ตอนที่ 351 การปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ทั่วไป (1)
ในสวนด้านหลังของวิหารเทพทะเล เมืองอันสุ่ย
ขณะนี้ อ๋าวอี่สวมชุดเกราะผลึกแก้วสีเขียวอ่อนและหมวกผลึกแก้วสีเขียวอ่อนได้รับพลัง ยืนอยู่ตรงหน้าร่างจำแลงในรูปเซียนชราของศิษย์พี่เจ้าสำนักของเขาและถามอย่างตื่นเต้น
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก พวกเราควรเตรียมอะไรไปศาลสวรรค์ขอรับ?”
“เปลี่ยนหมวกของเจ้าก่อน”
“เอ่อ” อ๋าวอี่กะพริบตา แล้วถอดมงกุฎมีปีกบนศีรษะออกพลางถามด้วยความรู้สึกผิดว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก มีอันใดผิดไปหรือขอรับ? นี่เป็นสิ่งที่ซือซือเลือกให้ข้า”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ชอบใส่สีเงินและสีทอง และเจ้าต้องอยู่รวมในกลุ่มด้วย”
ดวงตาของอ๋าวอี่เปล่งประกาย เขายังบอกว่า เขาไม่ได้คิดให้ดี จากนั้น ก็วิ่งไปที่ห้องข้างๆ แล้วเปลี่ยนเป็นชุดเกราะโซ่เงินออกมา
หลี่ฉางโซ่วก็เป็นห่วงในเรื่องความปรองดองหลังบ้านของน้องชายคนนี้เช่นกัน
เขามองไปที่ภาพของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขา…
ผมสีขาวถูกมัดด้วยรัดเกล้าเต๋า เสื้อคลุมกว้างของเขาทำให้เขาดูค่อนข้างผอมบาง
เขาถือแส้ในมือ และก้าวเดินด้วยรองเท้าผ้าเก่าๆ
อืม เท่านั้นแหละ พอใส่ชุดเครื่องแบบศาลสวรรค์แล้ว จริงๆ แล้ว เมื่อดูภายนอก… มันจืดชืดเกินไป
อ๋าวอี่กระซิบข้างๆ เขาว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก พระมารดาขอให้ข้านำของขวัญพบหน้าบางอย่างไปมอบให้กับเหล่าเทพเซียนแห่งศาลสวรรค์ แล้วข้าจะส่งของเหล่านี้ได้อย่างไรขอรับ?”
“ของขวัญพบหน้าหรือ? พวกมันเป็นอะไร?”
อ๋าวอี่รีบกล่าวว่า “มันล้วนเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการฝึกบำเพ็ญเลย อย่างเช่น ไข่มุกทะเลทักษิณ เย่หมิงทะเลอุดร ปะการังทะเลบูรพา และผลึกเสวียนทะเลประจิม…พระมารดารับสั่งว่า นี่ไม่ถือว่าเป็นสินบนให้เล่าเทพเซียน เพราะไม่ใช่สมบัติที่ใช้เพื่อฝึกบำเพ็ญขอรับ แต่มีเทพเซียนมากมายในศาลสวรรค์แห่งนี้ ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดสำคัญกว่ากัน…”
“ไม่เป็นไร” หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ใช้วิธีนี้ เจ้าดูท่าทางของข้าแล้วกัน หากข้ายกนิ้วให้ เจ้าก็ออกมาพร้อมกับของขวัญพบหน้า
หากข้าชูสองนิ้ว เจ้าก็นำของขวัญหนักๆ ออกมาสักชิ้นสองชิ้น”
“ได้ขอรับ!” อ๋าวอี่ตกลงทันที
บัดนั้น ทั้งสองพี่น้องก็ไม่รอช้ามากนัก จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็สะบัดแส้ แล้วสร้างเมฆสีขาวขึ้นมา
อ๋าวอี่จึงถามว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ไยไม่ให้ข้าใช้ร่างมังกรพาท่านไปเล่าขอรับ? ”
“อย่าเป็นเช่นนั้นเลย” ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินผู้ไม่อยากเป็นคนขี่มังกรกล่าวอย่างจริงจังว่า “สิ่งสำคัญที่สุดในการทำสิ่งต่าง ๆ ในศาลสวรรค์คือ การไม่ทำตัวให้โดดเด่น สิ่งที่เราต้องการคือบุญแห่งศาลสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อสร้างชื่อในศาลสวรรค์”
อ๋าวอี่มีสีหน้าละอายใจแล้วเดินตามศิษย์พี่เจ้าสำนักของเขาไปอย่างเชื่อฟัง
บัดนั้น เมฆขาวได้ลอยขึ้น แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
การเดินทางครั้งนี้เงียบและสงบสุข เมื่อบินสูงไปในอากาศได้ราวร้อยลี้ ก็มีลมกระโชกแรงพัดมาจากทั่วทุกทิศทาง กรีดเฉือนมังกรและตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ราวกับใบมีด
อ๋าวอี่ปล่อยพลังเซียนออกไปสร้างปราการป้องกันทันที และแน่นอนว่า ลมสวรรค์กระโชกแรงก็ไม่อาจแตะต้องเซียนสวรรค์อย่างเขาได้
หลังจากลอยขึ้นไปอีกหลายสิบลี้ ก็เห็นเพลิงสวรรค์ชั้นหนึ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือพวกเขา และพวกมันก็พุ่งเข้ามาอย่างอิสระเรื่อยๆ
ลมสวรรค์กระโชกแรง และเพลิงสวรรค์ เป็นหลักเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าเซียนบินขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงแห่งโลกบรรพกาล
หลังจากผ่านพื้นที่เพลิงสวรรค์ ท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขาก็สูงขึ้นทันที สีฟ้าดั้งเดิมของมัน พลันสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มีเมฆขาวลอยอยู่ด้านบน และมีเส้นทางเมฆที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางเมฆขาวนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฉางโซ่วขึ้นทะยานขึ้นสู่สวรรค์เช่นกัน เขาไม่มีประสบการณ์ จึงทำได้เพียงพาอ๋าวอี่ไปที่เส้นทางเมฆด้วยการหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นเองตามสัญชาติญาณเท่านั้น และบินตรงไปยังใจกลางดินแดนเทวะทักษิณ
หลังจากบินไปได้สักพัก ประตูสวรรค์ที่โอ่อ่าสง่างามก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของพวกเขาทั้งคู่
เมื่อมองดูประตูสวรรค์นี้
ดูเหมือนว่า มันจะทำจากหยกขาวทั้งหมดพร้อมกับลงสลักมังกรและหงส์เพื่อคอยคุ้มกัน
กระบี่สวรรค์พิฆาตวิญญาณร้าย แขวนอยู่ในอากาศ และเขียนสารถึงวายร้ายทรยศในเมืองสวรรค์ทักษิณ
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจอธิบายได้…
บัดนี้ เขามาถึงที่แห่งนี้เร็วกว่าและสะดวกกว่าที่เขาวางแผนไว้เมื่อร่างแผนชีวิตเซียนของเขายามที่มีวัยสิบแปดปี เขาได้กระโดดออกจากหลุมยักษ์ที่รู้จักกันในนามมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ เขาย่อมจะไม่มีวันเป็นหน่วยกล้าตายเล็กๆ ที่น่าอนาถที่สุดอีกต่อไป!
ที่น่าอนาถที่สุด หมายถึงผู้ที่ถูกสังหารและยังไม่อาจอยู่ในรายนามทะเบียนเทพได้อีก
หลี่ฉางโซ่วถือแส้และพาอ๋าวอี่ขี่เมฆไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อแม่ทัพสวรรค์ผู้พิทักษ์ประตูสวรรค์เห็นพวกเขา ก็ดูฉงนฉงายในคราแรก แต่จากนั้น เขาก็นึกถึงบางสิ่ง และระบุตัวตนพวกเขาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วส่งข้อความเสียง กระจายออกไปทั่วทุกที่ในทันที
“ทุกคนลุกขึ้น จัดแถว เทพแห่งท้องทะเลได้ขึ้นมาถึงศาลสวรรค์แล้ว!”
ทันใดนั้น ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูสวรรค์ต่างก็ลุกขึ้น จัดแถว และในยามนั้น แม่ทัพสวรรค์ก็รีบบดขยี้ยันต์หยกที่แม่ทัพตงมู่ทิ้งไว้ แล้วก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับเหล่าแม่ทัพสวรรค์อีกหลายคนเพื่อให้การต้อนรับ
“ขอบังอาจถามท่าน ท่านคือ เทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งสี่คาบสมุทรใช่หรือไม่? ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าพลางยิ้ม เขาเป็นคน … ดีมาก
ในขณะนั้น เหล่าแม่ทัพสวรรค์ทั้งหลายคนล้วนรู้สึกยินดี และมีคนหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ท่านแสดงพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านออกมาได้หรือไม่? เรายังต้องทำการตรวจสอบด้วยขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วสะบัดแส้ แล้วแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นรอบกายเขา ทันใดนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็ดูศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
แม่ทัพสวรรค์ประสานมือโค้งคารวะให้ทันที และหลี่ฉางโซ่วก็ทำการคารวะเต๋าตอบกลับไปให้พร้อมกับแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้น ตอนนี้ เจ้าตรวจสอบตัวตนของข้าได้แล้วหรือไม่?”
“ขอรับ ได้โปรด เทพแห่งท้องทะเล!”
“ดี” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสุภาพ และพาอ๋าวอี่เข้าไปสู่ประตูสวรรค์ทักษิณเช่นนี้
หลี่ฉางโซ่วแอบส่ายศีรษะเบาๆ อย่างลับๆ
มันไม่ปลอดภัยนักที่จะปล่อยเขาไปหลังจากตรวจสอบพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาแล้ว ไม่มีการซักถามอย่างละเอียดหรือตรวจค้นร่างกาย และยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือ ร่างจำแลงหรือหุ่นเชิด…เมื่อคิดดูแล้ว ข้ายังต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อองค์เง็กเซียน
ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่รู้สึกปลอดภัยเลยเมื่อพาศิษย์น้องหญิงและท่านอาจารย์ของข้ามาที่ศาลสวรรค์ในภายภาคหน้า
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก” อ๋าวอี่ถามผ่านการส่งข้อความเสียง “ข้าไม่ต้องให้ของขวัญหรือขอรับ?”
“ไว้เราค่อยคิดเรื่องนี้เมื่อยามจากไป ไม่ต้องรีบหรอก”
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ ลำแสงสีเขียวก็ส่องประกายไปบนเส้นทางเมฆที่อยู่ข้างหน้าเขา และเผยร่างของชายชราผู้ซื่อสัตย์ขึ้น
ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกาย และเขาก็แอบยื่นฝ่ามือ… ไปตบอ๋าวอี่
อ๋าวอี่กะพริบตา ห้านิ้ว? ของขวัญพบหน้าห้าชิ้น?
ในขณะนั้น อ๋าวอี่รีบคลำหาสมบัติไปรอบๆ ในคลังเวทจัดเก็บของเขาอย่างรวดเร็วขณะที่หลี่ฉางโซ่วขี่เมฆไปข้างหน้าและตะโกนว่า “ขอบคุณท่านแม่ทัพตงมู่ที่มานำทางให้ด้วยตัวเอง!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” แม่ทัพตงมู่อารมณ์ดี “เทพแห่งท้องทะเล ข้ารอให้ท่านขึ้นมา ในที่สุดท่านก็มาแล้ว! เร็วเข้า เร็วเข้า ตามข้าไปเฝ้าฝ่าบาทด้วยกัน! ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้ารับทันที กล่าวตามเหตุผลแล้ว เขาสมควรไปที่หอทงหมิงก่อน แต่เนื่องจากแม่ทัพตงมู่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน เขาจึงทำได้เพียงแค่รับฟัง
“แม่ทัพตงมู่ นี่คือ ผู้บัญชาการกองทัพเรือของข้า อ๋าวอี่
อ๋าวอี่รีบออกมาคารวะท่านแม่ทัพตงมู่ นี่คือ ท่านแม่ทัพตงมู่ แห่งศาลสวรรค์ เป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงไว้วางใจมากที่สุด! ”
อ๋าวอี่รีบก้าวออกไปข้างหน้าพลางโค้งคำนับอย่างนอบน้อมและร้องตะโกนว่า ‘ท่านแม่ทัพตงมู่ ‘ … แล้วดึงหีบสมบัติสีทองเป็นประกายขนาดใหญ่ห้าใบออกมาจากอ้อมแขนของเขา
หีบสมบัติแต่ละหีบยาวครึ่งจั้ง สูงและกว้างสามฉื่อ พวกมันวางเรียงกันอย่างเรียบร้อยต่อหน้าแม่ทัพตงมู่ และเปิดหีบออกด้วยตัวเอง…
แสงสมบัติภายในนั้นสั่นไหวและทำให้ทุกคนล้วนตาพร่าพราย มันมีไข่มุกราตรีเรืองแสงขนาดเท่ากำปั้นของสงหลิงลี่ แผ่นหยกแกะสลักจากหยกวิจิตรงดงามไร้ใดเทียบได้ และไข่มุกไร้ตำหนิขนาดเท่าตามังกร…
หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน …
น้องชาย เจ้ามาที่นี่เพื่ออวดของในศาลสวรรค์หรือไม่?
นี่คือ สิ่งที่เจ้าไม่เรียกว่าของที่ไม่มีอะไรดีหรือนี่? เช่นนั้น เจ้าก็รับสิ่งของที่ไม่มีอะไรดีมาสักร้อยกล่องแล้วส่งไปที่วิหารเทพทะเลได้หรือไม่?
อ๋าวอี่กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “อืม นี่คือ ของขวัญขอบคุณเล็กน้อยจากผู้น้อย ขอให้ท่านแม่ทัพตงมู่
โปรดยอมรับไว้ด้วยขอรับ! ”
“นี่…”
ท่านแม่ทัพตงมู่กะพริบตา และมองไปรอบๆ อย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็มองหลี่ฉางโซ่วด้วยความสงสัยว่า หรือนี่จะเป็นส่วนสำคัญของเรื่องเผ่ามังกรหรือไม่
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกทำอะไรไม่ถูกในใจ
เขารู้ว่าเผ่ามังกรนั้นใจกว้าง แต่คาดไม่ถึงว่า…
………………………………………………………………..