บทที่ 463 เด็กเกินไปที่จะเชื่อ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 463 เด็กเกินไปที่จะเชื่อ

บทที่ 463 เด็กเกินไปที่จะเชื่อ

ห้านาที…

สิบนาที…

ครึ่งชั่วโมง…

ผู้อำนวยการทั้งสองไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เฝ้ามองเสี่ยวเถียนแปลเอกสารด้วยความเร็วดั่งปีศาจ

เร็วขนาดนี้ อ่านทันด้วยหรือ?

พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสี่ยวเถียนอ่านหนังสือมาเยอะมาก ทั้งความเร็วและการจดจำเหนือความคาดหมาย แม้จะแปลอย่างรวดเร็ว แต่เสี่ยวเถียนสามารถจับใจความสำคัญได้ทั้งหมด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเสี่ยวเถียนก็อ่านเอกสารกองหนาจนหมดทุกฉบับ

เด็กหญิงพึงพอใจกับความรวดเร็วระดับนี้ของตัวเอง ความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เลย

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชั่วโมงแห่งการจดจ่อกับการอ่านถูกนับเข้าระบบเช่นกัน น่าแปลกจัง ทำไมตอนอ่านหนังสือเรียนก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะนับบ้างเลย

กลับไปต้องถามกับระบบให้กระจ่างเสียแล้ว

“มีแค่นี้เองหรือคะ?”

ผู้อำนวยการทั้งสองต่างมองหน้ากัน

แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?

ฉืออวี้เลี่ยงถามด้วยความลำบากใจ “เสี่ยวเถียน เธอคิดว่าอย่างไรบ้าง ทำได้หรือเปล่า?”

เห็นชัด ๆ ว่าขี่ม้าชมดอกไม้*[1]

เขาคิดว่าตนอาจจะพลาดไปเสียแล้ว เด็กที่ชื่อซูเสี่ยวเถียนคงไม่ได้อวดอ้างชื่อหรอกใช่ไหม?

เด็กสาวพยักหน้า “ทำได้แน่นอนค่ะ หนูอ่านเสร็จแล้ว จำในสิ่งที่ควรจำหมดแล้วด้วย แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจเล็กน้อยค่ะ!”

ฉืออวี้เลี่ยงขบคิด ฉันว่าไม่น่าติดแค่บางส่วนนะ น่าจะไม่เข้าใจทั้งหมดเลยมากกว่ามั้ง

แต่หลังจากที่เสี่ยวเถียนถามคำถาม เขาก็พบว่าเธออ่านมันทั้งหมดจริง ๆ และเข้าใจอย่างชัดเจนราวกับเคยศึกษามันมาก่อน

คำถามก็ดูเป็นมืออาชีพเหมือนกับพนักงานรุ่นเก่าที่ทำงานในโรงงานมาหลายปี

ฉืออวี้เลี่ยงไม่กล้าประเมินเด็กหญิงต่ำเกินไป และตอบคำถามอย่างเคร่งขรึม

สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา เป็นอย่างที่คิดเลย คนที่ฉือเก๋อปลื้มต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนอยู่แล้ว

อีกอย่าง ความสามารถของเธอจะมีสักกี่คนบนโลกที่มีกัน?

หลังจากอยู่ในห้องสำนักงานมาสองชั่วโมง เสี่ยวเถียนเข้าใจเกือบทุกอย่างที่ต้องการจะรู้แล้ว เธอจึงเสนอขอไปดูส่วนการผลิต

“แน่นอนว่าพวกเนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวข้องหนูจะไม่อ่านแล้วค่ะ แต่จะไปดูกระบวนการของมันแทน เพื่อที่จะได้แปลถูกในภายหลังค่ะ”

ฉืออวี้เลี่ยงตกลงทำตามคำขอ และมอบหน้าที่ให้หลี่ว์หรูหยาจัดการต่อ

ชายหนุ่มพาเสี่ยวเถียนเข้าไปในส่วนการผลิต

ตอนนั้นเองที่คนส่วนใหญ่ในโรงงานได้ยินว่า เด็กผู้หญิงที่เห็นเมื่อเช้าเป็นล่ามที่ทางโรงงานจ้างมา

ได้ยินว่าเชิญนักธุรกิจชาวเยอรมันมาร่วมมือกันเป็นพิเศษเลย เพราะฉะนั้นระหว่างการเจรจาจึงจำเป็นต้องมีล่ามด้วย

ส่วนใหญ่สงสัยกันว่าเด็กคนนี้พูดภาษาชาติตัวเองชัดแล้วหรือ? ถึงริอ่านจะพูดภาษาชาติอื่น

โดยเฉพาะจะต้องไปเป็นตัวกลางในการแปลภาษา เพราะมันมีคำศัพท์เฉพาะทางเยอะมาก ขนาดนักแปลมืออาชีพยังทำได้ไม่ดีเลย นับประสาอะไรกับเด็กประถมที่ยังเรียนไม่จบชั้นประถมล่ะ

ใจกล้าจังนะ คิดจะปั่นหัวพวกหัวหน้าในโรงงานหรือไง?

หรือว่าพวกเขาถูกพวกเบื้องบนกดดันลงมา ไม่ยอมก็ไม่ได้สินะ?

เหล่าคนงานตำแหน่งทั่วไปสนทนากับคนงานรักษาความปลอดภัย แล้วเดินผ่านไป

ส่วนคนที่ตำแหน่งสูงขึ้นมาหน่อยก็ต้องขยันให้มากกว่าเดิม เพื่อการเจรจาในครั้งนี้แล้ว จะได้รู้ว่าประสบความสำเร็จไหม หรือว่าจะไปไม่รอดกันแน่

กลัวเหลือเกินว่าความบากบั่นที่ทำมา จะถูกทำลายลงเพราะนักแปลคนนี้

เพราะงั้นจึงมีหัวหน้าระดับกลางเข้ามาหาฉืออวี้เลี่ยง

ไม่ใช่คนเดียว แต่ยกโขยงกันมาทั้งกลุ่ม

พวกเขาคิดจะแบกรับหน้าที่ของโรงงานเอง และพยายามปรับเปลี่ยนความคิดไม่เหมาะสมของผู้อำนวยการด้วย

ตอนมาถึงสำนักงาน คนเหล่านั้นเห็นผู้อำนวยการมองเอกสารด้วยสีหน้างุนงง

ข้อมูลเยอะขนาดนี้ ต่อให้คนคุ้นเคยทำ ก็ยังต้องใช้เวลาอ่านหนึ่งวันไม่ใช่หรือไง?

เรียกได้ว่าเลิกงานช้าด้วยซ้ำ

แล้วเสี่ยวเถียนต้องความจำดีขนาดไหนถึงจำได้หมดเลย?

ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นหัวหน้าระดับกลางเข้ามาในสำนักงานอย่างเอิกเกริก

หากไม่ใช่เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะมารวมตัวกันและตามหาเขาแบบนี้หรอก

ฉืออวี้เลี่ยงลุกพรวดพราดจนขากระแทกโต๊ะ เขาไม่สนใจความเจ็บปวดสักนิดแล้วรีบถามทันที “ที่โรงงานเกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“ผู้อำนวยการ วันนี้เรามีเรื่องจะถามคุณครับ!” หนึ่งในนั้นเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายขาย

การเจรจาในครั้งนี้ แผนกฝ่ายขายของเราทำงานเยอะที่สุด แทบจะทุกคนเลยที่ทำงานล่วงเวลา

เพราะงั้นพวกเขาจึงตื่นเต้นที่สุด

“หัวหน้าแผนกหลิว มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจานะ”

“ผู้อำนวยการ เราได้ยินมาว่าคุณได้เด็กคนหนึ่งมาเป็นล่าม เด็กขนาดนั้นรู้อะไรด้วยหรือ?” หัวหน้าแผนกกล่าวอย่างจริงจัง

“ผู้อำนวยการ ถ้าเด็กคนนี้เป็นคนที่เบื้องบนส่งมาให้ก็บอกมาตรง ๆ เลย พวกเราจะไปขอร้องให้ครับ เพราะเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ และจะส่งผลต่อความอยู่รอดและการพัฒนาโรงงานของเราในอนาคตนะครับ จะเอาเด็กมาวิ่งเล่นไม่ได้!”

“ใช่ครับผู้อำนวยการ เราจะเอาการเจรจากับทางเยอรมันมาเล่นตลกไม่ได้นะ!”

ขณะที่ทุกคนต่างแย่งกันพูด ผู้อำนวยการฉือได้มองเห็นถึงความร้อนใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกดี

ก็จริง หลายคนไม่เชื่อในความสามารถของเสี่ยวเถียน เพราะงั้นก็ไม่แปลกใจเท่าไรหากเขามีความคิดเช่นนี้

ฉืออวี้เลี่ยงรอจนกระทั่งทุกคนหาความชอบธรรมเสร็จ แล้วคลี่ยิ้มมั่นใจออกมา

“หัวหน้าแผนกหลิว คุณเหลียง ผมรู้ว่าทุกคุณกำลังนึกถึงโรงงานของเรา แต่ไม่ต้องกังวลไปนะ”

แต่คนที่ใจร้อนไม่ปล่อยให้เขาพูดจบเลย

“ผู้อำนวยการ เราจะไม่รีบได้ยังไงครับ? เด็กน้อยนั่นทำอะไรได้บ้าง?”

“เธอไม่ใช่เด็กธรรมดานะ เธอเป็นถึงลูกศิษย์ของคุณฉือเก๋อ เรียนภาษาเยอรมันมาหลายปีแล้ว ระดับความสามารถสูงมาก!”

อุตส่าห์พูดตั้งขนาดนี้แล้ว แต่บางคนยังไม่เชื่อเลย

“ฉือเก๋ออะไรนั่น พวกเราไม่รู้จักหรอก หรือเธอเรียนตั้งแต่อยู่ในท้องแม่กันถึงเรียนได้หลายปีขนาดนั้นน่ะ?”

“แต่เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ เอกสารการเจรจาในครั้งนี้ที่พวกเราเตรียมไว้ให้ สำหรับเราก็คงใช้เวลาหนึ่งถึงสองวัน แต่เธอใช้แค่หนึ่งถึงสองชั่วโมงเอง!”

ทุกคนมองไปตามทิศทางที่นิ้วชี้ไป ก่อนจะเจอเอกสารกองใหญ่

จริงหรือหลอกเนี่ย?

เอกสารเยอะขนาดนี้ แต่อ่านจบในหนึ่งชั่วโมง?

กำลังหลอกใครอยู่น่ะ?

อย่าให้พูดเรื่องอ่านเลย แค่พลิกกระดาษก็ไม่ทันแล้ว

หรือเด็กคนนี้จะทำเป็นขี่ม้าชมดอกไม้?

*[1] เข้าใจแค่ผิวเผิน ดูคร่าว ๆ