ตอนที่ 352 การปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ทั่วไป (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 352 การปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ทั่วไป (2)

“ท่านแม่ทัพตงมู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความขอบคุณจากใจของอ๋าวอี่เช่นกัน มันล้วนเป็นของประดับทั้งหมด ขอให้แม่ทัพตงมู่โปรดรับไว้ด้วยเถิด”

“เฮ้อ นี่มันผิดกฎ หากมีคนเห็น ย่อมจะเป็นปัญหาร้ายแรงจริงๆ!”

“ช้าก่อน แม่ทัพตงมู่” จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวกับอ๋าวอี่ในขณะที่ก้มศีรษะรับทันทีแล้วหันกลับ กลายร่างเป็นลำแสงสีรุ้งและร่อนลงที่ประตูสวรรค์ทักษิณ

เคล้ง! เคล้ง! แล้วหีบสมบัติขนาดใหญ่อีกสองสามหีบก็ถูกส่งออกมาแล้วกระแทกลงอยู่ตรงหน้าเหล่าแม่ทัพสวรรค์

“นี่เป็นของขวัญแสดงความขอบคุณจากใจของอ๋าวอี่ โปรดช่วยดูแลข้าต่อไปในภายหน้าด้วย!”

หลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็หันหลังและบินกลับไป ทำให้เหล่าแม่ทัพสวรรค์ไม่มีโอกาสปฏิเสธได้เลย

ในขณะนั้น แม่ทัพตงมู่เข้าใจว่า บางทีนั่นอาจเป็นส่วนที่วังมังกรใช้การมอบของขวัญเพื่อปูทางในการเข้าสู่ศาลสวรรค์ และทำให้เขารู้สึกชื่นชมเทพแห่งท้องทะเลมากขึ้น

“เช่นนั้น ข้าจะรับเอาไว้ดีหรือไม่?” แม่ทัพตงมู่ถามอย่างระมัดระวัง

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกะพริบตาในขณะที่แม่ทัพตงมู่ก็หัวเราะฝืดเฝื่อนและกล่าวว่าเขาจะไม่ทำเช่นนี้อีก…

ต่อจากนั้น ระหว่างทางไปหอสมบัติหลิงเซียว หากพบแม่ทัพสวรรค์ อ๋าวอี่ก็จะขึ้นไปส่งกล่องเครื่องประดับที่ไร้ประโยชน์

และแล้ว ในวังสวรรค์ที่กว้างใหญ่ ก็มีประโยคเช่น “นี่ ข้าจะยอมรับได้อย่างไรกัน?” “ท่านเกรงใจมากไปแล้ว” “แค่ของขวัญพบหน้า” “อย่าทำอีก อย่าทำอีก”…

ในขณะนั้น การเดินทางของพวกเขาบนเส้นทางเมฆจากประตูสวรรค์ทักษิณไปยังหอสมบัติหลิงเซียวนั้นเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริงเบิกบาน

เมื่อเข้าใกล้หอสมบัติหลิงเซียว ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเป็นประกายอีกครั้งเมื่อเห็นร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน ‘ผ่านไป’ พร้อมกับแม่ทัพสวรรค์สองสามคน

ขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่แม้แต่จะต้องเหลือบมองเป็นนัยเพื่อส่งสัญญาณให้อ๋าวอี่อีกต่อไป อ๋าวอี่ก็รีบหยิบหีบสมบัติบางส่วนออกมาจากคลังเวทจัดเก็บของเขาก่อนแล้ว

“ของขวัญพบหน้าเล็กน้อย ขอท่านโปรดรับไว้ด้วยรอยยิ้ม และช่วยดูแลข้าต่อไปในภายหน้าด้วยเถิด!”

ทันใดนั้น ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนก็กะพริบตาแล้วมองไปที่หลี่ฉางโซ่วด้วยความสับสน หลี่ฉางโซ่วจึงแย้มยิ้มและพยักหน้าให้

จากนั้นร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนที่มาดูว่ามีผู้ใดกล้ารับของขวัญอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา

แล้วทันใดนั้น เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง

การกระทำของขุนนางฉางเกิง น่าจะมีความหมายลึกซึ้ง เผ่ามังกรส่งของขวัญมาให้ ทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับศาลสวรรค์มากขึ้น… ทว่า เป็นข้าที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ยิ่งกว่านั้นของขวัญยังล้วนเป็นของประดับตกแต่งทั้งหมด เผ่ามังกรก็มีความคิดใส่ใจเช่นกัน

ดังนั้นองค์เง็กเซียนจึงยิ้มบางเบาแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ก็ช่างเถิด ความจริงแล้ว สวรรค์มีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ข้าจะไม่ทำอีกต่อไป”

“เฮ้!” อ๋าวอี่ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วประสานมือคารวะให้ผู้สัญจรผ่านมาที่ไม่รู้จักคนนี้ แล้ววิ่งกลับไอยู่ข้างหลังหลี่ฉางโซ่วพร้อมด้วยรอยยิ้ม

จากนั้น ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนก็แอบพยักหน้าอย่างลับๆ ช่างเป็นมังกรน้อยที่ดีจริงๆ

หลังจากนั้นอีกสองวัน เขาก็บินผ่านประตูหยกเก้าชั้น หอสมบัติหลิงเซียวที่กำลังลอยอยู่ใต้ท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวก็ปรากฏให้เห็นในสายตา มีเหล่าเซียนนับร้อยคนรวมตัวกันอยู่ภายในนั้น ทหารสวรรค์ที่อยู่หน้าหอดูราวกับรูปปั้น ครั้นเมื่อเหยียบบันไดหยกขาวเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นที่หน้าหอ อ๋าวอี่ก็รู้สึกประหม่าอย่างอธิบายไม่ถูก

หลี่ฉางโซ่วกล่าวให้กำลังใจเขาสองสามคำผ่านข้อความเสียง จากนั้นก็ใช้มือซ้ายค่อยๆ ยกชายเสื้อคลุมขึ้นในขณะที่ถือแส้หางม้าสีขาวไว้ในมือขวาแล้วก้าวเดินขึ้นบันไดไป

ตรงนี้คือ

เพียงราวกับว่า… เดิมทีเขาเป็นแขกที่อิสระไร้กังวลอยู่บนภูเขา เขาบูชาองค์จักรพรรดิในหอสมบัติหลิงเซียว

เขาได้รับการจัดอันดับบนวัฏจักรสวรรค์และอยู่ในเส้นทางที่ชอบธรรมโดยหวังว่าจะหลีกเลี่ยงการกลายเป็นสถาปนาเทพตลอดชีวิตของเขา!

ครึ่งชั่วยามต่อมา

บนเส้นทางเมฆที่บินไปยังหอทงหมิง หลี่ฉางโซ่วกล่าวกับอ๋าวอี่

“เจ้ารู้สึกอย่างไร?”

“ฝ่าบาทองค์เง็กเซียน ความจริงแล้วยัง… ยังเยาว์วัยและทรงพลัง” อ๋าวอี่ตอบกลับผ่านการส่งข้อความเสียง “นอกจากนี้ ความจริงที่ว่าองค์เง็กเซียนห่วงใยเผ่ามังกรมาก ก็ทำให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งยิ่ง”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “อย่ามองทุกสิ่งเพียงแค่ภายนอก อ๋าวอี่ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยภายในของเรื่องต่างๆ เหตุการณ์ ที่องค์เง็กเซียน เป็นห่วงเผ่ามังกรมากนั้น จริงๆ แล้ว เป็นเพราะเขาสนใจอิทธิพลของเผ่ามังกรในโลกบรรพกาล หากเผ่ามังกรเข้าสู่ศาลสวรรค์ได้ ศาลสวรรค์ซึ่งในเวลานี้ เพิ่งได้เริ่มก่อตั้งมาไม่นาน ก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน และนั่นคือแรงจูงใจของศาลสวรรค์ในการช่วยเหลือเผ่ามังกร”

อ๋าวอี่ครุ่นคิดเมื่อได้ยินเช่นนี้และตอบผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “อ๋าวอี่รู้ว่า ศิษย์พี่เจ้าสำนักกำลังพูดถึงอะไร ทว่าก็ยังดีกว่าผู้ที่แอบโจมตีทำร้ายผู้อื่นลับๆ โดยไม่ได้รับความภักดีของเผ่ามังกรของข้านับหมื่นเท่า”

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็โบกแส้หางม้าของเขาโดยไม่เอ่ยอะไร

คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่ได้รับประโยชน์จากการไปเยือนองค์เง็กเซียนในหอสมบัติหลิงเซียวมากนักเขาได้รับเพียงยันต์พยัคฆ์ที่สามารถระดมทหารสวรรค์หนึ่งแสนคนได้ตลอดเวลาและแผ่นป้ายที่สามารถเดินไปรอบๆ วังสวรรค์ได้ตามต้องการ และยังเข้าหอสมบัติหลิงเซียวได้โดยไม่ต้องรายงาน…

เขาได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเสนาบดีธรรมดา

เมื่อไปที่หอทงหมิง เจ้าหน้าที่เซียนสองสามคนที่เฝ้าหอทงหมิงก็ให้ความเคารพอย่างยิ่งเช่นกัน และรีบจัดการเรื่องต่างๆ ทั้งหมดให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

เขาเข้าสู่ทะเบียนเซียน รับแผ่นป้าย เลือกคฤหาสน์ และยังได้รับทหารสวรรค์สามพันคนในฐานะเป็นกองทัพเรือชุดแรกของเทพแห่งท้องทะเลอีกด้วย

หลี่ฉางโซ่วฉวยโอกาสนี้เรียนรู้และทำความเข้าใจการสถานการณ์ของการจัดตั้งศาลสวรรค์ในทุกๆ ด้านในขณะนี้ และพบว่า ไม่เพียงแต่ศาลสวรรค์จะขาดตำแหน่งเทพผู้ชอบธรรมเท่านั้น แต่ยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ในด้านความแข็งแกร่งของการป้องกันที่ควรมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งด้วย

ทั่วทั้งศาลสวรรค์ ควรให้มีทหารสวรรค์ปกป้องและประจำการมากกว่าสามล้านคน แต่ตอนนี้ เมื่อรวมกันจากทั่วทุกแห่งแล้ว มีเพียงหนึ่งล้านคนเท่านั้น

แต่ละชั้นของเก้าชั้นสวรรค์นั้นกว้างใหญ่มาก สามชั้นล่างก็ยังคงเป็นสถานที่ที่เหล่า ‘มนุษย์สวรรค์’ อาศัยอยู่ พวกเขาสอดคล้องกับเต๋าสวรรค์และสังสารวัฏหกวิถี

อายุขัยของมนุษย์สวรรค์นั้น ได้เริ่มจากอายุยืนยาวนับพันปี พวกเขามีความสามารถที่ดีในการฝึกบำเพ็ญ และเป็นแหล่งกำลังพลที่สำคัญของเหล่าทหารสวรรค์

จากศาลสวรรค์สู่แดนยมโลก หลี่ฉางโซ่วสามารถมองเห็นเส้นทางเชื่อมต่อและบริบทต่างๆ ได้ชัดเจน นี่อาจเป็นระบบเทพธิปไตย[1]แห่งสามอาณาจักรที่บรรพาจารย์เต๋าหงจวิน[2]สร้างขึ้นหลังจากรวมเข้ากับเต๋าสวรรค์

ทว่ายังไม่อาจเพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์ของมนุษย์สวรรค์ให้มากขึ้นได้ และศาลสวรรค์ก็ถูกจำกัดด้วยสิ่งนี้เช่นกัน จึงทำให้ไม่มีทหารสวรรค์เพียงพอ

หากศาลสวรรค์ปรารถนาจะยิ่งใหญ่ขึ้น ก็ต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วก็ได้แต่เพียงคิดเรื่องเหล่านี้ และจะยังไม่เอ่ยออกไป

เว้นแต่จะเป็นงานที่ได้รับมอบหมายจากปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพ หรือหากต้องการได้รับบุญและเพิ่มกรรมโดยไร้เหตุผล ซึ่งแน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วย่อมจะ…ไม่…ทำ…

หือ?

จู่ๆ ก็เกิดการตรัสรู้ในใจของเขาฉับพลัน มีการรบกวนในเต๋าไท่ชิงเล็กน้อยและมีถ้อยคำหนึ่งก่อตัวขึ้นในใจของเขา

“มา”

“นี่คือ!”

หลี่ฉางโซ่วตื่นตกใจในขณะที่อ๋าวอี่ที่อยู่ข้างๆ ก็งุนงงกะทันหัน

ในตอนนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่กล้ารั้งรอแล้วรีบถามว่า วังดุสิตอยู่ที่ใด จากนั้นจึงพาอ๋าวอี่บินตรงไปที่นั่นทันที

อ๋าวอี่รีบถามว่า “นั่นไม่ใช่สถานที่แห่งเต๋าที่ปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพแปลงมาหรือขอรับ?”

“อืม” หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งถามมาก อย่ามองมากเกินไป และอย่าฟังมากเกินไป”

“ขอรับ” มังกรน้อยอ๋าวอี่ตึงเครียดไปทั่วทั้งร่าง ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ทว่าก่อนจะทันได้บินไปยังวังดุสิต พวกเขาก็เห็นทุ่งถั่วงอกที่มีชีวิตชีวาอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางเมฆ

เป็นทุ่งถั่วงอกจริงๆ นี่คือ เขตพื้นที่ปลูกถั่วที่ศาลสวรรค์เปิดขึ้นหลังจากที่หลี่ฉางโซ่วได้มอบพลังเวทโปรยถั่วเป็นทหารรุ่นแรกและถั่วเซียนลูกผสมชั้นยอดให้แก่ศาลสวรรค์

ในเวลานี้ ศาลสวรรค์ว่างเปล่ามาก และเมล็ดถั่วเซียนนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มความเขียวขจีให้กับศาลสวรรค์บ้าง

นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก

ประเด็นก็คือ แม่ทัพสวรรค์หนุ่มคนนั้นที่กำลังถือจอบในทุ่งเมล็ดถั่ว เหงื่อออกท่วมตัว และกำลังมองดูสถานที่นี้เช่นกัน…

อ๋าวอี่เงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็น ใบหน้าเนียนละเอียดบอบบางของเขาแดงขึ้นทันที เขาคว้ากระบี่ออกมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับส่งเสียงร้องกึกก้องขณะชักกระบี่ออกมาจากฝัก!

………………………………………………………………..

[1] หรือเทวาธิปไตย เป็นระบบการปกครองโดยอำนาจเทพ ยึดถือเทพเป็นหลัก

[2] หรือนิยมเรียกว่าหงจวินเหล่าจื้อ ถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาเต๋าที่ทรงเป็นพระอาจารย์ของปรมาจารย์สามบริสุทธิ์แห่งเต๋าซันชิง คือ องค์ไท่ชิง องค์เง็กเซียน และ องค์ทงเทียน