บทที่ 461 สายลมสีทองแลน้ำค้างหยกได้พบพาน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 461 สายลมสีทองแลน้ำค้างหยกได้พบพาน

บทที่ 461 สายลมสีทองแลน้ำค้างหยกได้พบพาน

ฮั่วซือเหนียนไม่ได้คาดหวังกับเสี่ยวเถียนตอนเธอออกไปซื้อของ แต่อาหารของหออีหมิงรสชาติดีจริง ๆ นะ ไม่มีอะไรต้องสงสัยสักนิด ถึงจะกินเยอะอยู่คนเดียว แต่มันไม่ได้ขัดขวางจากมื้ออื่นหรอก!

ฉือเก๋อมองชายหนุ่มอย่างสงสัย ทำไมเด็กคนนี้ยังไม่ไปสักที?

จากนั้นก็เข้าใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายดื่มชาและนั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับไปไหน ชื่นชอบการกินมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังตะกละไม่เปลี่ยน!

ซูเสี่ยวเถียนกลับมาพร้อมกับตะกร้าที่มีปลาและกุ้งอยู่ในนั้น

ฮั่วซือเหนียนที่จมูกไวหัวหมุนทันที เขามองท้องฟ้าด้วยความหวาดระแวง สงสัยว่าตนมองเวลาผิดไปหรือเปล่า

แต่ดวงอาทิตย์เอนไปทางทิศตะวันตกแล้วนะ และสิ่งที่ส่องลงมาก็คือแสงสีทองด้วย

“สาวน้อย เธอซื้อมาจากไหนเนี่ย?” ชายหนุ่มร้องด้วยความตื่นเต้น และเข้าไปถามด้วยความสนใจ

ถ้าตอนเย็นมีของดี ๆ แบบนี้ เขาต้องพิจารณาสักหน่อยแล้วว่าจะออกไปซื้อข้าวดีหรือเปล่าน่ะ?

“หนูเห็นคนขายตอนไปเดินเล่นค่ะ มีคุณยายกำลังถือตะกร้ารอขายอยู่ หนูก็เลยซื้อมาหมดเลย”

เสี่ยวเถียนพูดรวดเดียว เธอสงสัยนักว่าทำไมแกะอ้วนตัวนี้ยังไม่ไปสักที? เขารอทำอะไรที่บ้านของเธออยู่เนี่ย

รอกินข้าว?

ฮั่วซือเหนียน “…”

โชคดีมาก!

เดิมทีก็ท้อใจอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เขานี่โชคดีจริง ๆ

อาหารเย็นมื้อนี้เขาได้กินด้วยแน่

เสี่ยวเถียนวิ่งเข้าครัว พอคุณย่าซูได้ยินหลานบอกว่าจะทำอาหารเองก็รีบเกลี้ยกล่อม

“หลานยังเด็กอยู่เลย ปล่อยให้ย่ากับแม่หนูทำเถอะ ถ้าโดนน้ำร้อนลวกมือขึ้นมา ย่ากับแม่เสียใจแน่”

เสี่ยวเถียนขบคิด เธอมีสูตรอาหารอีกหลายอย่างเลย แต่ในด้านฝีมือ เธอเทียบย่าไม่ได้สักนิด

เพราะงั้น คุณย่าซูทำอาหารสองอย่างออกมาด้วยความชำนาญจากคำแนะนำของหลานสาว

เหลียงซิ่วตั้งใจเรียนรู้อยู่ข้าง ๆ

เธอยังไม่มีพรสวรรค์เท่าไร แต่อาหารที่เธอเคยทำก็มีรสชาติไม่ต่างจากแม่สามีนัก

ถ้าใช้คำพูดลูกสาวมาบอกก็คงจะพูดว่า แม่เป็นนักเรียนที่ลอกการบ้านได้เก่งมาก ลอกได้เกือบสมบูรณ์แบบเลย

ตอนที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟ ฮั่วซือเหนียนผู้เป็นนักชิมน้ำลายสอตอนมองของอร่อย ๆ บนโต๊ะ

ฉือเก๋อมองชายหนุ่มด้วยความรังเกียจ เด็กนี่ทำตัวน่าขายหน้าจริง ๆ จะอยู่กินด้วยก็ได้นะ แต่ช่วยใส่ใจกับภาพลักษณ์ตัวเองหน่อยได้ไหม?

“แกเหมือนคนไม่ได้กินอะไรมาหลายชาติเลยนะ น่าขายหน้าจริง ๆ!” ฉือเก๋อพูดอย่างไม่เกรงใจ

“ลุงฉือ ลุงก็รู้ว่าผมตะกละมาตั้งแต่เด็กแล้วนะครับ!”

เสี่ยวเถียน “…”

คนบ้านซู “…”

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคนตะกละแบบนี้! หรือความตะกละจะเป็นจุดเด่น

คุณปู่ซูเอ่ยปากเพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศแปลก ๆ “ทุกคน มากินข้าวกันเถอะ!”

ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มรีบลับมีดรอเชือดหมูเชือดแพะ*[1] โอ๊ะ ไม่สิ เนื้อปลากับกุ้งต่างหาก…

ตอนนั้นเองที่มีคนมาเคาะประตู

ฮั่วซือเหนียนมองไปยังประตูบานนั้นด้วยความแปลกใจ อยู่ตั้งนานก็ไม่ดัง เย็นขนาดนี้แล้วยังมีลูกค้าอีกหรือ?

ทว่าผู้มาเยือนไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นซูเสี่ยวเหมยนั่นเอง

หญิงสาวผมเปียสีดำยาวมาจนถึงหน้าอก เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงสีน้ำเงิน สวมทับด้วยเสื้อกันลมสีขาว

สไตล์ของเสื้อกันลมได้เสี่ยวเถียนออกแบบให้ ไม่คิดเลยว่าพอเสี่ยวเหมยได้ใส่จะงดงามเช่นนี้

เธอถือหม้อใบเล็กในมือ ขัดกับความงดงามของสาวชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง

“พี่เสี่ยวเหมยมาแล้วหรือครับ?” เสี่ยวจิ่วร้องทัก

ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับทั่วใบหน้า

“คุณปู่ คุณตา คุณยาย แม่ให้ฉันเอาซอสเผ็ดสูตรใหม่มาให้ค่ะ เห็นบอกว่าคุณปู่ชอบมาก”

“เสี่ยวเหมยกินข้าวมาหรือยัง? มากินด้วยกันสิ!” เหลียงซิ่วลุกขึ้นยืนรับแขก

แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ “กินเลยค่ะคุณน้า ไม่ต้องต้อนรับฉันหรอก รีบกินเถอะจ้ะ!”

ฮั่วซือเหนียนมองเธอคนนั้นด้วยความสงสัย

เสี่ยวเหมยที่กำลังยืนสนทนาอยู่ก็สัมผัสได้ว่ามีคนมอง จึงหันไปมองต้นทางแล้วก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้า

ไม่คิดเลยว่าจะมีคนแปลกหน้าที่บ้านซูด้วย

ยามที่ทั้งสองสบตากัน เป็นเสี่ยวเหมยที่ลดสายตาลง

“เสี่ยวเหมย ทำไมไม่เอามาให้ตาแก่อย่างฉันสักหน่อยล่ะ?”

ฉือเก๋อไม่พอใจ

ไม่ทันได้พูด เสี่ยวเถียนก็เอ่ยขึ้นมา

“คุณปู่ฉือกินซอสเผ็ดไม่ได้นะคะ!”

ดีเสียจริง!

ฉือเก๋อโดนเด็กสาวคนนี้ควบคุมเสียแล้ว

จากนั้นเสี่ยวเหมยก็หลงลืมความเขินอายก่อนหน้า แล้วยิ้มตอบทันที “คุณปู่ฉือต้องฟังเสี่ยวเถียนนะคะ ท้องของปู่ไม่เหมาะกับอาหารเผ็ด เดี๋ยวฉันบอกแม่ให้ลวกเนื้อไว้ใส่กินกับบะหมี่ก็ได้ค่ะ”

ฉือเก๋อขบคิด แบบนั้นก็ได้นะ เอามาใส่บะหมี่ดีกว่าซอสเผ็ดเสียอีก!

“ลุงฉือ รู้จักกันหรือครับ?” ฮั่วซื่อเหนียนถามด้วยความสงสัย

จากนั้นก็พบว่าได้ถามคำถามโง่ ๆ ออกไป

ครอบครัวนี้กับลุงฉือสนิทกันมาก และสาวงามตรงหน้าก็ต้องสนิทกันอยู่แล้วสิ

“เสี่ยวเหมยเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรน่ะ เท่าที่จำได้ อยู่ไม่ห่างไปจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ของแกเลยนะ!”

ชายหนุ่มยิ้ม “ไม่ไกลเลยครับ เดินไม่ถึงสิบนาทีเอง!”

เสี่ยวเหมยเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนั้นหรือ?

แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นก็ประสานสายตากันอีกครั้ง เสี่ยวเหมยหน้าแดง แล้วรีบก้มหน้าก้มตา

ฮั่วซือเหนียนขบคิด

นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมหรือเนี่ย ไม่คิดเลยว่าครอบครัวนี้จะมีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้น

เสี่ยวเถียนก็สะดุดตาพออยู่แล้ว ยังมีเด็กจากมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมอีก

แต่คิดไม่ออกเลยว่าทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงต้องไปเรียนที่นั่นด้วย?

มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ไม่ดีหรือ?

ดีกว่า แต่ต้องอยู่กับดินเหลือง*[2] ทั้งวันอีกนะ?

ขณะที่ฮั่วซือเหนียนกำลังเก็บงำความไม่พอใจอยู่นั้น ก็ได้ยินลุงฉือเอ่ยตอบ “เธอเป็นลูกสาวของอาจารย์เสิ่นจากมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมน่ะ”

อาจารย์เสิ่น?

ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกถึงเสิ่นจื่อเจินผู้เป็นอาจารย์ด้านการเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดและมีอายุน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยเกษตรกรรม

ผู้หญิงคนนี้มาจากตระกูลเสิ่นหรือ?

ถึงเราจะเป็นอาจารย์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ เขาเคยได้ยินชื่อเสิ่นจื่อเจิน แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย แล้วจะไปทราบเรื่องราวของเขาได้ยังไง

“สวัสดีครับคุณเสิ่น มาทานข้าวด้วยกันไหม?”

ฮั่วซือเหนียนยืนขึ้นทักทาย เป็นแขกที่เอ่ยทักทายเสี่ยวเหมยแทน

พออีกฝ่ายได้ยินชายหนุ่มเรียกคุณเสิ่น เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี

เสี่ยวเถียนยิ้ม “พี่สาวใช้แซ่ฝั่งแม่ค่ะ! แซ่ซู!”

ถึงคราวที่ฮั่วซือเหนียนต้องอายแทน

“คุณซู ผมหยาบคายเสียแล้ว!” เขารีบขอโทษขอโพย

ไม่รู้มาก่อนจริง ๆ ว่าลูกของอาจารย์เสิ่นจะใช้แซ่ฝั่งแม่!

เสี่ยวเถียนมองเห็นความกระตือรือร้นของเขา ก่อนจะรู้สึกว่าเจ้าตัวต้องคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดอยู่แน่ ๆ

เธอใช้สายตาพินิจพิเคราะห์ไปยังอีกฝ่าย

ส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใช้ได้!

หน้าตาหล่อเหลา ใช้ได้เหมือนกัน!

แต่น่าจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดหรือเปล่านะ?

แก่ไปหน่อย

พี่เสี่ยวเหมยปีนี้อายุเท่าไรนะ?

ยี่สิบหรือยี่สิบเอ็ด?

ไม่เหมาะกันสักนิด

หรือตาลุงนี่คิดจะกินหญ้าอ่อน?

ขนาดเสี่ยวเถียนยังบอกได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นล่ะ

เห็นท่าทีชายหนุ่ม ทุกคนมองคนทั้งสองเถียงกันสลับไปมา

ฉือเก๋อกระแอมไอเบา ๆ และแนะนำชายหนุ่มให้หลานรู้จัก “เสี่ยวเหมย ไอ้เด็กนี่ชื่อฮั่วซือเหนียน เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์น่ะ”

“สวัสดีค่ะคุณฮั่ว!” ถึงจะเขินอาย แต่ก็ยังทักทายด้วยความใจดี

แต่แววตาของฮั่วซือเหนียนมันผิดแผกไปหน่อย ร้อนแรงเสียจนทำให้เธออึดอัด

เสี่ยวเหมยทนไม่ไหวอีกต่อไป

“คุณปู่ คุณตา คุณยาย พวกท่านทานข้าวกันเลยนะคะ เดี๋ยวฉันกลับก่อน” หลังจากเอ่ยจบก็หมายจะวิ่งหนีไป

เหลียงซิ่วรีบพูด “มันดึกแล้วนะ มืดด้วย เดี๋ยวน้าพาไปส่ง”

สาวงามออกไปกลางค่ำกลางคืน น่าเป็นห่วงเสียงจริง

“ใช่ครับคุณซู นี่ก็ดึกแล้วด้วย ผมอิ่มพอดีเลย เดี๋ยวถือโอกาสพาไปส่งครับ”

อะไรนะ?

ชายชรามองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

ไอ้เด็กที่น้ำลายจะไหลเมื่อกี้อิ่มแล้ว?

เสี่ยวเหมยมองอาหารที่ยังไม่ได้แตะต้องบนโต๊ะ นี่คือกินอิ่มแล้วหรือ?

ข้าวยังเต็มถ้วยคุณฮั่วอยู่เลย มองยังไงก็ไม่น่าอิ่มหรือเปล่า?

*[1] ลับมีดรอเชือดหมูเชือดแพะ คือ เนื้อหาส่วนหนึ่งในร้อยกรองมู่หลาน เป็นส่วนที่กล่าวถึงว่า พอมู่หลานกลับมาถึงบ้านก็ผลัดเปลี่ยนชุดทหารเป็นชุดผู้หญิง ส่วนน้องชายลับมีดรอเชือดหมูเชือดแพะเพื่อเอาเนื้อมาให้พี่กิน

*[2] ดินเหลือง – ดินเลิส์ส (Loess) หรือดินลมหอบ เป็นดินที่เกิดจากทรายซึ่งถูก “ลม” เป็นตัวกระทำทางธรรมชาติ มันพัดหอบจากทะเลทรายโกบีในเขตประเทศมองโกเลียทางตอนเหนือรวมถึงทะเลทรายในแทบภูมิภาคเอเชียกลางด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ทรายที่ถูกลมหอบมาได้กลายสภาพเป็นดินสีเหลือง และถูกชะล้างลงไปในแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งไหลผ่านบริเวณนั้น แม่น้ำสายนี้จึงมีชื่อว่า แม่น้ำเหลือง