บทที่ 127 คนมากปากมากถ้อยคำไม่มีสิ้นสุด
Ink Stone_Romance
เรือนด้านนี้ของนายหญิงใหญ่หนิงคึกคักนักทั้งวัน
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคิดเช่นนี้ไม่ได้นะ” นายหญิงสามหนิงเอ่ยอย่างจริงจังจากใจ
“ข้าจะไม่คิดเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นคนยังไง พวกเจ้ายังไม่รู้ชัดอีกรึ?” นายหญิงใหญ่หนิงมองพวกนายหญิงในห้องทีหนึ่ง เอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดหน้าถอนหายใจร่ำไห้ “สุดท้ายนางก็ยังไม่ปล่อยพวกเรา”
นายหญิงใหญ่หนิงเดิมทีปิดบังไม่บอกว่าตนเองป่วยเป็นอะไร
เรื่องนี้สำหรับนางเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเกินไปแล้ว ขายหน้าบุตรชายของนาง แล้วก็ขายหน้าตัวนางเองด้วย
ไม่ยินดียินร้ายปฏิเสธการมาเยี่ยมของคนทั้งหมด แล้วก็ไม่ต้องการอธิบายแก่ผู้อื่น แต่วันนี้ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนออกันอยู่ที่นี่แล้ว เป็นห่วงเป็นใยนางสอบถามนาง
สำหรับผู้หญิงทั้งหลาย ขอเพียงพวกนางยินดี ต่อให้บรรยากาศเงียบแค่ไหนก็สนแต่ตัวเองพูดต่อไปได้
และสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่อึดอัดมานานมาก หดหู่อยู่ในใจ ไม่มีทางต่อต้านความเย้ายวนใจเช่นนี้ได้จริงๆ เหมือนกับคนที่หิวมานานนัก เผชิญหน้ากับอาหารโอชะที่ส่งมาถึงปากหลังกัดคำหนึ่งก็ไม่อาจควบคุมได้ เฮือกเดียวลองลิ้มอาหารโอชารสดีที่วางอยู่บนโต๊ะจนครบ
อย่างไรตอนนี้ก็ปิดบังไม่อยู่แล้ว อย่างไรลูกชายก็ใจแข็งเป็นเหล็ก เขาหน้าไม่อาย ตนเองใยต้องรักษาหน้าแทนเขาอีก
นายหญิงใหญ่หนิงจึงเทความหงุดหงิดในใจออกมาหมดสิ้น
ครั้งนี้อารมณ์ของทุกคนจึงถูกจุดติดแล้ว ร่วมร่ำไห้หัวเราะก่นด่าไปกับนายหญิงใหญ่หนิง
“อดีตนางเคยเป็นคนอย่างไร พวกเราย่อมรู้ชัด” นายหญิงสี่หนิงเอ่ย แม้น้ำเสียชิงชังเฉกเช่นนายหญิงใหญ่หนิง แต่กลับเพิ่มคำว่าอดีตขึ้นมาคำหนึ่ง
อดีตคำหนึ่งนี้ความนัยลึกซึ้งแล้ว พูดว่าอดีตย่อมเพราะเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
“เพียงแต่คนอย่างไรก็ต้องเติบโต ใครตอนยังเล็กไม่บ้าบอบ้าง” นายหญิงสามหนิงเอ่ยต่อ “มารดานางจากไปเร็ว ถูกภรรยาน้อยเลี้ยงเติบใหญ่ บิดาก็ดูแลไม่ถี่ถ้วน จะเลี้ยงนิสัยอะไรออกมาได้ หลังจากนี้มีท่านแล้ว ท่านก็สั่งสอนนางดีๆ”
นายหญิงใหญ่หนิงฟังแล้วอึ้งไป บนหน้ายังมีน้ำตาอยู่
“ทำไมข้าต้องสั่งสอนนาง?” นางตะโกนเสียงแหบพร่า ท่าทางโมโหอยู่บ้าง “ข้าไม่อยากคุยกับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าล้วนมองเห็นข้อดีของนาง”
แต่ครั้งนี้ไม่มีใครลุกขึ้นจากไปเพราะนางไม่พอใจ
“ข้อดี นางมีข้อดีอะไร นายหญิงใหญ่ท่านกล่าวหาพวกเราแล้ว”
“พวกเรามาพูดถึงข้อดีของนางดูกัน”
“ไม่ใช่แค่รักษาโรครึ พูดถึงรักษาโรคนี่ หลายวันก่อนนายหญิงตระกูลต่งไปพบนายหญิงผู้เฒ่า”
“นายหญิงตระกูลต่งไม่ใช่ไม่พูดกับตระกูลเรารึ? ยังบอกว่าอะไรทั้งชีวิตไม่พบหน้า”
“นางก็อยากทั้งชีวิตไม่พบหน้าพวกเรา แต่หลานชายสุดรักคนนั้นของนางกำลังจะทั้งชีวิตไม่ได้พบแล้ว ล้มป่วยแล้ว หมอบอกว่ารักษาไม่หาย”
“นี่คือต้องการขอร้องคุณหนูจิ่วหลิงของพวกเราแล้ว?”
ในห้องเสียงเจื้อยแจ้ววุ่นวายครึกครื้น นายหญิงใหญ่หนิงบนหน้ายังมีรอยน้ำตา ลืมเลือนไปแล้วบางทีอาจพูดได้ว่าไม่ทันสนใจจะร้องไห้แล้ว ฟังคำพูดเหล่านี้นิ่งๆ อยากคัดค้านอยากโวยวาย
แต่ไม่มีโอกาสพูดสักนิด ผู้หญิงเหล่านี้ประโยคหนึ่งต่อประโยคหนึ่ง ไม่รอประโยคนี้พูดจบก็เอ่ยอีกประโยคหนึ่งอีกแล้ว
นายท่านใหญ่หนิงที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างลูบเคราส่ายศีรษะ
น่ากลัว
ผู้หญิงน่ากลัวเกินไปแล้ว
ดังนั้นยังต้องใช้ผู้หญิงมาจัดการผู้หญิง
เขาเดินออกจากเรือน กำลังจะฮัมเพลงสำราญใจอยู่ก็เห็นหนิงอวิ๋นเจาก้าวช้าๆ มา
นายท่านใหญ่หนิงอึ้ง
กลับมาแล้ว?
เขาเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้ง เวลานี้ไม่ถูกต้องสิ
“ท่านพ่อ” หนิงอวิ๋นเจามองเห็นนายท่านใหญ่หนิง ยิ้มก้าวเข้าไป ยกห่อระดาษในมือขึ้นมา “ข้าเอาสุราดอกเหมยขวดหนึ่งมาฝากท่าน ให้คนส่งไปที่ห้องหนังสือแล้ว นี่เป็นขนมดอกเหมยที่เอามาฝากท่านแม่ เพิ่งทำมาใหม่ๆ”
อ้อ นายท่านใหญ่หนิงคิด ไม่เลว ออกไปข้างนอกกินข้าวกับสตรียังจำได้ว่าต้องเอาของกลับมาฝากบิดามารดา
แต่ ตอนนี้ใครสนใจเรื่องนี้
“ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า?” เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม “นางไม่มาพบเจ้าหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร นางไม่ใช่คนที่พูดจาเชื่อไม่ได้เช่นนั้น” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย หยุดชะงักครู่หนึ่ง “พบก็ได้พบอยู่ เพียงแต่ที่ได้พบไม่ใช่แค่นางคนเดียว”
ไม่ใช่แค่นางคนเดียว?
นายท่านใหญ่หนิงยิ่งไม่เข้าใจแล้ว
“มามา รีบพูดสิเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เขาเอ่ย
หนิงอวิ๋นเจายังคงส่งขนมให้สาวใช้ส่งเข้าไปในห้องก่อน ตอนนี้ถึงตามนายท่านใหญ่หนิงจากไป
หลังร่างเพราะขนมที่หนิงอวิ๋นเจาส่งเข้ามาในห้องยิ่งระเบิดความครึกครื้นมากขึ้น
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านดูสิอวิ๋นเจาระลึกถึงท่านเท่าไร”
“นายหญิงใหญ่ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ลูกสะใภ้ คือบุตรชายต่างหาก”
“ใช่แล้ว ขอเพียงบุตรชายกตัญญูเชื่อฟัง ลูกสะใภ้ล้วนไม่สำคัญ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้สิ่งที่ท่านต้องทำไม่ใช่ผลักบุตรชายออกไป แต่ต้องดึงบุตรชายไว้สิ ไม่เช่นนั้นใยไม่ใช่ปล่อยให้ผู้อื่นได้เปรียบ”
……………………………………….
เหตุผลที่บรรดาหญิงในห้องนายหญิงใหญ่หนิงกล่าวจริงใจหวังดี ในห้องหนังสือของนายท่านใหญ่หนิงเรื่องราวที่ถูกเล่าออกมากลับเรียบง่ายนัก
เพราะเรื่องก็เรียบง่ายนัก นัดพูดคุย ก่อนอื่นถูกนายหญิงผู้เฒ่าฟางเข้าร่วม ตามติดมาด้วยองครักษ์เสื้อแพรปรากฏตัวอีก นี่ย่อมไม่ใช่บังเอิญ
“ดังนั้นอยู่ที่ป่าดอกเหมยดื่มสุราไหหนึ่งเรียบง่าย ทุกคนก็แยกย้ายแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “องครักษ์เสื้อแพรก็ดื่มสุราที่ป่าดอกเหมย ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรกัน”
ถึงขั้นพูดว่าสำราญใจไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
นายท่านใหญ่หนิงประหนึ่งคิดถึงภาพเวลานั้นได้เหมือนกัน สีหน้าบนหน้าไม่สุขใจยิ่งนัก
“นี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดคิด หัวหน้ากองพันลู่ย่อมไม่มีทางเลิกราเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ที่นี่อย่างไรก็เป็นหยางเฉิง ลั่วเหมยเซวียนแขกเหรื่อมากมายมองเห็นคุณหนูจวิน นอกจากนี้ยังมีคนที่ได้ข่าวมามากยิ่งกว่า นายหญิงผู้เฒ่าฟางแม้มาตามใจ แต่ผู้คุ้มกันข้างกายนางกลับไม่ใช่เลือกส่งเดช ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าองครักษ์เสื้อแพรจะทำอะไรคุกคามคุณหนูจวิน ข้าส่งคุณหนูจวินกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางกลับบ้านด้วยตนเอง มองพวกนางเข้าประตูบ้านถึงกลับมา…”
“แค่นี้?” นายท่านใหญ่หนิงขัดเขา ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“แค่นี้ ไม่ต้องกังวล…” เขาเอ่ย
“ใครกังวลเรื่องนี้!” นายท่านใหญ่หนิงขัดเขาอีกครั้ง “ก็คือจะบอกว่าโอกาสเช่นนี้เจ้ากลับไม่ได้พูดเรื่องแต่งงานกับนาง?”
โอกาสเช่นนี้? หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปนิดหนึ่ง โอกาสอย่างไร?
“โอกาสที่องครักษ์เสื้อแพรมาถึงประตูแล้ว บ่งบอกว่าลู่อวิ๋นฉีจะลงมือแล้ว พวกเจ้าจำต้องแต่งงาน จบทุกสิ่งนี้ไงเล่า” นายท่านใหญ่หนิงถลึงตาเอ่ย “เจ้าทำไมบื้อเช่นนี้? ถึงกับสิ่งใดล้วนไม่พูด? นี่พูดได้จริงจังยิ่งกว่าก่อนหน้าอีก”
หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปนิดหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะแล้ว ฟังดูแล้วก็ใช่จริงๆ แต่….
เขาคิดถึงนายหญิงผู้เฒ่าคนนั้นที่นั่งอยู่ด้านข้าง กระตือรือร้นทั้งยังตั้งอกตั้งใจขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการสอบหน้าพระที่นั่งจากเขาทุกรายละเอียด
“ข้าต้องการถามให้ชัดสักหน่อยสิ เฉิงอวี่ของพวกเราชีวิตนี้ไม่มีความหวังแล้ว แม้หากเขาไปสอบก็น่าจะได้เป็นจอหงวนเช่นกัน แต่บุตรชายของเฉิงอวี่ของพวกเราต้องไปสอบแน่ ข้าต้องสอบถามให้กระจ่างแทนเขาสักหน่อย” นางเอ่ยอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เวลานั้นเขายังคงมาถามข้าได้” หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้ม ตอบจริงจัง
“นั่นผ่านไปนานปานนั้นแล้ว ใครจะรู้เจ้ายังจำได้หรือไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะฮ่าฮ่าเอ่ย
นี่ ไม่ใช่เขาไม่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ผ่านไปนานปานนั้น เขาน่าจะจำได้ชัดเจนกว่านางอยู่บ้างกระมัง
นายท่านใหญ่หนิงหัวเราะแล้ว
“เจ้าดูออกแล้วไหม?” เขาเอ่ยขึ้น “นายหญิงผู้เฒ่าฟางคนนี้จงใจ”
เขาไม่น่าจะนับว่าโง่ หนิอวิ๋นเจายิ้มเงียบงัน
“ดังนั้นเจ้ายิ่งไม่อาจชักช้าอีกแล้ว” นายท่านใหญ่หนิงตบโต๊ะทีหนึ่ง สีหน้าจริงจัง “คนตระกูลฟางก็ไม่โง่”
เทพองค์หนึ่งเช่นนี้ คนโง่ถึงยอมปล่อยออกไป
“ไม่เสียทีเป็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางผู้ไร้หัวใจไร้คุณธรรมตัดขาดญาติหกฝั่ง” นายท่านใหญ่หนิงท่าทางโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างอีกครั้ง “ตักตวงผลประโยชน์จากตัวคุณหนูจวินมากปานนี้แล้ว ยังยึดครองไม่ปล่อยอีก หน้าไม่อายจริงๆ”
เขาพูดพลางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ในเมื่อนางเป็นคนแก่ไม่น่าเคารพ สร้างความลำบากให้เจ้าชายหนุ่มคนนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจบ้าง ข้าจะไปตระกูลฟางด้วยตนเองหารือเรื่องงานแต่งงานของเจ้ากับคุณหนูจวิน”
……………………………………….
“ข้าย่อมรู้ว่าหนิงอวิ๋นเจาไม่โง่”
และเวลาเดียวกันนี้ในจวนหลังใหญ่ของตระกูลฟางที่หยางเฉิง นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าก็กลายเป็นเดือดดาลเช่นกัน
ตรงหน้านางฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ แต่ไม่เหมือนนายท่านใหญ่หนิงมาถามไถ่หนิงอวิ๋นเจาเช่นนี้ กลับเป็นฟางเฉิงอวี่มาถามไถ่นาง
บอกว่าถามไถ่คือเกรงใจแล้ว อย่างฟางเฉิงอวี่น่าจะเรียกตั้งคำถาม
“ข้าย่อมรู้ว่าตระกูลหนิงไม่โง่ พวกเขารู้ชัดยิ่งว่าทำไมวันนี้ข้าบังเอิญเช่นนี้ไปลั่วเหมยเซวียนเช่นกัน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยัน “พวกเขาไม่โง่ แล้วพวกเราโง่รึ? อย่าลืมว่าตอนนั้นพวกเขาทำกับจวินเจินเจินอย่างไร ตอนนั้นไม่สนใจใยดีเรื่องแต่งงานหลบนางประหนึ่งแมงป่อง ตอนนี้จวินเจินเจินในวันวานไม่อาจเทียบยามนี้ได้ นำผลประโยชน์มากปานนี้มาให้ได้แล้วก็จะมาพูดเรื่องแต่งงานลวกๆ หน้าไม่อายจริงๆ”
นางพูดพลางลุกขึ้นยืนก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ในเมื่อพวกเขาหน้าไม่อาย ทำไมข้าต้องเกรงใจกับพวกเขา”
เรื่องตอนนั้น
ตอนนั้นจวินเจินเจินมาหยางเฉิง วิ่งตรงดิ่งไปตระกูลหนิงบอกว่ามีสัญญาหมั้น กลับถูกตระกูลหนิงปฏิเสธนางนอกประตู คิดว่าน่าอับอาย ถูกคนทั้งหยางเฉิงมองเป็นเรื่องตลก
เวลานั้นเขาก็กำลังมองดูเรื่องตลกเช่นกัน ไม่ใช่แค่เขา…
ฟางเฉิงอวี่มองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ท่านย่า ตอนนั้นผู้ที่ไม่สนใจใยดี ที่จริงไม่ใช่แค่ตระกูลหนิง” เขาเอ่ย
ตระกูลฟาง ที่จริงก็ใช่
เสียงนายหญิงผู้เฒ่าฟางพลันเงียบหาย
……………………………………….