ใบหน้าของอวี้จิ่นแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างเหมาะสม “เข้ามาในวังได้เนื่องจากความสัมพันธ์ของเสด็จอาหรงหยางหรือ”
พานไห่ขยับหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เยี่ยนอ๋องใช้คำว่า ‘เนื่องจาก’ ได้ดีเหลือเกิน
นางเข้ามาในวังได้เนื่องจากองค์หญิงใหญ่หรงหยาง ดังนั้นปัญหาของเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นคาดว่าคงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่หรงหยางอย่างแน่นอน
สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูมืดมนลง
การคัดเลือกนางกำนัลเข้ามาในพระราชวังล้วนมีกฎเกณฑ์ หรงหยางละเมิดกฎและส่งคนของนางเข้ามาในวัง เกิดปัญหาที่น่าครุ่นคิดตามมามากมายเสียจริง
หรงหยาง สตรีนางนี้ไม่เคยโตเอาเสียเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้มีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับการกระทำขององค์หญิงใหญ่หรงหยางมาแล้วก่อนหน้า เพียงแต่ว่าเขาค่อนข้างมีความเมตตาและไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง อีกทั้งไม่อยากจะทำให้ไทเฮาต้องเสียพระทัย ดังนั้นจึงได้แต่อดทนเสมอมา
ทว่าบัดนี้การกระทำขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเกินความสมเหตุสมผล นางอาจทำร้ายไทเฮาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อดทนอีกต่อไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตั้งพระทัยจะให้บทเรียนแก่องค์หญิงใหญ่หรงหยาง จึงตรัสถามขึ้นว่า “บัดนี้ข้อมูลเหล่านี้แสดงได้เพียงว่าตั่วหมัวมัวมีโอกาสทำเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้น แต่เฉินเหม่ยเหรินสิ้นใจอย่างไม่มีหลักฐาน นี่ไม่เพียงพอที่จะลงโทษนาง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
อวี้จิ่นมุ่งเป้าหมายไปที่ตั่วหมัวมัว จึงสืบพบว่าตั่วหมัวมัวมีการติดต่อกับเฉินเหม่ยเหรินและหยางเฟย เพียงแค่เหตุผลเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เชื่อว่าคนคนนั้นคือตั่วหมัวมัว
วังหลังอันใหญ่โต ประกอบกับเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้ที่เคยติดต่อกับเฉินเหม่ยเหรินและหยางเฟยไม่ได้มีเพียงตั่วหมัวมัวคนเดียวเท่านั้น
อวี้จิ่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่ลองล่องูออกจากถ้ำดูเล่า”
“ล่องูออกจากถ้ำ?” จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา “หรือเจ้าต้องการจะให้โอกาสแก่นางในการเดินทางออกจากวัง เพื่อดูว่านางติดต่อกลับคนในร้านค้าเล็กๆ นั้นจริงหรือไม่”
อวี้จิ่นส่ายหน้า “หากทำเช่นนั้นอาจจะชัดเจนจนเกินไปบางทีอาจทำให้นางสงสัยขึ้นมาได้”
บัดนี้ข้อมูลของตั่วหมัวมัวและยายหลานเผ่าอูเหมียวไม่สอดคล้องกัน
ยายหลานเผ่าอูเหมียวรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เดินทางมายังเมืองหลวง แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยจึงส่งจดหมายกลับไปที่เผ่าอูเหมียวเพื่อร้องขอคำยืนยัน แต่จดหมายนั้นที่ส่งออกไปเนิ่นนานก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับสักที จึงได้ทำการติดต่อมาที่ตั่วหมัวมัวซึ่งอยู่ในพระราชวัง
ตั่วหมัวมัวใช้โอกาสที่ไทเฮาเดินทางออกไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนเพื่อติดต่อกับยายหลานเผ่าอูเหมียว เมื่อนางกลับมาถึงในพระราชวัง เนื่องด้วยอวี้จิ่นและเจียงซื่อเดินทางไปที่ตำหนักฉือหนิง นางจึงได้พบเข้าและรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อาวุโสฮวากล่าวถึงคือพระชายาเยี่ยนอ๋อง?
อวี้จิ่นไม่อยากสร้างโอกาสให้ตั่วหมัวมัวติดต่อกับยายหลานเผ่าอูเหมียวอีก และเหตุผลนั้นเขาก็กล่าวออกมาอย่างเปิดเผย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นด้วยกับเขา จึงโน้มกายไปด้านหน้าตรัสว่า “เจ้าคิดว่าจะล่องูออกจากทำเช่นไร”
อวี้จิ่นมองไปยังจิ่งหมิงฮ่องเต้ “บัดนี้เสด็จพ่อยังคงสงสัยว่าคนผู้นั้นคือตั่วหมัวมัวหรือไม่ ถูกไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น “ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นตั่วหมัวมัวจริงหรือไม่ แต่หากว่ามีโอกาสกระทำการชั่ว นางก็คงไม่ปล่อยโอกาสนั้นไปอย่างแน่นอน เหตุใดพวกเราไม่สร้างโอกาสเช่นนั้นให้กับนาง”
พระเนตรของจิ่งหมิงฮ่องเต้กะพริบเล็กน้อย ท่าทางดูจริงจังขึ้นมา
เขาอยากจะฟังเหลือเกินว่าเจ้าเจ็ดมีแผนการดีๆ ใดอยู่
“คนผู้นั้นกำลังมองหาสตรีในวังหลังที่มีความขุ่นเคืองใจและเลือกจะลงมือด้วย ลูกคิดว่าเราสามารถหาโอกาสอันเหมาะสม หลอกล่อสตรีนางนี้ออกมา”
พระเนตรของจิ่งหมิงฮ่องเต้หรี่ลง
“ผู้ที่เหมาะสม?” หรือว่าในวังหลังของเขามีผู้ที่มีความขุ่นเคืองใจมากมาย
พานไห่มองไปทางอวี้จิ่นด้วยดวงตาอันลึกซึ้ง เขารู้สึกหมดหนทางจริงๆ ประโยคเหล่านี้ของเยี่ยนอ๋องแทงทะลุหัวใจของฝ่าบาทเหลือเกิน…
อวี้จิ่นจับจ้องไปที่การแสดงออกขององค์ฮ่องเต้ ก่อนจะยิ้มขึ้น “เสด็จพ่อคิดว่าองค์หญิงสิบสี่เป็นเช่นไร”
“องค์หญิงสิบสี่?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทำใบหน้าไม่พอใจแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไร้สาระ น้องสิบสี่ของเจ้ายังเด็กอยู่ อย่าดึงนางมาข้องเกี่ยว!”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเล็กน้อย “พานกงกง องค์หญิงสิบสี่อายุมากกว่าองค์หญิงสิบห้าปีหนึ่งใช่หรือไม่ บัดนี้นางบรรลุนิติภาวะแล้วไม่ใช่หรือ”
พานไห่เหลือบมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านอ๋องจำได้ถูกต้องแล้ว องค์หญิงสิบสี่บรรลุนิติภาวะแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มองดูแล้วเยี่ยนอ๋องอาจจะเป็นผู้ที่หยาบกร้าน แต่เขารู้สึกถึงจิตใจของคนอื่นดี เขาถามถึงอายุขององค์หญิงสิบสี่แต่กลับกล่าวถึงองค์หญิงสิบห้าด้วย สิ่งนี้เกิดผลมากกว่าคำพูดมากมาย
จิ่งหมิงฮ่องเต้นึกถึงองค์หญิงสิบห้าขึ้นมาจริงๆ
องค์หญิงสิบห้าอายุน้อยกว่าองค์หญิงสิบสี่เพียงเล็กน้อย แต่บัดนี้นางกลับต้องมาพบกับจุดจบของชีวิต…จิ่งหมิงฮ่องเต้มีธิดามากกว่ายี่สิบคน ตามปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีโอกาสใกล้ชิดกับพวกนางนัก ดังนั้นหากจะกล่าวว่าทรงมีความรู้สึกรักใคร่ต่อทุกคนก็คงเป็นเรื่องโกหก อาทิเช่นองค์หญิงสิบห้า ตอนที่นางมีชีวิตอยู่มาถึงสิบสี่ปี สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้คำว่าธิดานั้นเป็นเพียงชื่อที่เรียกขึ้นเท่านั้นเอง
แต่หลังจากที่องค์หญิงสิบห้าถูกปลงพระชนม์อย่างน่าสลดใจต่อพระพักตร์จิ่งหมิงฮ่องเต้ นางก็ทิ้งบาดแผลเอาไว้ในดวงพระทัยของจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างลึกซึ้งขึ้นทันใด
นางกลายเป็นบุคคลที่ฮ่องเต้ไม่อาจลืมเลือนได้
องค์หญิงสิบห้าสิ้นชีวิตลงแล้ว นางสิ้นชีวิตลงเพราะเสด็จแม่ขององค์หญิงสิบสี่ แม้ว่าองค์หญิงสิบสี่จะไม่เกี่ยวข้องเรื่องใดด้วย แต่หากจะใช้นางมาเป็นเหยื่อล่อ ก็นับได้ว่าเป็นการลดโทษให้แก่เสด็จแม่ของนาง
หลังจากนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้ตรัสขึ้นเบาๆ “เจ้าลองบอกแผนการของเจ้ามา”
……
หลังจากการสนทนา สักพักจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็จิบน้ำชาเล็กน้อย “การนัดหมายสามวันที่เจ้ากล่าว พรุ่งนี้จะถึงกำหนดแล้ว”
อวี้จิ่นยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อเป็นกังวลว่าลูกจะทำไม่สำเร็จหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำสีพระพักตร์เคร่งขรึม “ข้าเพียงแค่เอ่ยถามเท่านั้น”
ใครจะไปสนใจเล่าว่าเจ้าหมอนี่จะทำสำเร็จหรือไม่ เจ้าลูกคนนี้คิดมากไปเองเหลือเกิน
“หลังจากที่ลูกเดินทางออกจากพระราชวังแล้วจะรีบจัดการทันทีพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นหันไปยิ้มกว้างให้แก่หันหราน “เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าผู้บัญชาการหันหรานจะให้ความร่วมมือ”
บัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ หันหรานจะกล่าวสิ่งใดได้อีก เขาทำเพียงรีบตอบรับเท่านั้น
เมื่ออวี้จิ่นเดินทางจากไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้เดินทางไปที่ตำหนักคุนหนิง
“เหนียงเหนียงเพคะ ฝ่าบาทเสด็จ” นางกำนัลรีบวิ่งเข้าไปรายงาน
ฮองเฮาเปลือกตากระตุกเล็กน้อย
ฝ่าบาทเสด็จมาอีกแล้ว…
ดูเหมือนว่าหลังจากหยางเฟยสิ้นชีวิตลง ฝ่าบาทก็เสด็จมาหานางที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน ทำเอาเสียงในวังหลังลือกันว่าฮองเฮาเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทในบัดนี้
ส่วนไทเฮาทำได้เพียงหัวเราะเยาะกับเรื่องราวเหล่านั้น
นางเป็นฮองเฮา สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่เป็นที่โปรดปรานเช่นหยางเฟย นางไม่เคยต้องการความโปรดปรานจากฮ่องเต้
การที่ฮ่องเต้ให้ความเคารพและให้เกียรตินาง ให้นางดูแลวังหลังเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หัวใจของผู้ใดเล่าไร้คนที่หลงรักแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ในใจของฝ่าบาทมีหยวนฮองเฮา ในใจของนางก็มีผู้อื่นเช่นกัน การไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักแตกต่างกับสตรีที่ต้องทนอยู่อย่างยากแค้นเช่นไรเล่า เรื่องนี้ฮองเฮาเข้าใจดี
เรื่องให้นางเดินทางเข้าวังเพื่อเป็นฮองเฮานี้คือความตั้งใจของตระกูล ตั้งแต่เล็กนางก็มีเครื่องเเต่งกายหรูหราอาหารเลิศรสและบ่าวรับใช้มากมาย ในเมื่อได้รับสิ่งเหล่านี้มาจากตระกูลมากมาย การที่นางยอมสละตนเองเพื่อตระกูลก็ยุติธรรมแล้ว
ฮองเฮาเดินเข้าไปต้อนรับด้วยท่าทางเยือกเย็น
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินตรงเข้ามาก็ได้ขับไล่ราชบริพารที่รอรับใช้ให้ออกไปด้านนอก ก่อนจะดึงให้ไทยฮองเฮานั่งลง
เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา จิ่งหมิงฮ่องเต้มีท่าทางผ่อนคลายยิ่งนัก “ข้ามีเรื่องบางเรื่องต้องการให้ฮองเฮาช่วย”
ริมฝีปากของฮองเฮาขยับขึ้นเล็กน้อย
เมื่อพบกันบ่อยครั้งเข้าก็คุ้นเคย เป็นจริงดังนั้น ในครานี้ที่ฝ่าบาทต้องการให้นางช่วยโดยไม่ได้กล่าววาจาอ้อมค้อมสักเล็กน้อยเลย
“ทรงรับสั่งเถิดเพคะ”
“เจ้าหาข้ออ้างตำหนิและลงโทษองค์หญิงสิบสี่สักครั้งเถิด”
ฮองเฮาตกตะลึง ชะงักพลางตรัส “ว่าอย่างไรนะเพคะ”
ฮ่องเต้หมายถึงองค์หญิงสิบสี่หรือ
นางเป็นถึงฮองเฮาแต่กลับให้ไปหาเรื่ององค์หญิงที่กำลังเจ็บป่วย ร่างกายเต็มไปด้วยโรครุมเร้า?
จิ่งหมิงฮ่องเต้อธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วกุมมือฮองเฮาเอาไว้ “ในครั้งนี้ฮองเฮาอาจต้องทนกับความอยุติธรรมสักหน่อย เสด็จแม่มีนิสัยขี้สงสารผู้ที่อ่อนแอ หากรู้ว่าเจ้าสิบสี่ถูกตำหนิและถูกทำโทษ คาดว่าคงจะตำหนิเจ้าไม่น้อย”
ขณะเดียวกันนางก็คงจะให้ตั่วหมัวมัวเดินทางออกมาเยี่ยมองค์หญิงสิบสี่…
ฮองเฮาพยักพระพักตร์ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่หม่อมฉันจะถูกเสด็จแม่ตำหนิสักเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร ฝ่าบาทวางพระทัยเถิดเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันจะจัดการให้เอง”
ทว่าพระทัยของฮองเฮาสั่นคลอนเล็กน้อย นี่…ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างมาก