โต้วซูหว่านก้มศีรษะลง ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองดูเจียงซื่อ น้ำเสียงของนางหนักแน่นกล่าวว่า “ข้าเพียงขอให้พี่ชายข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับพระชายา”
ในครั้งนี้หากนางวิงวอนเพื่อพี่ชายของนาง ให้เขาไม่ต้องได้รับบทลงโทษอย่างที่สมควรได้รับก็จะเป็นการทำร้ายเขา
พี่ชายของเขาจะคิดว่ามีคนเป็นกำแพงสนับสนุน และในอนาคตจะยิ่งทำตัวเกเรขึ้นเรื่อยๆ สักวันคงจะก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่และถูกตัดศีรษะ
หลังจากได้ยินคำตอบของโต้วซูหว่าน เจียงซื่อก็ยิ้มขึ้น “อาหญิงไม่โทษข้าก็ดีแล้ว”
โต้วซูหว่านหัวเราะเยาะเย้ยตนเองขึ้นว่า “หากข้าจะโทษพระชายาอ๋องก็เป็นคนโง่เง่าเกินไปแล้ว พระชายาอ๋อง บัดนี้ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ข้าขอกลับไปจวนปั๋วอยู่เป็นเพื่อนกับท่านป้าดีกว่า”
พี่ชายของนางก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของท่านอ๋องและพระชายาอ๋อง นางจะมีหน้าอยู่ที่นี่อีกหรือ
เจียงซื่อเอื้อมมือไปจับข้อมือของโต้วซูหว่านเอาไว้ “อาหญิงกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าโทษข้าหรือ”
โต้วซูหว่านรีบปฏิเสธขึ้นทันควัน
“ถ้าเช่นนั้น อาหญิงก็พำนักพักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด ปกติแล้วท่านอ๋องก็วุ่นวายกับงานไม่น้อย จวนอันใหญ่โตนี้ข้าอยู่คนเดียวเพียงลำพังช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”
โต้วซูหว่านพยักหน้าใบหน้าแดงเรื่อ
นางยังไม่ได้ถึงขั้นที่กระทำสิ่งใดโดยไม่นึกถึงตนเอง หากว่าไม่ถึงขีดจำกัดของนางจริงๆ นางก็คงจะไม่กลับไปที่จวนปั๋วอีก
วันรุ่งขึ้น อวี้จิ่นก็เดินทางไปที่เจิ้นฝู่[1]ซึ่งกักขังตัวของอาชายโต้วเอาไว้
ผู้ที่เข้ามาให้การต้อนรับอวี้จิ่น เป็นเจ้าหน้าที่ในเจิ้นฝู่ซึ่งเป็นลูกน้องของหันหรานคนหนึ่ง
การเดินทางมาถึงของอวี้จิ่นทำให้เจ้าหน้าที่ของเจิ้นฝู่ผู้นั้นพึมพำเล็กน้อย
เยี่ยนอ๋องคงไม่ได้โง่เขลาถึงขั้นมาอ้อนวอนเพื่อหมอนั่นใช่หรือไม่
น่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้วุ่นวายไปถึงฮ่องเต้และไทเฮา เยี่ยนอ๋องคงไม่โง่เขลาเช่นนั้นหรอก
แต่ว่าหากพระชายาเยี่ยนอ๋องออดอ้อนให้มาร้องขอก็ไม่แน่
“การลวนลามและบีบบังคับให้สตรีถึงแก่ฆ่าตัวตายจบสิ้นชีวิตลงที่ข้างถนน ตามกฎของราชวงศ์ต้าโจวแล้วควรได้รับโทษเช่นไร”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “โทษที่ได้รับคือถูกเนรเทศ”
ตามกฎหมายอันเคร่งครัด ความผิดนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่ถูกเนรเทศคือผู้ที่ไม่มีผู้ใดคอยคุ้มกันและเป็นเพียงคนเร่ร่อน เหล่าคุณชายที่ทำตัวเกเรทั้งหลายไม่มีผู้ใดถูกเนรเทศจริงๆ สักคน
“เขายังมีความผิดอื่นอีกหรือไม่”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ชะงักลงชั่วครู่ ยิ่งไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์การเดินทางมาในครั้งนี้ของอวี้จิ่น
“บัดนี้ยังไม่พบคดีอื่นขอรับ”
“จำเป็นต้องใช้เวลาอีกกี่วันจึงจะตรวจสอบครบถ้วน”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่รู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย เขากล่าวว่า “อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองวัน”
การสืบสวนอดีตของอันธพาลผู้นั้นเป็นหน้าที่ซึ่งผู้บัญชาการทหารกำชับเขาด้วยตนเอง ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าละเลย
“เช่นนั้นอีกสองวันข้าจะกลับมาใหม่” อวี้จิ่นไม่ได้กล่าวอ้อมค้อม หลังจากกล่าวจบเขาก็เดินจากไป ทิ้งเพียงความสับสนมึนงงเอาไว้ให้แก่เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ผู้นี้
สองวันผ่านไป
หลังจากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินรายงานจากหันหราน พระเนตรของฝ่าบาทก็ดูหนักอึ้ง “เจ้าหมายความว่า ในช่วงที่ผ่านมานี้อาชายของพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายใดขึ้นในเมืองหลวงเลยหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่เขาเดินทางออกมาจากจวนตงผิงปั๋ว แม้ว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำการทำงาน แต่ก็ไม่ได้ก่อคดีร้ายแรงใดๆ ขึ้น เมื่อยามขาดแคลนเงินทองก็จะหาข้ออ้างและวิธีทางไปเอามาจากน้องสาวของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลวนลามสตรีเช่นนี้ จากที่กระหม่อมไปสืบถามพบว่ามีคนให้เงินแก่เขาหนึ่งร้อยตำลึง สั่งให้เขากระทำเช่นนั้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น “ผู้ที่สั่งให้เข้าไปลวนลามสตรีนางนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสิ่งใด”
“จากคำให้การของเขา คนผู้นั้นกล่าวว่าสตรีนางนั้นได้ทำการยั่วยวนสามีของผู้อื่น และภรรยาของเขาต้องการจะระบายอารมณ์จัดการนางสักหน่อย ทว่าจากที่กระหม่อมไปสืบดู บรรดาเพื่อนบ้านล้วนกล่าวว่าสตรีนางนั้นนิสัยดียิ่ง ไม่มีผู้ใดกล่าวว่านางเป็นคนใจง่ายเลย…”
“หากนางเป็นผู้ไร้คุณธรรม คงจะไม่รู้สึกอับอายเสียจนฆ่าตัวตายหรอก” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อเป็นเช่นนี้หมายความว่าอาชายของภรรยาเจ้าเจ็ดไม่ได้กล่าวเท็จ เขาถูกคนหลอกใช้
วัตถุประสงค์ของคนผู้นั้นเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ย นั่นก็คือมุ่งเป้าหมายมาที่สองสามีภรรยาคู่นี้นี่เอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองวันก่อน อวี้จิ่นกล่าวขึ้นเมื่อครั้นอยู่ในตำหนักฉือหนิง ‘ลูกเพียงรู้สึกว่ากว่าเสด็จย่าจะเสด็จออกจากพระราชวังแต่ละคราไม่ใช่เรื่องง่าย การที่พบเจอเข้ากับอาชายของอาซื่อกระทำเรื่องชั่วร้ายที่ท้องถนน ดูเหมือนจะบังเอิญเหลือเกิน’
เจ้าเจ็ดกล่าวได้ถูกต้องแล้ว แท้จริงบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดบังเอิญ
ณ บัดนี้ไฟที่ลุกลามในพระทัยของจิ่งหมิงฮ่องเต้ซึ่งมีต่อญาติของเจียงซื่อก็ได้จางหายไป เหลือเพียงความโกรธเท่านั้นที่ยังคงอยู่
หมอกควันในพระราชวังยังไม่จางหาย พายุด้านนอกก่อตัวขึ้นไม่หยุดหย่อน ผู้ที่คิดจะจัดการเจ้าเจ็ดคือใครกันแน่
“ผู้บงการเขาคนนั้น ตรวจสอบมาได้แล้วหรือไม่”
หันหรานก้มศีรษะลง “บัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์จิ่นหลิน ฟังดูแล้วเป็นชื่อที่น่าเกรงขามเหลือเกิน ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ยินก็รู้สึกหวาดกลัว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเซียน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบหาความจริงพบทุกอย่างอย่างละเอียด
อย่างเช่นเรื่องของอาชายโต้วที่เป็นนักเลงข้างถนนเช่นนี้ ในแต่ละวันพบปะกับผู้คนมากมายเหลือเกิน ไม่ได้เหมือนกับคนในตระกูลสูงส่งซึ่งอยู่ในขอบเขตการเฝ้าระวังขององครักษ์จิ่นหลิน หากต้องการจะสืบหาว่าใครบงการ คงไม่ต่างอันใดกับการงมเข็มในมหาสมุทร
แน่นอนว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี เขาอดไม่ได้ตรัสขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “ด้านของเยี่ยนอ๋องยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดหรือ”
เจ้าหมอนั่นกล่าวว่าจะแก้ไขปัญหาให้ได้ภายในสามวัน แต่บัดนี้ล่วงเลยมาจนเหลือเวลาเพียงวันเดียวแล้ว
“เยี่ยนอ๋องออกเดินทางไปยังเจิ้นฝู่เมื่อวานนี้ จากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใดอีกพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่อวี้จิ่นจะใช้วิธีใดในการกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา หันหรานก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
เดิมทีญาติห่างๆ ของพระชายาอ๋องกระทำเรื่องชั่วร้ายขึ้น แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ใด แต่เนื่องจากว่าฮ่องเต้และไทเฮาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ บรรดาขุนนางโดยมากจึงรับรู้เรื่องนี้ด้วย
ทุกคนต่างรอดูว่าเยี่ยนอ๋องจะทำอย่างไรต่อไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดพระจนงขึ้นเล็กน้อย “ร้านเล็กๆ ที่ถนนซีซื่อแห่งนั้น สืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“ทูลฝ่าบาท ร้านเล็กๆ นั้นเปิดกิจการมาได้สิบห้าปีแล้ว เป็นความจริงที่สองยายหลานแห่งเผ่าอูเหมียวเป็นคนเปิดร้านขึ้น ทุกปีประมาณเดือนห้าเดือนหก ร้านเล็กๆ แห่งนี้จะปิดตัวลงเป็นระยะหนึ่ง เวลาที่เปิดกิจการค้าขายก็ไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าไปอุดหนุนเท่าไรนัก สองยายหลานไม่ค่อยติดต่อกับบุคคลภายนอก จากที่กระหม่อมทราบมาดูเหมือนว่าหญิงชราจะรู้ว่ามีคนจับตามองนางอยู่ พวกเราควบคุมตัวนางมาก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “ก็ดี พานไห่ เรียกเยี่ยนอ๋องเข้าวัง”
เมื่ออวี้จิ่นเดินทางมาถึง พานไห่และหันหรานยังคงอยู่ในห้องทรงพระอักษร
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าแล้วตรัสอย่างตรงไปตรงมา “สองวันมานี้พานไห่ได้เดินทางไปสืบเรื่องของตั่วหมัวมัว นางเคยติดต่อกับเฉินเหม่ยเหรินจริงๆ หลายครั้งที่องค์หญิงสิบสี่มีอาการล้มป่วย ตำหนักฉือหนิงจะส่งตั่วหมัวมัวไปเยี่ยมเยียนและถามไถ่”
หลังจากที่พี่ชายของหยางเฟยสิ้นชีวิตลงแล้ว ก็ได้หาเรื่องทะเลาะกับเขาอยู่หลายหน ทางตำหนักฉือหนิงได้ส่งตั่วหมัวมัวไปเกลี้ยกล่อมให้หยางเฟยสงบเสงี่ยมเจียมตน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยางเฟยและองค์รัชทายาท จึงไม่สะดวกนักที่จะกล่าวกับเจ้าเจ็ด
หันหรานยืนอยู่ด้านข้าง เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดว่าฮ่องเต้เรียกให้เยี่ยนอ๋องเดินทางเข้าวังเพื่อไต่ถามวิธีการจัดการกับปัญหาที่อาชายโต้วของพระชายาอ๋องก่อขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะทรงกล่าวถึงเรื่องความลับในพระราชวังเช่นนี้
มองดูแล้วเมื่อคราวก่อนในงานเลี้ยงตระกูล เยี่ยนอ๋องแสดงออกได้ดีทีเดียวและเป็นที่พึงพอใจของฮ่องเต้
อวี้จิ่นไม่รู้ถึงความประหลาดใจของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินที่มีต่อการกระทำของฮ่องเต้ เขากล่าวขึ้นว่า “หากว่าตั่วหมัวมัวยังไม่เผยให้เห็น ลูกคาดเดาว่าคนผู้นี้จะมีตำแหน่งสูงพอควร อีกทั้งยังมีโอกาสในการติดต่อกับเฉินเหม่ยเหรินอย่างเปิดเผย บัดนี้มองดูแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็ชะงักลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามจิ่งหมิงฮ่องเต้ว่า “พานกงกง สืบพบแล้วหรือยังว่าตั่วหมัวมัวเข้ามาในพระราชวังได้อย่างไร จากข้อมูลที่พานกงกงให้มาก่อนหน้านี้ เมื่อสิบห้าปีก่อนตั่วหมัวมัวก็เข้ามาในพระราชวังแล้ว บัดนั้นนางอายุได้ยี่สิบปี แต่ตามกฎของการรับนางกำนัลเข้ามา ส่วนใหญ่จะจำกัดอายุที่สิบสามถึงสิบหกปี”
เมื่ออวี้จิ่นเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้น สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ดูหม่นหมองลงเล็กน้อย ก่อนจะนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วตรัสขึ้นช้าๆ ว่า “ตั่วหมัวมัวเข้ามาในวังได้เนื่องจากความสัมพันธ์ขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง”
———————————-
[1]เจิ้นฝู่ หน่วยงานกลางที่จัดการนักโทษจากหน่วยงานต่างๆ