ตอนที่ 477 ที่แท้ก็เป็นอ๋องอายุสั้นพระองค์นั้น
หลินจื่อเหยียนก้มมองเจ้าตัวน้อยที่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากำลังท้องร้อง แต่ไม่หันมามองเค้กไข่สักแวบเดียว เขาจึงเริ่มคิดถึงน้องชายตัวแสบที่บ้านขึ้นมา ตอนที่ตระกูลหลินยังไม่มีอาหารให้กินจนอิ่มท้อง เจ้าหนูน้อยก็รู้ความแบบนี้เลย รู้จักทำตัวเข้มแข็งเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสาร
หากเป็นเวลาอื่น หนิงอ๋องไม่มีทางยอมรับของจากคนอื่นแน่นอน แต่พอมองบุตรชายและบุตรสาว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจรับไว้
หลังจากสามพ่อลูกเข้าไปในห้องโดยสารแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เหลือบมองน้องชายพลางพูดว่า “เจ้ามีน้ำใจ ชอบแบ่งของที่ข้าทำไปให้คนอื่นเสียจริง ! ”
หลินจื่อเหยียนเข้าไปช่วยนางตีไข่ขาวอย่างเอาใจ ก่อนจะพูดว่า “ข้าก็แค่ได้ยินพวกผู้โดยสารบนเรือบ่นว่าอาหารที่แม่ครัวทำเหมือน ‘อาหารหมู’ ตั้งหลายครั้ง ครอบครัวนี้พาลูกชายลูกสาวมาด้วย ฝ่ายคนเป็นพ่อก็ดูไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไร พวกเขาคงลำบากไม่น้อยเลย…”
“ใช่สิ ! พวกเขาลำบากไม่น้อย ส่วนเจ้าไม่ลำบากเลย ! เจ้ายกขนมสำหรับสองวันนี้ให้คนอื่นไปแล้ว ดังนั้นขนมที่เหลืออีกสองถาดก็จะไม่มีส่วนของเจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยแค่นเสียง ฮึ
หลินจื่อเหยียนรู้ว่าพี่รองกำลังล้อเล่น แต่ก็ยังพูดเอาใจนางยกใหญ่เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในการกินขนมของตนตลอดสองวันข้างหน้าคืนมา
ในขณะที่หนิงหวางเฟยกำลังปักผ้าให้บุตรสาวอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้ามา พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นถาดขนมในพระหัตถ์ของหนิงอ๋อง จึงถามว่า “พระองค์…ซื้อมาหรือเพคะ ? ”
โม่ชิงหลีรับถาดขนมจากฟู่หวางแล้วนำไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะตอบว่า “เป็นของที่ครอบครัวในห้องโดยสารด้านข้างให้มาเพคะ”
“ให้ ? ” หนิงหวางเฟยรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที จากที่รู้จักพระสวามีย่อมไม่มีทางรับของจากใครสุ่มสี่สุ่มห้า
หนิงอ๋องล้างพระหัตถ์แล้วหยิบเค้กไข่ชิ้นหนึ่งยื่นให้พระชายา จากนั้นจึงหยิบให้บุตรคนละชิ้น หลังโดนบุตรชายและบุตรสาวเกลี้ยกล่อมแล้วถึงหยิบขึ้นมาเสวยเองหนึ่งชิ้นพลางตรัสว่า
“ให้ด้วยน้ำใจจึงยากจะปฏิเสธ…เห็นว่าคุณชายสองท่านที่อยู่ห้องด้านข้างดูท่าทางจะเป็นปัญญาชน อีกประเดี๋ยวข้าจะเอา ‘ตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่’ ที่คัดไว้เมื่อก่อนไปให้พวกเขาหนึ่งชุด เป็นการตอบแทนน้ำใจในครานี้”
หนิงหวางเฟยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก นางกัดกินขนมหนึ่งคำ เนื้อนุ่มหอมหวาน รสหวานกำลังพอดี อร่อยยิ่งกว่าขนมร้านหนิงจี้ที่ซื้อมาเสียอีก จากนั้นหันไปมองบุตรชายก็กำลังกินขนมคำโตด้วยใบหน้าแสนพึงพอใจ ราวกับเป็นอาหารอันโอชะที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้แล้ว
หนิงอ๋องถอนหายใจเบา ๆ พระชายาและบุตรทั้งสองเคยลำบากอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? เป็นเพราะพระองค์พาพวกเขามาลำบากเอง !
หนิงอ๋องรู้ว่าญาติผู้พี่ไม่มีทางปล่อยพระองค์ไปง่าย ๆ แน่นอน สำหรับการเดินทางครั้งนี้จึงให้หัวหน้าองครักษ์ของจวนอ๋องนำขบวนคุ้มกันไปส่งครอบครัว ‘หนิงอ๋อง’ ตัวปลอมเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อดึงดูดความสนใจของอดีตองค์ชายห้า
ส่วนหนิงอ๋องตัวจริงก็ปลอมตัวขึ้นเรือเพื่อเดินทางลงใต้ โดยพาสาวใช้มาเพียงสองคนและองครักษ์อีกสองคน แต่คาดไม่ถึงว่าบริการบนเรือจะย่ำแย่ถึงขนาดนี้
หลังได้ยินคุณชายน้อยกลับเข้าห้องโดยสารข้าง ๆ แล้ว หนิงอ๋องก็หยิบตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ออกมาจากห่อสัมภาระ แล้วเดินไปเคาะประตูห้องด้านข้างพร้อมถาดขนมที่รับมาเมื่อครู่
คนที่ออกมาเปิดประตูเป็นคุณชายน้อยที่มอบขนมให้นั่นเอง หลังเห็นถาดในมือหนิงอ๋องแล้วก็ยื่นมือมารับด้วยรอยยิ้ม “นำมาส่งคืนได้รวดเร็วเหลือเกิน…”
จากนั้นหนิงอ๋องก็ยื่นตำราทั้งสี่เล่มออกไป “นี่คือตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่หนึ่งชุด เป็นตำราที่ข้าคัดลอกในยามว่าง หากคุณชายน้อยไม่รังเกียจก็โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ ? หลินจื่อเหยียนรับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง หลังจากพลิกไปพลิกมาแล้วมันก็คือตำราทั้งสี่ที่มีคำบรรยายประกอบเพิ่มขึ้นมาเอง ! เขาจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไร เพราะคำบรรยายของคนอื่นจะร้ายกาจเท่าพี่เขยรองได้อย่างไร ? ยิ่งไปกว่านั้นคือในมือของพวกตนยังมีบันทึกรวบรวมคำสอนของผู้อาวุโสเซวีย !
เมื่อรอให้หนิงอ๋องจากไปแล้ว หลินจื่อเหยียนก็วางตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มฝึกคัดตัวอักษร พี่เขยรองรับบทเป็นอาจารย์จนคุ้นชินแล้ว แม้จะออกมาข้างนอกก็ยังไม่ให้เขาหยุดพัก แต่ละวันต้องคอยดูเขาอ่านตำรา คัดตัวอักษรและเขียนบทความ…ชีวิตน่าขมขื่น !
เจียงโม่หานเดินมาจากด้านนอก เมื่อเห็นว่าหลินจื่อเหยียนกำลังเพ่งสมาธิไปที่การคัดอักษร จึงไม่ได้เข้ามากวน เมื่อเห็นบนโต๊ะมีตำราวางอยู่ เขาจึงหยิบขึ้นมาพลิกดู…ช้าก่อน ตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ ? เป็นตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ที่นักปราชญ์โจวผู้เลื่องชื่อในราชวงศ์ก่อนให้คำบรรยายไว้ ?
นักปราชญ์โจวคือปราชญ์ลัทธิขงจื๊อผู้มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงราชวงศ์ต้าโจวรุ่งเรือง สิ่งที่เขาแตกต่างจากผู้อาวุโสเซวียก็คือการไม่รับลูกศิษย์ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาตำราทั้งสี่ เขาได้ผสมผสานทฤษฎีของชนรุ่นก่อนและยังมีความเข้าใจอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ด้วย สามารถนำมาใช้กับทางโลกได้จริง น่าเสียดาย…ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงหายสาบสูญไป…
เจียงโม่หานเริ่มพลิกอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ คำบรรยายด้านในทำให้บังเกิดมุมมองใหม่ขึ้นมาจริง ๆ แต่ลายมือที่คัดลอกออกมานี้…เหตุใดจึงคุ้นตาเหลือเกิน ?
แต่แล้วภายใต้ความสับสน เขาก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายจากห้องข้าง ๆ เรียกใครคนหนึ่งว่า ‘ฟู่หวาง’ ทันใดนั้นหมอกควันตรงเบื้องหน้าก็เหมือนจางหายไปในทันที…หนิงอ๋อง ? อ๋องว่างงานผู้มีลายพระหัตถ์ยอดเยี่ยม แต่กลับมีอายุสั้นในชาติก่อน ! พอคำนวณเวลาดูแล้ว ช่วงเวลาที่หนิงอ๋องจะเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อยกที่ดินศักดินาคืนราชสำนักก็น่าจะอยู่ในช่วงนี้พอดี
หากเปรียบหนิงอ๋องเป็นขุนนาง ก็คือขุนนางตงฉินคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับความยกย่องในชาติก่อนและผู้คนก็รู้สึกเศร้าใจมากในจุดจบของเขา…คาดไม่ถึงว่าในชาตินี้ พวกตนจะได้มีวาสนามาพบกันบนเรือ
เมื่อหลินจื่อเหยียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้วก็เงยหน้ามองเจียงโม่หานที่กำลังจ้องตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่อย่างตั้งใจ เขาจึงอดถามไม่ได้ “เป็นอะไรไปหรือ ? คำบรรยายในตำราเล่มนี้มีปัญหาหรืออย่างไร ? ”
“ปัญหาใหญ่มาก ! ” ขณะมองน้องชายของภรรยาตรงเบื้องหน้า เจียงโม่หานก็คิดว่าคนโง่ย่อมมีโชคของคนโง่ สามารถแลกตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ที่โม่ชิงจือคัดออกมาเองด้วยขนมเค้กไข่แค่ถาดเดียว โชคดีจนน่าเหลือเชื่อ ถ้าผ่านไปอีก 20 ปี ตำรานี้จะมีราคาสูงลิ่วในท้องตลาด ! แน่นอนว่าผู้ที่มีปัญญาจะไม่มีทางนำออกมาขายแน่นอน !
หลินจื่อเหยียนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างโง่งม “ถ้ามีปัญหา พวกเราก็ควรเก็บไว้ เนื่องจากอย่างไรเขาก็ให้มาแล้ว จะโยนทิ้งก็คงไม่ดีสักเท่าไร…”
“โยนทิ้ง ? นี่คือตำราทั้งสี่ฉบับขัดเกลาใหม่ของนักปราชญ์โจวผู้หายสาบสูญไปนาน แม้จะเป็นตำราที่ถูกคัดลอกมาอีกที แต่สำหรับบัณฑิตแล้วถือเป็นสมบัติล้ำค่า หากเจ้าได้อ่านตำราไม่กี่เล่มนี้ก่อนสอบเซียงซื่อ ตอนนี้ก็คงกลายเป็นจู่เหรินอายุน้อยที่สุดของเมืองจงโจวไปแล้ว ! ”
ประตูถูกผลักเข้ามา พอเจียงโม่หานเห็นว่าใครเข้ามาแล้วก็ลุกขึ้นยืนเพื่อรับขนมจากมือของนาง ตอนผลักประตูเข้ามานั้นหลินเว่ยเว่ยได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง นางจึงเหลือบมองตำราในมือของคู่หมั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฟังจากที่บัณฑิตน้อยพูด ตำราไม่กี่เล่มนี้มีค่ามาก เราจะไม่เอาเปรียบพวกเขาเกินไปหรือ ? ”
เจียงโม่หานนึกถึงช่วงเวลา 3 ปีต่อมาที่เดินทางไปสอบขุนนางในเมืองหลวงของชาติก่อน ตอนนั้นหนิงอ๋องสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เหมือนจะเป็นเพราะร่างกายไม่แข็งแรงและยังต้องเดินทางมายังเมืองหลวงด้วยความยากลำบากตลอดเส้นทาง หนิงอ๋องจึงประชวรหนัก ผ่านไปไม่นานก็สิ้นพระชนม์
คนรุ่นหลังยกย่องหนิงอ๋องว่าเมินเฉยต่อเรื่องทางโลกและเป็นคนมากด้วยพรสวรรค์ ทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจต่อการจากไปอย่างกะทันหันของเขา
เจียงโม่หานเงยหน้ามองคู่หมั้น ตั้งแต่นางหายป่วย คนที่มีความเกี่ยวข้องกับนางก็มีชะตาชีวิตเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย ชาวบ้านในฉือหลี่โกวต่างเรียกนางว่าเป็นดาวนำโชค ไม่รู้ว่าชีวิตของหนิงอ๋องผู้นี้จะเปลี่ยนไปเพราะนางด้วยหรือเปล่า ?
“หากเจ้ารู้สึกไม่ดี ก็เอาของกินไปให้พวกเขาบ่อย ๆ ได้เลย ! ” แต่ไหนแต่ไรมาหนิงอ๋องก็มีร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว อาหารบนเรือยังแย่ขนาดนี้ หากปล่อยให้ทนทรมานไปจนถึงเมืองหลวง ก็เกรงว่าอายุขัยได้หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง…