หันหรานเดินตรงออกมาจากพระราชวังและพบอวี้จิ่นยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งไม่ไกลออกไปนัก
ในฤดูหนาวตามปกติแล้วต้นไม้จะเปลือยเปล่าไร้ใบ เหลือเพียงกิ่งก้าน แต่เนื่องจากหิมะที่ตกลงมาปกคลุมบนกิ่งก้านของมันยังไม่ละลาย ต้นไม้ธรรมดาซึ่งค่อนข้างน่าเกลียด มองไปแล้วจึงกลายเป็นต้นไม้ที่งดงามน่ามองยิ่งนัก
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ร่างสูงใหญ่สง่างาม ดวงตาแหลมคม มีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งกว่าต้นไม้นั้นเสียอีก
หันหรานลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วเดินตรงเข้าไป
“ท่านอ๋องยังไม่ไปอีกหรือ”
“รอใต้เท้าหันไปด้วยกัน”
หันหรานยกมือขึ้นลูบจมูกของตน
เยี่ยนอ๋องกล่าววาจาได้ตรงไปตรงมาเหลือเกิน
ด้วยตัวตนของเขาซึ่งเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลิน บรรดาขุนนางขั้นสูงมากมายล้วนพากันเคารพนับถือ ไม่มีใครอยากจะเข้ามาสนิทชิดเชื้อหรือเข้าใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใกล้โดยเปิดเผย
“เชิญท่านอ๋องก่อน”
ดวงตาอันงดงามของอวี้จิ่นปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ใต้เท้าหัน จะกลับไปที่ศาลาว่าการหรือไม่”
หันหรานเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าตามสัญชาตญาณก่อนจะกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ต้องกลับ”
ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างขึ้นไม่นานนี้ จะให้กลับบ้านนั่งดื่มชาคงไม่ได้
“เช่นนั้นข้าขอติดตามท่านไปด้วย”
หันหรานรู้สึกงงงวยยิ่งนัก
อวี้จิ่นได้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อสามวันก่อนเสด็จพ่อสั่งให้ข้าจัดการกับชื่อเสียงซึ่งถูกอาชายของพระชายาอ๋องทำให้เสียหายมิใช่หรือ ข้าต้องการสนทนากับเขาสักหน่อย”
หันหรานเหลือบมองไปที่อวี้จิ่น ความไม่ไว้ใจปรากฏขึ้นอย่างลึกซึ้ง
เพียงแค่สนทนาเท่านั้นหรือ หากเป็นเขาล่ะก็มีญาติห่างๆ ซึ่งทำตัวเกเรไม่เอาการเอางานหาเรื่องมาให้เช่นนี้ เขาคงจะโมโหเสียจนแทบบีบคออีกฝ่ายตายไปแล้ว
ไม่ว่าจะคิดเช่นไรก็ตาม แต่เมื่อหันหรานถูกอวี้จิ่นร้องขอเช่นนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงรีบพยักหน้า
ด้วยการเตรียมการของหันหราน ในไม่ช้าอวี้จิ่นก็ได้พบกับอาชายโต้ว
บัดนี้อาชายโต้วท่าทางห่อเหี่ยวดุจดั่งมะเขือเผา เมื่อเขาเห็นอวี้จิ่นดวงตาคู่นั้นก็เป็นประกาย “ท่านอ๋อง ในที่สุดท่านก็มาช่วยข้าแล้ว!”
ครั้งสุดท้ายที่เขาเดินทางไปยังจวนปั๋วเพื่อขอเงินจากน้องสาว จึงได้รู้ว่าน้องสาวของตนเข้าไปอาศัยอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว เขาวนเวียนอยู่ด้านนอกจวนอ๋องจึงได้รู้ว่าชายหนุ่มที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตนตอนนี้ก็คือเยี่ยนอ๋อง หลานเขยของเขานั่นเอง
จะว่าไปแล้วก็ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังไม่ลืมภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วถูกหลานสาวของตนนำกรรไกรจ่อไปที่ร่างกายส่วนล่างของเขา จนทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปใกล้ประตูจวนเยี่ยนอ๋อง
เนื่องด้วยเหตุนี้เองเขาจึงไม่มีเงินใช้และเมื่อมีคนนำเงินมาตรงหน้าเขาจึงทำให้จิตใจสั่นไหว…
“ช่วยเจ้า?” อวี้จิ่นยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา
ดูเหมือนอาชายโต้จะรู้สึกหนาวเย็นที่ลำคอจนหดคอกลับไป
“เจ้าทำเรื่องชั่วร้ายแล้วแอบอ้างชื่อพระชายาอ๋อง เจ้ายังหวังว่าข้าจะช่วยเจ้าอีกงั้นหรือ การที่ข้าไม่ตัดเจ้าโลกของเจ้าทิ้งไปเสียก็นับว่าบุญแล้ว”
ใบหน้าของอาชายโต้วซีดเผือดลงทันใด เขามองมาที่อวี้จิ่นด้วยสายตาอันตื่นตระหนก
ตัดทิ้ง…เขาไม่อยากได้ยินสองคำนี้เลย!
มือทั้งสองข้างของอวี้จิ่นประสานเข้าด้วยกันแล้วกุมเอาไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างใจร้อนว่า “เอาอย่างนี้ หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้ารับประกันว่าจะรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น…”
อาชายโต้วตกตะลึงกับแววตาอำมหิตของอีกฝ่าย เขาได้แต่พยักหน้าอย่างโง่เง่า
ผ่านไปประมาณสองชั่วโมงยาม อวี้จิ่นก็เดินทางออกมาจากศาลาว่าการขององครักษ์จิ่นหลิน แล้วเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ
บัดนี้หิมะตกลงมาอีกแล้ว คราบเลือดสีแดงเข้มบนทางที่ปูไปด้วยหินถูกปกคลุมไปแล้วก่อนหน้า ราวกับมันไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นที่นั่น แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ยังคงสนทนาถึงเรื่องราวในวันนั้นยามดื่มชาและรับประทานอาหารค่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย จึงทำให้เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปกว้างขวาง
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ จึงทำให้น่าติดตามเอาเสียจริง…
ตลอดทางที่อวี้จิ่นเดินมา เขาได้ฟังเรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้มากมาย
“ข้าว่าแม่นางหลี่เสียชีวิตเปล่าๆ อย่างแน่นอน ชิชะ คนผู้นั้นเป็นญาติของพระชายาเยี่ยนอ๋องเชียว เขามีคนคุ้มกันอยู่”
“เขาถูกผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจับตัวไปแล้วไม่ใช่หรือ หน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้ใดไม่ใช่หรือ”
“ก็ต้องดูว่าเป็นผู้ใด กับพวกเรานั้นแน่นอนว่าจะไม่แสดงความเมตตาด้วย แต่กับญาติของพระชายาเยี่ยนอ๋องจะไม่ผ่อนปรนเลยหรือ เจ้าหน้าที่มักปกป้องกัน คอยดูเถิดท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็จะถูกปล่อยไปเงียบๆ ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็มองไม่เห็นอยู่แล้ว”
“น่าสงสารหลี่ต้าหลังเหลือเกิน เขาเพิ่งกลับมาในวันนี้และได้ยินว่าภรรยาของเขาตายไปแล้วก็ได้อาเจียนเป็นเลือดเสียหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พยายามดิ้นรนร้องขอความยุติธรรม กว่าจะสงบลงได้ผู้คนต่างพากันหว่านล้อมปลอบโยน…”
“อ้อจริงสิ น้องชายของแม่นางหลี่ถูกพาตัวไปด้วยไม่ใช่หรือ พวกเขาตั้งใจจะทำเช่นไรกับเด็กคนนั้น”
“ผู้ใดจะรู้เล่า แต่ถึงอย่างไรตระกูลหลี่ก็เหมือนถูกทำลายลงสิ้นแล้ว น่าสมเพชเหลือเกิน…”
เมื่ออวี้จิ่นได้ยินเรื่องเล่าเหล่านี้กับหูตนเอง สีหน้าของเขาก็ยิ่งมืดมนลง
ต่อให้เขาไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าเสด็จพ่อเอาไว้ แต่เขาก็จะปล่อยเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้
เขาเป็นเพียงอ๋องในนาม ไม่ได้มีชื่อเสียงที่จำเป็นต้องใส่ใจ แต่อาซื่อไม่ใช่ ในโลกนี้โหดร้ายกับสตรีมากนัก
อวี้จิ่นหยุดยืนอยู่ตรงมุมของกำแพง หลงต้านเดินตรงเข้ามาทันที “ท่านอ๋องเริ่มเลยดีหรือไม่ขอรับ”
“อืม”
หลงต้านโบกมือของเขา จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้าแถวกลางถนน ในมือมีทั้งฆ้องและกลองตีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เหล่าผู้คนที่รู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีสิ่งใดทำพากันโผล่ศีรษะออกมาจากทั่วทิศ พวกที่มีประสบการณ์ยังหนีบเก้าอี้พับออกมาด้วย
คนกลุ่มนั้นตีกลองตีฆ้องใหญ่อย่างสุดกำลัง ผู้คนภายในบริเวณนั้นต่างพากันออกมามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” ผู้ที่เดินทางมาทีหลังเอ่ยถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นแล้วเขย่งเท้ามอง
“ยังไม่รู้เลย” เมื่อถูกถามเช่นนั้นก็ตบไปที่บ่าคนด้านหน้า “พี่น้อง ด้านในเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
คนที่อยู่ด้านหน้าตอบกลับมาว่า “บัดนี้ยังตีกลองอยู่ไม่มีเรื่องอื่นใด”
ทุกคนต่างชำเลืองมองมาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตื่นเต้น บรรดาพวกมีประสบการณ์พากันซุบซิบนินทาว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!
ในที่สุดเสียงฆ้องและกลองก็หยุดลง กลุ่มคนเมื่อครู่ไม่รู้ว่านำเก้าอี้มาจากที่ใด พวกเขานำมันมาวางซ้อนกันอยู่ตรงกลางของผู้ที่กำลังมุงดู
เมื่อเสียงฆ้องและกลองหยุดลง ผู้ที่มุงดูอยู่ด้านนอกจึงไม่เห็นเหตุการณ์ด้านใน ได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างกังวลใจและยังคงเอ่ยถามคนด้านหน้าไม่หยุดว่า “อะไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“พวกเขานำเก้าอี้ขึ้นมาซ้อนกันเรื่อยๆ ดูเหมือนกำลังสร้างบันไดสูง”
“พวกเขาใช้เก้าอี้ก่อสร้างเป็นบันไดสูงหรือ พวกเขาจะแสดงกายกรรมหรืออย่างไร”
ในไม่ช้าผู้คนที่อยู่วงนอกก็หยุดถาม เนื่องจากเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางซ้อนกันสูงขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาเดียวมันสูงถึงยี่สิบจั้ง ซึ่งเพียงพอที่ผู้คนด้านนอกจะเงยหน้าขึ้นมองเห็น
มีชายร่างผอมคนหนึ่งยืนอยู่บนเก้าอี้นั้น และคนด้านข้างโยนเก้าอี้ขึ้นไป เขารับมันเอาไว้แล้ววางเก้าอี้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ที่อยู่สูง
ฝูงชนพากันปรบมือแล้วเอ่ยชมว่า “ยอดเยี่ยม!”
เมื่อเห็นว่าบันไดเก้าอี้นั้นสูงประมาณสามจั้งแล้ว ทุกคนก็พากันเงียบเสียงลง
ด้วยความสูงเช่นนี้หากตกลงมาอาจเสียชีวิตได้ พวกเขาควรจะอยู่เงียบๆ ดีกว่า เพราะเสียงดังอาจจะทำให้คนผู้นั้นตกใจได้
แต่คนที่ยืนอยู่บนที่สูงกลางอากาศนั้นกลับไม่มีท่าทีประหม่าเลย
เขาเป็นนักกายกรรมที่เก่งที่สุดในเมือง และนี่คือสิ่งที่เขาถนัดยิ่ง ความสูงเช่นนี้สำหรับเขาแล้วไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด หากว่าเขาทำภารกิจในวันนี้สำเร็จ รางวัลที่ได้รับจะมากพอเทียบเท่ากับการเล่นกายกรรมเป็นเวลาถึงสามปีเชียว
“ความสูงเท่านี้คงเพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่มองอยู่ด้านนอกกระมัง?” อวี้จิ่นเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
หลงต้านยกมือขึ้นเช็ดหน้า “ข้าน้อยคิดว่าผู้คนที่อยู่นอกเมืองคงมองเห็นได้”
กำแพงเมืองสูงเพียงแค่สองสามจั้งเท่านั้นเอง
วิธีเช่นนี้คงมีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่คิดได้
อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้น มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจางๆ “เช่นนั้นก็ดี”
ในเมื่อเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วแล้ว ก็ทำให้ครึกครื้นไปเลย ยิ่งมากยิ่งดี
ผู้คนที่มุงดูไม่มีใครเบื่อหน่ายหากเรื่องจะครึกครื้นขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าเรื่องที่เขาสร้างขึ้นด้วยความสนุกสนานเหล่านี้เขาก็ไม่รังเกียจถ้ามันจะเผยแพร่ออกไปกว้างไกลเช่นกัน
นักกายกรรมยืนอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคง เขามองไปรอบๆ แล้วยกมือคารวะผู้ชม
ผู้ชมที่ยืนชมอยู่นั้นพากันกลั้นหายใจ และรอการเคลื่อนไหวต่อไปของเขา
นักกายกรรมยื่นมือออกไปหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วขว้างออกไปเต็มแรง กระดาษแถบยาวโบกสะบัดตามแรงลม บนกระดาษสีฟ้ามีตัวอักษรสีดำเข้มอันเด่นชัด
“ข้างบนนั้นเขียนอะไรไว้” ผู้ที่ไม่รู้หนังสือเอ่ยถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น