้อยหลี่ เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ เขาบอกว่าเขาเป็นคนของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ เราทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก” คนผู้นั้นพูดอย่างลนลาน

ทันใดนั้นทั้งร่างกายและสมองที่เกร็งชาเพราะความเจ็บปวดแสนทรมานของหลี่ฝูสิงก็พลันตื่นตัว จู่ ๆ ก็นึกถึงหญิงสาวที่ตัวเองเคยสร้างความอัปยศผู้นั้นขึ้นได้ จึงรู้สึกเคร่งเครียดในใจ

เหยาเอ้อหลางสังเกตเห็นการเปลี่ยนแลงภายนอกของเขา จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หรือว่าเจ้าจะไปอธิบายเหตุผลให้แก่ญาติผู้น้องคนนี้ของข้าก่อน นางเป็นบุตรสาวสายเลือดตรงของแม่ทัพใหญ่หลิน…หลินซือ”

หลี่ฝูสิงตกตะลึงพรึงเพริดไปทั้งตัวและหัวใจจนตาเหลือก จากนั้นก็เป็นลมสลบไป

………………………………………………………………………………………………………………………..

[1] งานเลี้ยงมงคลฉงหลิน เป็นงานที่จัดขึ้นหลังจากที่เหล่านักวิชาการที่สอบเข้าราชการพลเรือนเรียบร้อยแล้ว

สารจากผู้แปล

พวกเก่งแต่ปากมันต้องเจอของจริงอย่างเอ้อหลาง เป็นไงล่ะสลบไปเลยไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย

ไหหม่า(海馬)