ภาค 3 บทที่ 126 ไม่อาจสมหวัง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 126 ไม่อาจสมหวัง
Ink Stone_Romance
แสงตะวันสว่าง เสียงจักจั่นในเรือนดังระงม

ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วเดินเข้ามาในเรือนของฟางเฉิงอวี่

“ประหลาดจริง ข้าได้ยินว่านางออกไปข้างนอกแล้ว ไปไหน?” ฟางอวี้ซิ่วเข้าประตูมาก็เอ่ยถาม

ฟางเฉิงอวี่ขานอืมทีหนึ่ง

“ไม่รู้หรอก” เขาว่า

ฟางอวี้ซิ่วร้องเอ๋ ทำเสียงจิ๊ๆ สองทีมองฟางเฉิงอวี่

ฟางเฉิงอวี่คล้ายไม่ได้สนใจสายตาของนาง ส่งสมุดบัญชีให้ฟางอวิ๋นซิ่วอย่างตั้งใจ ฟางอวิ๋นซิ่วก็ไม่ได้คิดมาก นั่งลงเปิดพลิกอ่าน

“เจ้าไม่รู้ได้อย่างไรเล่า? เจ้าวันๆ อยากกลายเป็นเงาของนางยิ่งนัก” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม

“พี่รอง รอพวกเราดูสมุดบัญชีเสร็จค่อยพูดเรื่องนี้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

ฟางอวี้ซิ่วยื่นมือตบสมุดบัญชีที่วางอยู่ ฟางอวิ๋นซิ่วตกใจสะดุ้งโหยง ไม่เข้าใจมองฟางอวี้ซิ่ว

“ดูสมุดบัญชีอะไรกันเล่า เวลาไหนแล้ว” ฟางอวี้ซิ่วดวงตาวาววับเอ่ย “รีบบอกข้า นางออกไปข้างนอก เจ้าทำไมไม่รู้? ใช่นางจงใจปิดบังเจ้าหรือไม่?”

มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? ฟางอวิ๋นซิ่วก็มองไปทางฟางเฉิงอวี่บ้าง

“ทำไมนางปิดบังเจ้า?” นางเอ่ยถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่เช่นนี้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยจริงจัง “จิ่วหลิงคิดทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น จะบอกว่านางปิดบังใครได้ยังไง ครอบครัวของตนเองไหนเลยปิดบังไม่ปิดบังอะไร? หรือข้าออกไปข้างนอกทำอะไรเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องบอกพวกท่านหรือ? หากข้าไม่พูด พวกพี่สาวก็จะรู้สึกว่าข้าจงใจปิดบังพวกท่านหรือ?”

ก็เป็นเหตุผลนี้ ฟางอวิ่นซิ่วพยักหน้า

ฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม

“พูดภาษาคน” นางเอ่ย

พูดอะไร ฟางอวิ๋นซิ่วมองนางอย่างกล่าวโทษ ยังไม่ทันพูดก็เห็นฟางเฉิงอวี่ลุกขึ้นโถมลงไปที่เบาะยาวด้านข้าง

“ข้าไม่สน ข้าไม่สนว่านางทำไมไม่พาข้าไปด้วย” เขาตบตีหมอนอิง ฝังศีรษะลงไปบนหมอนอิง เสียงใสกังวานเปลี่ยนเป็นหดหู่อยู่บ้าง “ไม่พาข้าไป ไม่พาข้าไป ข้าไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากดูสมุดบัญชี ข้าก็อยากไปด้วย ข้าก็อยากไปด้วย”

ฟางอวิ๋นซิ่วตาโตอ้าปากค้าง

ฟางอวี้ซิ่วยิ้มก้มเอว

“ต้องเป็นบัณฑิตคนนั้นกล่อมนางแน่” นางเอ่ยพลาง “เจ้ายังอยู่ที่นี่แสร้งเป็นน้องชายแสนดีว่านอนสอนง่ายเอาใจใส่ เสแสร้งต่อไปก็เป็นได้แต่น้องชายตลอดไปแล้ว”

ฟางเฉิงอวี่เงยศีรษะที่ฝังอยู่บนหมอนอิงขึ้นมาเบี่ยงนิดหนึ่ง สองตามองไปยังบุปผาฤดูร้อนที่บานสะพรั่งวางอยู่ริมหน้าต่าง มุมปากผุดความปลงที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบางๆ

หากไม่เสแสร้งเป็นน้องชาย เกรงว่ากระทั่งน้องชายก็คงไม่ได้เป็น

……………………………………….

คุณหนูจวินด้านนี้ออกจากบ้าน นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็รู้ทันที

“ข้ารู้อยู่เชียวว่าต้องแอบนัดกันแน่” นางตบโต๊ะเอ่ย

“เฉิงอวี่ถึงกับไม่ตามไป?” นายหญิงใหญ่ฟางประหลาดใจอยู่บ้างเอ่ยถาม “หรือเขาไม่รู้ว่านางจะไปพบใคร?”

“คุณหนูจวินไม่พูดเลยเจ้าค่ะ” นางหยวนยิ้มเอ่ย

“ไม่มีใครเดาไม่ออกหรอก นอกเสียจากบัณฑิตต่ำช้าหน้าไม่อายคนนั้นยังมีใครมีความกล้ากับหน้าหนาอีก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสบถ

“ปกติเรื่องเกี่ยวกับนางวิ่งเร็วกว่าใคร ใส่ใจกว่าใคร ทำไมตอนนี้มากลัวเสียเล้วเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางขมวดคิ้วเอ่ย พลางยกเท้าก้าวเดิน “ให้เขาตามไป”

นายหญิงใหญ่ฟางร้องเรียกนางไว้

“เฉิงอวี่ของพวกเราไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” นางเอ่ย “เฉิงอวี่ของพวกเราไม่ใช่พวกช่างตื้อ เจินเจินนางไม่พูด ไม่ได้ให้ตามไป เฉิงอวี่ของพวกเราก็เคารพนางไม่ถาม ไม่ตาม”

นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนล้วนมองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

นางพูดถูก เช่นนี้ไม่มีศักดิ์ศรีเกินไปอยู่บ้างแล้วจริงๆ

“ข้าจะตามไป” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยอีก

นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนถลึงตา

นี่ นี่…

“หลานสาวของข้ายังเล็กปานนี้ออกไปข้างนอกคนเดียว ข้าเป็นยายไม่วางใจ ตามไปดูสักหน่อยมีสิ่งใดไม่ถูกต้องรึ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางแค่นเสียงเหอะเอ่ย

นี่ฟังดูแล้วก็ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกจริงๆ แต่ที่สำคัญก็คือหลานสาวคนนี้ของท่านแม้อายุน้อยเช่นนี้ แต่เดินทางไกลยิ่งกว่าตัวคนเดียวมาแล้ว ต่อต้านผู้ดีชนบทที่กลั่นแกล้ง บุกฝ่ากับดักสังหารของขุนนางกับโจรถ่อย ผ่านหายนะโรคฝีดาษ เรื่องที่ผู้ใหญ่คนที่โตแล้วมากมายล้วนรับไม่ไหวเหล่านี้นางล้วนผ่านมาแล้ว ไปข้างนอกพบบุรุษผู้หนึ่งคนเดียว ไม่รู้สึกว่าทำให้คนไม่วางใจจริงๆ

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเลิกคิ้ว

“บุรุษ อย่าดูแคลนเรื่องบุรุษสตรีนี่เชียว” นางเอ่ย “นั่นเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดบนโลกแล้ว ก้าวพลาดก้าวเดียวก็คับแค้นชั่วกาลนาน”

พูดจบไม่รอพวกนางเอ่ยอีก ยกมือส่งสัญญาณ

“เตรียมรถ”

……………………………………….

ลั่วเหมยเซวียนนอกเมือง จากความหมายของชื่อต้องปลูกต้นเหมยไว้มากมายแน่นอน ถึงมีดอกเหมยบานแล้วถึงมีดอกเหมยร่วง

ลั่วเหมยเซวียนจึงใช้ทรัพยากรให้เต็มที่ หมักสุราดอกเหมย ทำแผ่นแป้งดอกเหมย ขนมดอกเหมย ไม่นับว่ารสชาติโอชามากมายนัก แต่ก็เป็นของเด่นของหยางเฉิง ทว่าดอกเหมยร่วงมากอีกเท่าใดก็มีจำกัด ดังนั้นจึงจำกัดจำนวนให้บริการ ไม่ใช่มาแล้วจะได้กินตลอดเวลา

หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ริมหน้าต่างในสายตาปรากฏรถม้าคันหนึ่ง ไม่เหมือนกับรถม้าที่โดยสารมาก่อนหน้านี้ รถม้าคันนี้มีเครื่องหมายของตระกูลฟาง หนิงอวิ๋นเจาจำได้

นางมาแล้ว

หนิงอวิ๋นเจาสูดหายใจลึกทีหนึ่ง มองรถม้าที่ใกล้เข้ามาทุกที

รถม้าหยุดลงหน้าประตู หนิงอวิ๋นเจาเตรียมโบกมือทักทาย แต่กลับมองเห็นด้านหลังยังมีรถม้าอีกคันขับมา

รถม้าก็หยุดลงด้วย มองเห็นคนที่ลงมาจากข้างบน หนิงอวิ๋นเจาก็ส่ายศีรษะยิ้มแล้ว

ดูท่าวันนี้ก็คงไม่อาจคุยกันสงบๆ ได้อีกแล้ว

หนิงอวิ๋นเจารั้งสายตากลับ เดินออกไปด้านนอก

รอเขาลงมาจากหอ คุณหนูจวินกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็เข้ามาในห้องโถงแล้ว

“บังเอิญอะไรเช่นนี้ เจ้าก็มาด้วย?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางกำลังเอ่ยถามอย่างตั้งใจ “ทำไมอยู่ดีๆ คิดถึงลั่วเหมยเซวียนแล้วเล่า? ทำไมมาคนเดียว? ไม่เรียกเฉิงอวี่ อวิ๋นซิ่ว อวี้ซิ่ว พวกเขามาด้วยเล่า?”

ได้ยินถึงตรงนี้หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้ม ก้าวเดินไปข้างหน้า

“บังเอิญเช่นนี้” เขาว่า

มองเห็นหนิงอวิ๋นเจา บรรดาสาวใช้ตระกูลฟางก็อุทานเบาๆ ประหลาดใจออกมาอีกครั้ง ส่วนนายหญิงผู้เฒ่าฟางเลิกคิ้ว

ประโยคนี้เขายังอุตส่าห์พูดออกมาจากปากได้

แน่นอนนางไม่คิดว่าสิ่งที่ตนเองพูดออกมาจากปากมีปัญหาอะไรสักนิด

“บังเอิญจริงๆ” นางว่า “คุณชายหนิงก็อยู่ที่นี่รึ”

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มจะเอ่ยวาจา คุณหนูจวินก็เปิดปากขึ้นก่อน

“ข้ากับคุณชายหนิงนัดกันที่นี่” นางว่า “บังเอิญจริงๆ ที่ท่านยายท่านก็มาด้วย

ยังไงก็เป็นเจินเจินของพวกเราซื่อตรง ไม่ถูกบัณฑิตผู้นี้ชักชวนให้โกหกปิดบังต่อ

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้าพึงพอใจ

“เช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นคุณชายหนิงก็ตามพวกเรามาด้วยกันเถอะ”นางว่า

คราวนี้จบกันแล้ว

เสี่ยวติงมองบรรดาสาวใช้เหล่านั้นด้านหลังนายหญิงผู้เฒ่าฟาง คิดถึงภาพอาหารมื้อนี้จะครึกครื้นมากเท่าใด

คุณชายไม่ต้องพูดถึงจะพูดคุยเบิกบานกับคุณหนูจวินเลย มีโอกาสพูดคุยหรือไม่ก็ยังไม่แน่

หนิงอวิ๋นเจามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง คุณหนูจวินก็ยิ้มพยักหน้าให้เขา

มองเห็นรอยยิ้มของนาง รอยยิ้มบนหน้าหนิงอวิ๋นเจาก็ยิ่งกว้างขึ้นหลายส่วน เขาไม่หลอกตนเอง ก่อนหน้านี้นาทีนั้นที่มองเห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางปรากฏตัว เขาก็ปวดใจอยู่นิดๆ จริงๆ

ส่วนบังเอิญจริงหรือไม่ นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ อยู่ตามลำพังสบายๆ สุขสันต์ไม่อาจสมหวังแล้ว

เวลานี้พลันมองเห็นคุณหนูจวินยิ้ม รอยยิ้มเปิดเผยทั้งยังสำราญ ความปวดใจเล็กน้อยนั่นของเขาก็สลายหายไปดั่งหมอกควัน

ประการแรกได้พบหน้า ประการต่อมาได้พูดคุยกันอย่างสุขสำราญ ตามลำพังหรือไม่ เกี่ยวอันใดอีก?

หนิงอวิ๋นเจาเพิ่งยื่นมือทำท่าเชิญก็ได้ยินเสียงกระแอมทีหนึ่งจากนอกประตู

“บังเอิญจริงๆ วันนี้ที่นี่คนไม่น้อยเลยนะ”

พวกนายหญิงผู้เฒ่าฟางกับหนิงอวิ๋นเจาในโถงได้ยินเสียงมองไปไม่ทันรู้ตัว มองเห็นที่ประตูไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรมีแขกมาอีกหลายคน

พวกเขาหันหลังให้แสง รูปร่างสูงใหญ่ ทั้งร่างอาภรณ์สีดำยืนอยู่ที่ประตูประหนึ่งกำแพงผืนหนึ่งบดบังแสงตะวัน ทำให้ลั่วเหมยเซวียนที่เดิมสว่างไสวพริบตากลายเป็นมืดหม่น

มองเห็นใบหน้าของพวกเขา บรรดาพนักงานสีหน้าซีดขาว นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับหนิงอวิ๋นเจาก็พลันคลายรอยยิ้ม มีเพียงคุณหนูจวินสีหน้ายังคงเดิม

คนหลายคนนี้นางยังจำได้ แม้พบหน้ากันเพียงครั้งเดียววันที่สามเดือนสามที่หอจิ้นอวิ๋นเมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้

องครักษ์เสื้อแพรรึ ก็ควรปรากฏตัวแล้วจริงๆ

ด้านในห้องโถงใหญ่เงียบกริบ แต่ความเงียบนี้กลับชักนำให้ห้องส่วนตัวมากมายเปิดประตูออกมา ลั่วเหมยเซวียน เสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ในลั่วเหมยเซวียน

“คุณหนูจวิน !”

นี่เป็นที่ยินดี

“คุณชายหนิง !”

นี่คือที่ตื่นเต้น

“…..”

นี่คือจนคำพูด

เสียงดังขึ้นแล้วเงียบลง เงียบลงแล้วก็ดังขึ้นอีก เหมือนจะวุ่ยวายแต่ก็เหมือนชะงักนิ่ง

มองเห็นวันนี้ไม่อาจพูดคุยอย่างสุขสันต์ได้แล้ว

ในใจหนิงอวิ๋นเจาถอนหายใจทีหนึ่ง

……………………………………….