ตอนที่ 476 หนิงอ๋องและบุตร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 476 หนิงอ๋องและบุตร

ทว่าบัดนี้ผู้โดยสารต้องรับประทาน ‘อาหารหมู’ ของแม่ครัวบนเรือเป็นเวลาสองวันแล้ว จู่ ๆ ก็มีกลิ่นหอมลอยเข้ามาแตะจมูกจึงเป็นธรรมดาที่จะนั่งไม่ติดพื้น…ผู้ใดกำลังอาหารบนเรือ ? ไม่มีทางเป็นแม่ครัวที่ทราบฝีมือกันดีอยู่แล้วแน่นอน นางไม่มีทางเปลี่ยนอาหารหมูให้กลายเป็นอาหารเลิศรสขึ้นมาได้หรอกกระมัง ?

“หมู่เฟยได้กลิ่นหอมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? หอมมากเลย ! ” เด็กผู้ชายท่าทางมีอายุประมาณห้าถึงหกขวบกำลังดึงมือของสตรีท่าทางอ่อนโยนซึ่งกำลังก้มหน้าปักผ้าอย่างตั้งใจ จนนางต้องเงยหน้าเพื่อมองออกไปนอกห้องโดยสาร

ด้านข้างของทั้งสองคนยังมีเด็กหญิงอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองปีนั่งอยู่ นางฉีกยิ้มแล้วเอ่ยเย้าน้องชาย “เจ้าลูกแมวตะกละ ขนมที่ซื้อจากเขตเริ่นอันเพิ่งกินหมด เจ้าก็หิวขึ้นมาอีกแล้วหรือ ? ”

เด็กชายเอาหน้าซุกหมู่เฟยด้วยความเขินอายแล้วเถียงกลับ “พี่หญิง ท่านก็กินไปเยอะเหมือนกัน ! ”

“ถูกต้อง ข้าก็กินด้วย แต่ข้าไม่ได้ตะกละจนเที่ยวอยากกินอาหารของคนอื่นแบบเจ้า ! ” เด็กหญิงจิบน้ำอุ่นหนึ่งอึกแล้วหันไปพูดกับบุรุษท่าทางอ่อนแอที่อยู่ด้านข้างว่า “ฟู่หวาง ถ้าอย่างไร…ลูกพาน้องชายออกไปดูได้หรือไม่เพคะ ? ถ้าแม่ครัวบนเรือทำขนมจริง ๆ พวกเราจะซื้อกลับมาให้ฟู่หวางและหมู่เฟยเพคะ ! ”

บุรุษท่าทางอ่อนแอวางตำราในมือแล้วลุกขึ้นยืน “หลีเอ๋อร์ หยูเอ๋อร์ พวกเจ้าไปใส่เสื้อคลุม ประเดี๋ยวพ่อจะพาพวกเจ้าออกไปสูดอากาศข้างนอกเอง…”

เด็กหญิงอดไม่ได้ที่ลอบยิ้มในใจ…ผู้ที่อยากออกไปสูดอากาศจริง ๆ เป็นฟู่หวางมากกว่ากระมัง ?

สตรีท่าทางอ่อนโยนเงยหน้ามองพระสวามี ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในแม่น้ำลมแรง พระพลานามัยเพิ่งดีขึ้นได้ไม่นาน ถ้าประชวรขึ้นมาอีกแล้ว การอยู่บนเรือจะหาหมอมาถวายการรักษายากนะเพคะ”

บุรุษอ่อนแอแย้มพระสรวล “ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดขนาดนั้น ข้าสวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อยก็ไม่โดนลมเย็นทำร้ายแล้ว”

บุรุษอ่อนแอคนนี้ก็คือท่านอ๋องว่างงานจากราชวงศ์ก่อนพระองค์หนึ่ง ที่ดินศักดินาซึ่งอดีตฮ่องเต้พระราชทานให้ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนืออันแสนแห้งแล้ง กระนั้นเพราะมีบุญคุณต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พอราชวงศ์ใหม่ถูกสถาปนาขึ้นมา บรรดาศักดิ์ ‘หนิงอ๋อง’ และที่ดินศักดินาจึงไม่โดนริบคืน

ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ หนิงอ๋องก็มีวรกายอ่อนแอและมักประชวรอยู่บ่อยครั้งจึงรักษาตัวอยู่แต่ในที่ดินศักดินาอย่างสงบสุขมาโดยตลอด แต่แล้วต้นไม้ที่หวังยืนต้นอย่างสงบกลับมีลมพายุพัดเข้ามาไม่หยุดหย่อน เนื่องจากในพระวรกายมีสายเลือดของราชวงศ์ก่อนไหลเวียนอยู่ ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์…องค์ชายห้าของราชวงศ์ก่อนได้มาพบ อีกฝ่ายหวังว่าพระองค์จะเป็นกำลังสำคัญแล้วช่วยกอบกู้ความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์ต้าโจวคืนมา

ความรุ่งโรจน์ ? เดิมทีก่อนสิ้นต้าโจว แผ่นดินก็เน่าเฟะอยู่แล้ว ยังจะเอาความรุ่งโรจน์มาจากที่ใดอีก ? เห็นพระองค์ไร้สมองหรือไร ไม่รู้เลยหรือว่าเสด็จลุงที่แสนดีพระองค์นั้น…ฮ่องเต้ผู้ประเสริฐของต้าโจวได้ทำอะไรลงไปบ้าง ? ฟู่หวางสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร ? แล้วพี่ชายทั้งสองของพระองค์สิ้นชีพอย่างอนาถได้อย่าง ? ถ้าไม่ใช่เพราะพระองค์มีสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เยาว์วัย ก็คงไม่ต้องรอให้ได้สืบทอดตำแหน่งหนิงอ๋องหรอก คงได้เจริญรอยตามฟู่หวางและพี่ชายไปแล้วกระมัง ?

อดีตองค์ชายห้าผู้นั้น ภายนอกดูสุภาพและเปี่ยมมารยาท แต่ในความเป็นจริงแล้วอำมหิต เหตุใดพระวรกายของหนิงอ๋องจึงกลายมาเป็นแบบนี้ ? หากเดาไม่ผิดก็คงเป็นของขวัญจากลูกพี่ลูกน้องคนนี้เอง

พระองค์มีความจำเป็นเลิศจึงสามารถย้อนไปยามที่เป็นคุณชายของท่านอ๋อง ตอนนั้นยังมีอายุเพียง 4 ขวบ ขณะเข้าวังไปเป็นเพื่อนเล่นขององค์ชายห้า เพียงเพราะฮ่องเต้ตรัสชื่นชมเขาแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ญาติผู้พี่ซึ่งมีพระชนมายุมากกว่า 3 ปี บังเกิดความริษยาและผลักเขาลงไปในสระบัวของวังหลวง ตอนนั้นเป็นช่วงเดือน 12 ที่มีอากาศหนาวเหน็บ หลังถูกช่วยเหลือขึ้นมาได้แล้ว แม้จะรักษาชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ได้ แต่ก็ต้องป่วยเรื้อรังและเป็นสหายกับโอสถไปชั่วชีวิต…

หากในตอนนี้หนิงอ๋องเชื่อฟังคำยุยงขององค์ชายห้าจากราชวงศ์ก่อนจริง ๆ และช่วยฟื้นคืนราชวงศ์ต้าโจวอย่างสุดกำลัง วันที่ประสบความสำเร็จก็คงเป็นวันสิ้นชีพของพระองค์เองเช่นกัน

การที่หนิงอ๋องอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ในช่วงวันเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่มาก พระองค์ก็อยากใช้เวลากับพระชายาและบุตร ความทะเยอทะยานอันใหญ่หลวงหรือการสร้างผลงานให้ฮ่องเต้ได้ชื่นชม ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา…

หนิงอ๋องรู้ว่าญาติผู้พี่ที่ห้าไม่มีทางถอดใจ พระองค์จึงแอบเขียนฎีกาถวายแด่ฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงประทานอนุญาตให้ครอบครัวของหนิงอ๋องย้ายกลับเมืองหลวง และเมื่อเวลานั้นมาถึง หนิงอ๋องก็จะขอให้ราชสำนักริบที่ดินศักดินากลับคืนเพื่อตัดปัญหาเกี่ยวกับอดีตองค์ชายห้า จากนั้นก็กลายเป็นอ๋องว่างงานอยู่ในเมืองหลวง ออกห่างจากความวุ่นวายทั้งปวง ขอเพียงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอ

“ฟู่…ท่านพ่อเจ้าค่ะ มีพี่สาวกำลังทำขนมอยู่ทางนั้น ! ” โม่ชิงหลีแกว่งพระหัตถ์ของฟู่หวางไปมา ทำให้พระองค์หลุดจากภวังค์แห่งความคิด

หลังได้สติกลับมาแล้วหนิงอ๋องก็มองตามทิศทางที่บุตรสาวชี้ไป จึงพบเข้ากับสตรีร่างสูงโปร่ง ท่าทางมีอายุประมาณ 14-15 ปี อีกฝ่ายกำลังนำขนมก้อนสีเหลืองทองออกจากถาด จากนั้นก็ใช้มีดไม้ไผ่ตัดเป็น 6 ชิ้นขนาดเท่ากัน กลิ่นหอมยั่วยวนลอยออกมาจากก้อนขนมที่ยังร้อนผ่าวนั่นเอง

โม่ชิงหยูแอบกลืนน้ำลายลงคอและพูดเบา ๆ ว่า “ดูเหมือนขนมเค้กของร้าน ‘หนิงจี้’ เลยขอรับ แต่กลิ่นหอมกว่าขนมเค้กที่เราซื้อมาเสียอีก…”

ขณะที่พูดแบบนั้นท้องน้อย ๆ ของเขาก็เริ่มส่งเสียงคำรามออกมา เจ้าตัวน้อยหน้าแดงทันที คงเพราะอาหารกลางวันรสชาติแย่เกินไป เขาจึงกินไปแค่สองคำก็บอกว่าอิ่ม หลังได้กลิ่นขนมอันหอมหวนแล้ว ท้องก็ร้องขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

หนิงอ๋องลูบศีรษะบุตรชายตัวน้อยด้วยความรัก ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปถาม “กู่เหนียง ขนมที่ท่านทำนี้ พอจะแบ่งขายให้พวกเราสักสองชิ้นได้หรือไม่ ? ”

“ไม่ขาย ไม่ขาย ! นี่เป็นของที่พวกเราทำกินกันเอง ! ” หลินจื่อเหยียนเบียดตัวเข้ามาจากด้านหลังแล้วเข้าไปปกป้องขนมที่เพิ่งออกจากหม้อนึ่งทันที

หนิงอ๋องโดนเบียดจนเดินเซออกไปหลายก้าวและก็แทบจะเสียหลักล้มลงกับพื้น โม่ชิงหลีรีบเข้าไปประคองฟู่หวางเอาไว้แล้วหันมาถลึงตาใส่หลินจื่อเหยียนด้วยความโมโหทันที “เหตุใดเจ้าเป็นคนแบบนี้ ? ไม่ขายก็ไม่ขายสิ เหตุใดต้องผลักฟู่…ท่านพ่อของข้าด้วย ? ”

หลินจื่อเหยียนหันไปมองอีกฝ่ายปราดหนึ่งแล้วพูดด้วยความรำคาญ “ใครผลักเขา ? ทำไมหรือ ? กำลังคิดจะ ‘ชนใช้’1 หรือไร ! ”

แม้โม่ชิงหลีไม่เข้าใจว่า ‘ชนใช้’ คืออะไร แต่ก็คิดว่าไม่ใช่คำที่มีความหมายดีแน่นอน นางจึงโมโหจนพุ่งออกไปเพื่อขอคำอธิบายจากอีกฝ่าย แต่โดนหนิงอ๋องห้ามไว้ก่อน

“คุณชายน้อยท่านนี้ไม่ได้ผลักพ่อจริง ๆ เป็นพ่อที่ยืนไม่ดีเอง โทษคนอื่นไม่ได้หรอก หลีเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว รีบขอโทษคุณชายน้อยท่านนี้เร็ว” หนิงอ๋องไอออกมาสองสามครั้ง แต่น้ำเสียงแผ่วเบาที่เปล่งออกมากลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม

หลินจื่อเหยียนเห็นอีกฝ่ายมีหน้าตาซูบผอมและซีดเซียว จึงรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้คิดใช้อุบายชนแล้วชดใช้ เขาจึงรีบพูดต่อ “ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก เมื่อครู่เป็นเพราะข้ารีบเดินไปหน่อยจึงชนตัวท่าน แต่ท่าน…ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ? ”

“ไม่เป็นไร…” ในเวลานี้ได้มีกระแสลมพัดเข้ามา ทำให้หนิงอ๋องไอหนักกว่าเดิม

โม่ชิงหยูรีบจัดเสื้อผ้าของฟู่หวางและมองด้วยความเป็นห่วง “ฟู่…ท่านพ่อขอรับ ข้างนอกลมแรง เรากลับเข้าด้านในกันเถิดขอรับ…” ไม่ว่าเขาจะหิวหรืออยากกินเค้กมากเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับร่างกายของฟู่หวางแล้วเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

หลินจื่อเหยียนได้ยินเสียงท้องร้องของเจ้าถั่วงอกน้อยที่น่าจะมีอายุน้อยกว่าน้องสี่อย่างชัดเจน เขาจึงก้มมองเค้กไข่ในมือ จากนั้นก็เงยหน้ามองเด็กน้อยตัวซูบผอมอีกครั้ง ลังเลอยู่กับเด็กหญิงและเด็กชายตรงเบื้องหน้าสักพักหนึ่ง สุดท้ายก็ก้มตัวลงเล็กน้อยพลางยืนส่งเค้กให้ชายผู้นั้น “ได้ยินว่าอาหารบนเรือลำนี้รสชาติแย่มาก นี่เป็นเค้กที่พี่รองของข้าทำเอง หากท่านไม่รังเกียจก็รับไปให้พวกเด็ก ๆ กินเถิด…”

“ไม่กล้า ไม่กล้ารบกวน…” สองพี่น้องทำขนมกินกันเอง แล้วพระองค์จะกล้ารับไว้ได้อย่างไร ?

“ไม่เป็นไร เดินทางออกนอกบ้านก็ต้องมีชีวิตที่ยากลำบากกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังพาเด็กสองคนมาด้วย ท่านรับไปเถิด ดูนั่นสิ ถาดที่สองกำลังนึ่ง ผู้ใหญ่อย่างพวกเรากินช้าหน่อยไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าปล่อยให้พวกเด็ก ๆ หิวเลย ! ”

[i]
1 ชนใช้ หมายถึง การสร้างสถานการณ์ให้เหมือนโดนชนแล้วจะเรียกร้องเอาเงิน