ตอนที่ 475 ป้อนอาหารคนจากดาวสุนัขโดยเปล่าประโยชน์

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 475 ป้อนอาหารคนจากดาวสุนัขโดยเปล่าประโยชน์

วันนี้ผู้รับหน้าที่ขับรถม้ามาส่งคณะเดินทางก็คือเหลยหยู่และบุตรชายคนโตของหลิวต้าซวน หลังจากส่งพวกหลินเว่ยเว่ยที่ท่าเรือและยกสัมภาระลงให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ขับรถม้ากลับหมู่บ้านฉือหลี่โกว

ก่อนหน้าที่จะเข้าประตูเมืองก็ยังเห็นว่าเป็นเวลาเช้าอยู่ เจียงโม่หานจึงให้รถม้าขับไปส่งยังกระท่อมมุงจากซึ่งเป็นที่อาศัยของผู้อาวุโสเซวียก่อน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าไม่ได้มาที่แห่งนี้เพียงครึ่งเดือน กระท่อมมุงจากของผู้อาวุโสเซวียก็ว่างเปล่าเสียแล้ว…

ดูจากสถานการณ์แล้วพวกผู้อาวุโสเซวียน่าจะเป็นฝ่ายย้ายออกไปเอง หรือว่า…ความพยายามและความมุ่งมั่นของบัณฑิตหยวนจะทำให้ผู้อาวุโสเซวียใจอ่อน บัณฑิตหยวนรับชายชราเข้าเมืองหลวงไปแล้ว ? หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกตนก็ยังมีโอกาสได้พบชายชราผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศอีกครั้ง

หลินเว่ยเว่ยที่เดินตามหลังมาก็เห็นแบบนั้นแล้วบ่นอุบ “ตาเฒ่าผู้นี้ไม่ได้เรื่องเลย จะไปจากที่นี่ก็ไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้าสักคำ เฮอะ ดูท่าแล้วแฮมจินหัวอบน้ำผึ้ง หมูตุ๋นน้ำแดงและของเหล่านั้นที่นำมามอบให้ตลอด คงกลายเป็นการป้อนอาหาร…คนจากดาวสุนัขโดยเปล่าประโยชน์”

เจียงโม่หานลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “ผู้อาวุโสเซวียคงคิดคำนวณทุกอย่างไว้ดีแล้ว ประเดี๋ยวพวกเราคงได้พบกันใหม่ในเมืองหลวง เขาจะกล่าวคำอำลาหรือไม่นั้นก็ช่างเถิด”

ทว่าหลินจื่อเหยียนที่ได้ยินคำประหลาดจากปากของพี่รองจึงถามด้วยความสงสัย “พี่รอง คนจากดาวสุนัขคืออะไร ? ”

“คนจากดาวสุนัขก็คือคนจากดาวสุนัข เจ้าเด็กน้อย จะถามเยอะแยะทำไม ! ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าตึง จากนั้นนางก็หน้าบึ้งมาตลอดทางจนกระทั่งถึงท่าเรือก็ยังไม่ยอมทำสีหน้าปกติ

หลินจื่อเหยียนทำหน้าหงอยทันที เขายอมปิดปากเงียบแต่โดยดีแล้วใช้นิ้วลูบไล้ขนของเจ้าหงส์แดงที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ในมือของตน ในบรรดาสัตว์เลี้ยงของที่บ้าน เจ้าอินทรีทองและเจ้าดำอยู่ดูแลคนในครอบครัวที่หมู่บ้าน โดยอินทรีทองคอยเป็นเวรยามตรวจตราบนท้องฟ้า ส่วนเจ้าดำคอยตรวจตราอยู่ภาคพื้นดิน

มีเพียงเจ้าหงส์แดงตัวน้อยพูดเก่งที่ตามไปยังเมืองหลวง มันจะคอยทำหน้าที่ช่วยให้พวกเขาคลายเหงา เมื่อคืนนี้ หลังจากที่มันรู้ว่าจะได้ออกเดินทางไปกับพวกเจ้านาย มันก็ตื่นเต้นดีใจจนไม่หลับไม่นอนทั้งคืน ในเวลานี้มันจึงขดตัวนอนหลับปุ๋ยอยู่ในมือของหลินจื่อเหยียน

เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว เพียงไม่นานก็เห็นหลิวว่ายจื่อที่มาพร้อมห่อผ้าใบเล็กใบใหญ่ดูพะรุงพะรัง ซึ่งหลังจากที่เห็นรถม้าของตระกูลหลินแล้วหลิวว่ายจื่อก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เขารีบเดินปรี่เข้ามาหา “หลานสาว ข้าทำให้พวกเจ้าต้องรอเสียนานเลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยมองสัมภาระที่วางอยู่ข้างเท้าของเขาจึงกล่าวหยอกเย้า “อาว่ายจื่อ นี่ท่านทำอะไร ? จะย้ายบ้านหรือ ? ”

“ฟังเจ้าพูดเข้าสิ นายหญิง ในเมื่อเจ้าจะไปบุกเบิกช่องทางที่เมืองหลวงทั้งที จะขาดผู้ช่วยคนสำคัญอย่างข้าได้อย่างไร ? พอถึงตอนนั้นก็ต้องไปหาซื้อบ่าวรับใช้คนใหม่ ไม่สู้ให้ข้าผู้รู้ใจเป็นอย่างดีติดตามไปด้วยดีกว่า” ช่วงหลายวันมานี้หลิวว่ายจื่องานยุ่งมาก เพราะร้านขายของขบเคี้ยวในอำเภอฝูอันเพิ่งเปิดกิจการได้ไม่นานและเพื่อให้กิจการดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง เขาจึงต้องคอยจัดการงานจนเส้นผมแทบจะกลายเป็นสีขาวโพลนอยู่แล้ว !

หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง จะขาดใครก็ขาดได้ แต่จะขาดหลงจู๊ใหญ่อย่างอาว่ายจื่อไม่ได้ ! ”

หลิวว่ายจื่อยิ้มกว้าง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเริ่มขนย้ายสัมภาระ หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเข้าไปห้ามเขา “แต่เป้าหมายหลักที่พวกข้าเดินทางเข้าเมืองหลวงคราวนี้คือการไปสอบ ส่วนเรื่องค้าขายนั้นรอให้ข้าไปสำรวจตลาดที่นั่นก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที อาว่ายจื่อ ท่านอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ช่วยข้าจับตาดูการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงและจำไว้ว่าไม่อนุญาตให้ขายข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวแม้แต่เมล็ดเดียว เพราะข้ามีแผนอื่น ! ให้เก็บไว้ในโกดังนี่แหละ ! นอกจากนี้เรื่องที่ดินในเขตอวี้อัน ร้านที่ข้าสั่งให้คนก่อสร้างใกล้จะเสร็จแล้ว ท่านช่วยข้าจัดการเรื่องของที่นั่น หากปล่อยเช่าได้ก็จะดีมาก ! ”

หลิวเอ้อร์ล่ายได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจ “นาย…นายหญิง โกดังของเราไม่ปล่อยให้เช่าแล้วหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยมองไปยังท่าเทียบเรือที่เริ่มจะวุ่นวายแล้ว นางจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “หลังจากหมดฤดูฝน หากน้ำฝนมีปริมาณมากพอก็คาดว่าผู้ที่มาเช่าโกดังจะมีน้อยลง พวกเราอย่าแย่งส่วนแบ่งทางตลาดกับผู้อื่นเลย ! แต่ท่านไม่ต้องกังวล ท่านยังเป็นผู้ดูแลโกดังเหมือนเดิม ยังคงได้รับเงินเดือนและเงินพิเศษตามปกติ ! ”

หลิวเอ้อร์ล่ายได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนแรกเขาคิดว่าจะตกงานเสียแล้ว คิดได้ดังนั้น เขาก็ทุบแผงอกรับคำ “นายหญิง ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลเมล็ดพันธุ์ของท่านเป็นอย่างดี ต่อให้เป็นหนูก็อย่าหวังจะขโมยไปได้ ! ”

เรือโดยสารที่จะมุ่งหน้าลงใต้ก็ได้เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่าแล้ว หลิวว่ายจื่อ หลิวเอ้อร์ล่าย เหลยหยู่และเหลียงถัวช่วยกันขนสัมภาระของพวกนางขึ้นเรือ หลินเว่ยเว่ยจองห้องโดยสารบนเรือไว้แค่ 2 ห้องเท่านั้น จึงให้หลินเว่ยเว่ยและหยาเอ๋อร์อยู่ด้วยกัน 1 ห้อง ส่วนอีกห้องเป็นห้องพักของเจียงโม่หาน หลินจื่อเหยียนและซัวถัว พอรวมกับสัมภาระที่ขนขึ้นเรือด้วยแล้วจึงทำให้ห้องโดยสารทั้งสองห้องเต็มพอดี ดูเหมือนแทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับวางเท้าด้วยซ้ำ คราวนี้หลินเว่ยเว่ยเริ่มเสียใจเพราะน่าจะจองห้องเพิ่มอีกสักห้อง

หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจยาวออกมา ออกเดินทางไกลจากบ้านเช่นนี้ คงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม !

ในไม่ช้า เรือก็ถอนสมอแล้วออกเดินทาง เนื่องจากเจียงโม่หานและสองพี่น้องตระกูลหลินดื่มน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณมานานจึงไม่มีอาการเมาเรือ ทว่าซัวถัวเมาเรือหนักมาก เขาอาเจียนออกมาหลายครั้ง หลินเว่ยเว่ยจึงผสมน้ำพุวิญญาณให้เขาดื่มติดต่อกันสองวัน อาการของเขาถึงได้ดีขึ้น

ทำเอาหยาเอ๋อร์ถึงขั้นรู้สึกเกรงใจไม่น้อย เดิมทีนางและสามีติดตามมาเพื่อดูแลเสี่ยวเว่ยและเจียงเจี้ยหยวน แต่ใครจะคาดคิดว่าพวกตนยังไม่ทันได้ดูแลเจ้านาย อีกฝ่ายก็ต้องมาดูแลผู้ติดตามเสียแล้ว ซัวถัวเวียนศีรษะจากอาการเมาเรือนานถึงสองวัน ทำให้นางเป็นกังวลว่าตนและสามีจะถูกไล่ลงเรือ ณ ท่าเทียบเรือถัดไป

แต่ในเวลานี้หลินเว่ยเว่ยยกโจ๊กที่ต้มด้วยน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณมายื่นให้หยาเอ๋อร์แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้พี่ซัวถัวควรกินอาหารย่อยง่าย โจ๊กปลาถ้วยนี้มีประโยชน์มาก พี่หยาเอ๋อร์ป้อนเขาหน่อยเถิด ! ”

ซัวถัวยังคงรู้สึกแสบร้อนตรงหน้าอก แต่ยังดีกว่าช่วงแรกอยู่มาก เขาจึงกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้าหายแล้ว ไม่ต้องทำอาหารให้ข้าหรอก…หยาเอ๋อร์ เจ้าไปดูแลเสี่ยว…นายหญิงรอง”

หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าหากไม่ให้พวกเขาทำอะไรบ้าง พวกเขาคงรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า “ได้ ! ข้ากำลังอยากทำเค้กไข่อยู่พอดี พี่หยาเอ๋อร์มาเป็นลูกมือให้ข้าที ! ”

บนเรือโดยสารระยะทางไกลมีอาหารให้กินสามมื้อต่อวัน ทว่าอาหารแต่ละมื้อต้องจ่ายด้วยราคาสูงมาก แถมฝีมือแม่ครัวบนเรือก็ไม่อร่อยถึงเพียงนั้น หลินเว่ยเว่ยได้เตรียมเตาไฟและถ่านมาด้วยตั้งแต่เนิ่น ๆ เอ่อ…ลำพังแค่ถ่านกับวัตถุดิบประกอบอาหารก็เกือบเต็มคันรถม้า !

ห้องครัวตั้งอยู่ท้ายเรือ เป็นเพิงเรียบง่ายที่สามารถรองรับคนทำครัวได้เพียง 1-2 คนเท่านั้น หลินเว่ยเว่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งเตาบนดาดฟ้าท้ายเรือ เพื่อให้บัณฑิตหนุ่มที่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับอาหารได้มาคอยกำกับรสชาติเอง

สองวันนี้ ขนมที่พวกนางเตรียมมาด้วยก็ถูกกินเกือบหมดแล้ว นางรู้ว่ายามที่บัณฑิตหนุ่มท่องตำราในช่วงบ่ายต้องมีน้ำชาและขนมไว้กินเล่น นางจึงเตรียมนึ่งเค้กไข่ให้เขา

นางเริ่มจากการแยกไข่แดงและไข่ขาวออกจากกัน เติมน้ำตาลลงในชามไข่แดงแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็แอบนำนมสดออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณแล้วใส่แป้งสาลีสำหรับทำขนมลงไป อีกด้านหนึ่งก็มาตีไข่ขาวกับน้ำตาลและเกลือเล็กน้อยจนกลายเป็นเนื้อครีมข้น แล้วตักผสมลงในชามแป้งและไข่แดง จากนั้นทาน้ำมันในถาดใบใหญ่เป็นชั้นบาง ๆ แล้วเทส่วนผสมของเค้กไข่ลงไป โรยลูกเกดและบลูเบอร์รี่อบแห้งไว้ด้านบน ใส่ถาดลงในหม้อนึ่งประมาณครึ่งชั่วยาม

ในตอนที่ยกออกจากหม้อนึ่งแล้ว เค้กไข่กลายเป็นสีเหลืองทอง นุ่มละมุนและหอมกรุ่นไปทั่ว กลิ่นหอมของเค้กไข่ไม่เพียงลอยไปแตะจมูกเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนที่นั่งก้มหน้าก้มตาท่องตำราเท่านั้น แม้แต่ผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ในห้องโดยสารถัดไปยังได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลนี้ด้วย

นี่เป็นวันที่สามสำหรับการแล่นเรือในน่านน้ำ บรรดาขนมและของขบเคี้ยวส่วนใหญ่ที่ผู้โดยสารคนอื่นนำมาด้วยจึงหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่สองวันแรก กระนั้นผู้โดยสารที่มีเงินซื้อตั๋วเรือเดินทางระยะไกลเช่นนี้ย่อมไม่ขาดแคลนเงินซื้ออาหารบนเรืออยู่แล้ว