บทที่ 462 ถ้าไม่อยากเป็นอะไร ก็อย่าทำแบบนั้น

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 462 ถ้าไม่อยากเป็นอะไร ก็อย่าทำแบบนั้น

บทที่ 462 ถ้าไม่อยากเป็นอะไร ก็อย่าทำแบบนั้น

ครั้นเห็นท่าทางโง่เขลาของฮั่วซือเหนียน ฉือเก๋อทนมองไม่ไหวเลย ตอนเด็กก็ฉลาดอยู่นะ ทำไมโตมาถึงได้โง่แบบนี้?

“อาจารย์ฮั่ว คุณกินข้าวก่อนเถอะ ถ้าพลาดไปมันจะหมดเอานะ!” เสี่ยวเถียนเอ่ยไม่เกรงใจ

จู่ ๆ บรรยากาศก็เกิดความอึดอัดขึ้นมา

เสี่ยวเหมยรีบตอบ “อาจารย์ฮั่วกินข้าวเถอะค่ะ มันยังไม่ค่ำมาก ฉันกลับเองได้”

ฉือเก๋อที่ทนมองไม่ไหวจริง ๆ ในที่สุดจึงพูดขึ้น “เสี่ยวเหมย ไอ้เด็กนี้ก็ต้องกลับไปมหาวิทยาลัยด้วยน่ะ รออีกสักพักค่อยกลับด้วยกันเถอะ ผู้หญิงตัวคนเดียว พวกเราไม่ค่อยวางใจน่ะ”

เสี่ยวเหมย “….”

แล้วไปกับชายแปลกหน้าสองต่อสองมันไม่เป็นไรหรือ?

สุดท้ายก็รออีกฝ่ายกินจนเสร็จ จึงออกไปพร้อมกัน

“พริบตาเดียวเสี่ยวเหมยก็โตแล้วนะ!” คุณย่าซูซึ้งใจนัก เธอคิดอะไรได้เยอะเลย

ส่วนเจ้าเด็กหน้าเหม็นซูโส่วเวินยังเด็กจริง ๆ ไม่รู้จักพาสาวพาใครกลับมาบ้างล่ะ?

ไม่คิดว่าย่าจะแก่เกินอุ้มหลานหรือ?

ส่วนโส่วเวินที่ไม่ได้รู้เรื่องราวก็ได้เริ่มหนทางสู่การโดนกดดันให้แต่งงานด้วยความคิดของผู้เป็นย่า

วันต่อมา

ฉือเก๋อนั่งดื่มชาอยู่ในท่าเดิมโดยมีหลี่ว์หรูหยามาหาที่ร้าน ยามเห็นอีกฝ่ายมาตัวคนเดียว ชายชราก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ชายหนุ่มอึดอัดใจนัก ผู้อำนวยการบอกแล้วว่าจะให้หม่าว่านกั๋วมาขอโทษให้ได้ แต่อีกฝ่ายอยู่โรงพยาบาล ให้ตายก็ไม่ยอมออกมา เขาจะทำยังไงดี?

หัวหน้าของเขาออกไปร้องเรียนกับเบื้องบนแต่เช้าตรู่ แต่คนพวกนั้นก็เอาแต่พูดจาสวยหรู แต่ไม่ได้จัดการอะไรให้เลย

ผู้อำนวยการได้แต่กลับมาด้วยความโกรธ

ตอนเสี่ยวเถียนกลับจากโรงเรียน เธอเห็นหลี่ว์หรูหยาในสภาพอับอายราวกับคนถูกทำโทษ

เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วทักทายเขาอย่างอบอุ่น

“รองผู้อำนวยการหลี่ว์มาอีกแล้วหรือคะ? เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะให้รองผู้อำนวยการหม่ามาขอโทษวันนี้นี่นา?”

ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของอีกฝ่ายดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“มันเกิดเรื่องไม่คาดฝันนิดหน่อยน่ะสหายเสี่ยวซู รองผู้อำนวยการหม่าป่วยพอดีเลยพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ”

ตอนแรกก็สบายดีนะ ไม่เห็นจะป่วยอะไร

แต่อีกฝ่ายเอาแต่พูดว่าเจ็บนู่นเจ็บนี่ไปหมด เราจะไปทำอะไรได้เล่า

จะให้คนป่วยมาขอโทษก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?

แถมยังมีข่าวแพร่สะพัดอีก มันไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการที่เสียหน้าเท่านั้น แต่คุณฉือยังโดนให้ความสนใจอีกด้วย

เสี่ยวเถียนได้ฟังก็เข้าใจความหมาย

ส่วนฉือเก๋อร้องเหอะ มีแต่พวกจิ้งจอกเฒ่าทั้งนั้น คิดจะเล่นอะไรน่ะ? ถ้าจะป่วยก็ให้มันป่วยได้ตลอดนะ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการยกให้คนสุขภาพที่ดีกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือไง?

“ที่แท้ก็แบบนี้เอง!”

เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งข้างชายชราพร้อมรอยยิ้ม

ฉือเก๋อแค่มองก็เข้าทันทีว่าเด็กคนนี้มีความคิดแปลก ๆ อีกแล้ว

“คุณปู่ฉือ หนูรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยค่ะ ไม่งั้นหนูไปพบรองผู้อำนวยการแซ่ม้า แซ่วัวอะไรนั่นที่โรงพยาบาลเลยดีไหมคะ?” (แซ่หม่าในชื่อของหม่าว่านกั๋ว ใช้ตัว 马(หม่า) ที่แปลว่าม้า)

ชายชราแทบพ่นน้ำชาออกมา ยัยเด็กคนนี้กำลังด่าคนอื่นอยู่ไม่ใช่หรือไง?

แต่ทำไมถึงด่าได้ขนาดนี้เลยล่ะ?

เขาคิดว่าเสี่ยวเถียนจะเป็นเด็กซื่อสัตย์ ตั้งใจทำหน้าที่เสียอีก

ดูเหมือนจะเข้าใจผิดเสียแล้ว

หลี่ว์หรูหยาอยากจะร้องไห้นัก เด็กคนนี้หมายความว่าอะไรเนี่ย? หรือคิดจะไปหารองผู้อำนวยการหม่าที่โรงพยาบาลเพื่อให้เขาขอโทษเลยหรือ?

แล้วเรื่องที่ไม่สบายล่ะ?

ไม่ใช่สิ เรื่องขอโทษต่างหาก!

ผู้อำนวยการหม่าไม่ตั้งใจจะขอโทษด้วยซ้ำ

บนโลกใบนี้ไม่มีเหตุผลจะต้องข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าหรอกนะ!

หลี่ว์หรูหยาทำได้เพียงร้องขอความเมตตาอยู่อย่างนั้น และหลังจากทำข้อตกลงกับเสี่ยวเถียนเสร็จแล้วก็กลับไปโรงงานด้วยความกระวนกระวาย

ฉือเก๋อเฝ้ามองอีกฝ่ายจากไป ตอนนั้นเองที่จำได้ว่าระดับภาษาเยอรมันของเด็กสาวยังไม่ผ่านเกณฑ์เลย

ถึงจะมั่นใจในตัวเธอ แต่การเจรจาในครั้งนี้สำคัญมาก เราจะต้องเตรียมพร้อมเท่านั้นจึงจะไม่เกิดความผิดพลาดอะไร

อย่างสร้างปัญหาจนถึงขั้นให้เขาต้องออกโรงเลย ไม่งั้นคงขายหน้าแย่

ฉือเก๋อไม่รอช้า แล้วเอ่ยภาษาเยอรมันออกมาเป็นชุด และสิ่งที่เอ่ยเป็นส่วนที่ออกเสียงยากมาก ๆ

เสี่ยวเถียนได้ยินก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มแปลตามความเร็วของเขา

ฉือเก๋อประหลาดใจที่เด็กสาวมีความสามารถขนาดนี้

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ชายชราก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เด็กคนนี้ดีกว่าที่เขาคาดไว้มาก

เผลอแป๊บเดียวก็โตขนาดนี้แล้ว

เขาไม่ใช่พวกไม่ยอมรับความจริง รู้ชัดเลยว่าระดับภาษาเยอรมันของเธอดีกว่าเขามาก

โรงงานผ้าไหมเจอขุมทรัพย์แล้วล่ะ!

และเขาก็ยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกว่า เสี่ยวเถียนจะสร้างชื่อเสียงให้กับแวดวงนักแปลในคราวนี้อย่างแน่นอน

เด็กสาวคนหนึ่งที่มีระดับการแปลอันยอดเยี่ยม ยากมากหากจะไม่เป็นที่สนใจ

ส่วนเริ่มเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร ฉือเก๋อไม่เคยคิด

การที่เธอสามารถเรียนภาษาฝรั่งเศษด้วยตัวเองได้ หากจะได้ภาษาเยอรมันด้วย มีอะไรให้แปลกอีกล่ะ?

ในความคิดของเขา เสี่ยวเถียนไม่ใช่เด็กเพียงคนเดียวที่รักเรียนมาก

แต่ฉืออี้หย่วนยังเทียบความกระตือรือร้นของน้องสาวคนนี้ไม่ได้เลย

อันที่จริงเด็กสาวก็คิดนะว่า ฉือเก๋อจะรู้หรือเปล่าว่าเธอเรียนภาษานี้ตอนไหน

กระทั่งเขาจากไป ก็ไม่ได้ถามอะไรเลยสักนิด

ส่วนคนอื่น ๆ เหมือนจะคิดอยู่แล้วว่าเสี่ยวเถียนเป็นพวกรู้อะไรเยอะอยู่แล้ว

เมื่อรับงานมาแล้วก็ยิ่งต้องตั้งใจอย่างเต็มที่

เธอไปโรงเรียนเพื่อขอลาหยุด

ฮวางเหวินป่ายตกใจที่รู้ว่าเด็กคนนี้มาขอลา

นี่เป็นครั้งแรกที่ขอลาตั้งแต่มาเรียน และไม่ได้บอกเหตุผลอะไรด้วย บอกแค่ว่ามีธุระต้องไปทำ

“เสี่ยวเถียน ถึงเธอจะเรียนดีกว่าคนอื่น ๆ แต่จะรั้งท้ายคนอื่นเขาไม่ได้นะ! เธอรู้ไหมว่า การเรียนก็เหมือนกับการเดินทวนกระแสน้ำ หากไม่ก้าวหน้าเลย เธอจะถดถอยเอานะ!” ชายหนุ่มเกลี้ยกล้อมอย่างจริงจัง

เสี่ยวเถียนรีบเอ่ยปลอบครูประจำชั้นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกว่าตนเองเป็นพ่อ

“ครูฮวางไม่ต้องห่วงนะคะ สองวันนี้หนูมีธุระต้องไปทำค่ะ ส่วนเวลาว่างจะไม่ปล่อยโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน แล้วก็เรื่องบทเรียนที่ติดค้างจะไล่ทบทวนนะคะ”

“แล้วธุระของเธอสำคัญจริง ๆ หรือ?” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้

สำหรับเขา ซูเสี่ยวเถียนเป็นนักเรียนที่เขาคาดหวังมากที่สุดว่าจะสอบได้คะแนนดี

อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากเธอจะแบกรับความคาดหวังทั้งหมดของเขาเอาไว้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงเฝ้ามองเธอเดินออกจากโรงเรียนไปอย่างช่วยไม่ได้

ที่เสี่ยวเถียนขอลาหยุดเรียน นั่นก็เพื่อมาสำรวจสถานการณ์ของโรงงานผ้าไหมก่อน

ตอนเดินออกจากประตูก็พบกับหลี่ว์หรูหยาที่รออยู่

นี่คือคำขอของคนบ้านซู หากไม่มีคนไปด้วย พวกเขาจะไม่อนุญาตให้เสี่ยวเถียนออกไปไหนเด็ดขาด

หลี่ว์หรูหยาคิดจะส่งคนมาแทน แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้เธอเป็นสมบัติล้ำค่าของโรงงานเรา จะต้องไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น

“ขึ้นรถกันเสี่ยวเถียน จะได้ออกเดินทาง!” หลี่ว์หรูหยาตบเบาะหลังจักรยาน

เด็กสาวมองเบาะแข็ง ๆ ของจักรยานโบราณ และอดสงสัยอยู่ลึก ๆ ในใจว่าถ้านั่งแล้วจะสบายหรือเปล่า

แล้วข้อเท็จจริงก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเธอคาดเดาได้ถูกต้อง

ยามกระโดดลงมา เสี่ยวเถียนรู้สึกเหมือนก้นมันไม่ใช่ของเธออีกต่อไป

แต่เธอไม่ใช่เด็ก ๆ อีกแล้ว ในฐานะเด็กสาว เสี่ยวเถียนจะเอื้อมมือไปตบก้นคลายความเมื่อยล้าไม่ได้

เศร้าใจเหลือเกิน!

“เสี่ยวเถียน ฉันปั่นจักรยานเก่งใช่ไหม ฉันจะบอกให้เลยนะว่าฉันปั่นเก่งที่สุดในโรงงานเลย…”

หลี่ว์หรูหยายกยอตัวเองไม่รู้จบ โดยไม่สนใจใบหน้าเหี่ยวย่นของเด็กสาวเลย

เสี่ยวเถียนตัดสินใจแล้วว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะเอาเบาะมาเอง ไม่งั้นถ้านั่งแบบนี้ต่อไปก้นได้หายไปจากตัวเธอแน่

และเพื่อรักษาหน้าของฉือเก๋อ ผู้อำนวยการโรงงานยืนอยู่ที่บริเวณลานจอดรถเพื่อรอเสี่ยวเถียน

พอเห็นใบหน้ายับยู่ของเด็กสาว เขาก็มีความสุขมาก

ใครใช้ให้สองครูและศิษย์รวมหัวกันขุดหลุมบ่อใหญ่ล่ะ?

ไม่ว่าในใจจะกระโดดโลดเต้นแค่ไหน แต่ก็แสดงสีหน้าออกมาตอนนี้ไม่ได้

ส่วนเหล่าหม่าที่เป็นตัวการยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลโน่น

แม้เจ้าตัวจะยินดีไปเอง แต่ไม่คิดจะออกมาเลยหรือไง?

“มาแล้วหรือเสี่ยวเถียน เดินทางราบรื่นดีไหม?” ฉืออวี้เลี่ยงถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

เสี่ยวเถียนอยากจะพูดว่าไม่ดีสักนิด แต่ก็โดนหลี่ว์หรูหยาขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ราบรื่นมากเลยครับผู้อำนวยการ คุณคงไม่รู้ว่าผมดูแลเสี่ยวเถียนดีแค่ไหนหรอก!”

คำพูดไม่อายปากทำให้เสี่ยวเถียนไม่ชอบใจนัก

รีบปั่นขนาดนี้เรียกว่าดูแลดีหรือ?

ถ้านั่นนับว่าดีแล้ว แล้วถ้าดูแลไม่ดีมันจะขนาดไหนกัน?

คนงานในโรงงานประหลาดใจมากที่เห็นผู้อำนวยการทั้งสองเดินไปพร้อมกับเด็กหญิงคนหนึ่ง

ท่าทางของพวกเขาเหมือนเห็นสิ่งแปลกใหม่อย่างไรอย่างนั้น

เด็กหญิงคนนั้นลงจากจักรยานรองผู้อำนวยการหลี่ว์ แต่ว่าอีกฝ่ายไม่มีลูกสาวไม่ใช่หรือ?

พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวมีลูกชายอยู่สามคน

แล้วสาวน้อยแสนสวยคนนี้เป็นใครล่ะ?

ไม่น่าเป็นญาติของผู้อำนวยการหรือเปล่า? ไม่งั้นทำไมเขาดูกังวลเวลามองเธอนัก?

แถมยังมีท่าทางเป็นมิตร แตกต่างจากผู้อำนวยการที่เรามักจะเคยเห็นอีก!

เดี๋ยวนะ เหมือนจะไม่ใช่นะ ทำไมผู้อำนวยการถึงดูเหมือนข้ารับใช้เวลามองเด็กคนนั้นเลยล่ะ?

หรือจะเป็นเด็กจากตระกูลผู้นำแล้วมาเล่นที่โรงงานหรือ?

แม้ว่าพวกเขาจะสงสัย แต่ตอนนี้ตนมีงานอยู่ในมือ จึงทำเพียงแค่เดาแล้วจากไป

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่า การปรากฏตัวของเธอทำให้เกิดความโกลาหลในโรงงาน

เธอเดินตามคนทั้งสองไปยังสำนักงาน

ในห้องทำงานมีเอกสารเตรียมไว้ไม่น้อยเลย

เสี่ยวเถียนไม่เกรงใจอีกต่อไป เธอเดินเข้ามานั่งโต๊ะข้างหน้าแล้วหยิบเอกสารที่ทางโรงงานเตรียมไว้ให้ ก่อนเริ่มอ่านอย่างตั้งใจ

เดิมทีผู้อำนวยการฉือคิดว่า หลังจากมาถึง เสี่ยวเถียนจะพูดอะไรสักหน่อยแล้วเข้าประเด็นเลย

แต่นี่เหมือนจะไม่อย่างที่คิดไว้เลยนะ

ฉืออวี้เลี่ยงมองไปหลี่ว์หรูหยาด้วยความงุนงง รู้เลยว่ากำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น

แล้วเขาจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?