บทที่ 463 เตี่ยนเหวย ชิ้นส่วนร่างว่อนนภา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 463 เตี่ยนเหวย ชิ้นส่วนร่างว่อนนภา

เมื่อหานเจวี๋ยย้ายอาณาเขตเต๋าออกมา กางอาณาเขตคลุมเขตเซียนร้อยคีรีไว้ พลังวิญญาณของเขตเซียนร้อยคีรีก็เริ่มยกระดับขึ้น แทบทุกคนล้วนสัมผัสรับรู้ได้

พลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมานี้พวกเขาคุ้นเคยยิ่งนัก ตอนอยู่ในเกาะสำนักซ่อนเร้นก็เคยสัมผัสมาก่อน

พวกเขาสันนิษฐานว่าหานเจวี๋ยกำลังสำแดงพลังวิเศษอยู่ ดังนั้นจึงไม่ตระหนกตกใจแต่อย่างใด

หลังจากที่แน่ใจว่าอาณาเขตเต๋าถูกย้ายออกมานอกเกาะสำนักซ่อนเร้นแล้ว จู่ๆ หานเจวี๋ยก็มีความคิดอาจหาญขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ในเมื่อตอนนี้สามารถเคลื่อนย้ายอาณาเขตเต๋าได้ เช่นนั้นวันหน้าหากเขาไปที่ใด ก็สามารถย้ายอาณาเขตเต๋าไปที่นั่นได้ใช่ด้วยหรือไม่

ไม่ได้

หนึ่งแสนล้านปีมากเกินไป

หานเจวี๋ยยังคงใช้ระบบวิวัฒนาการอยู่เป็นประจำ วันหน้าอาจต้องสาปแช่งศัตรูอีก เมื่อนำหลายๆ ด้านมารวมกัน ช่างผลาญอายุขัยมากมายเหลือเกิน ไม่อาจทำบ่อยจนกลายเป็นความเคยชินได้

‘อาณาเขตเต๋าสามารถเคลื่อนย้ายได้ตลอดหรือไม่’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[ทุกครั้งที่เคลื่อนย้ายอาณาเขตเต๋า อายุขัยที่ต้องแลกเปลี่ยนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และห้ามเคลื่อนย้ายอีกเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี]

ยังจะเพิ่มเป็นเท่าตัวอีกหรือ

หานเจวี๋ยตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะไม่เคลื่อนย้ายอาณาเขตเต๋าส่งเดช

จากนั้น หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ

พลังวิญญาณและปราณฟ้าประทานของเขตเซียนร้อยคีรีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปสิบปีจึงบรรลุถึงขีดสูงสุด

แม้จะสู้เกาะสำนักซ่อนเร้นไม่ได้ แต่ก็ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้มากนัก

หานเจวี๋ยย้ายต้นฝูซังออกมาด้วย ปลูกไว้ท่ามกลางขุนเขา ตั้งตระหง่านงามสง่า สูงเสียดเมฆา

จ้าวอวิ๋นและเตี่ยนเหวยองครักษ์คนใหม่คอยเฝ้าอยู่หน้าวังวนมิติ ส่วนหลี่ว์ปู้และหม่าเชาคอยเฝ้าอยู่ที่พรมแดนเขตตะวันตกและตะวันออกของเขตเซียนร้อยคีรี

หลังจากต้นฝูซังปรากฏขึ้น ไก่คุกรัตติกาลและเจ้าใหญ่เจ้ารองก็ย้ายขึ้นไปอยู่บนต้นฝูซังทันที พวกมันเคยชินกับการอยู่บนต้นฝูซัง

ตอนนี้นับว่าปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว

หานเจวี๋ยนำเกาะสำนักซ่อนเร้นไปเก็บไว้ในจักรวาลโลกดาราที่อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ จากนั้นก็บำเพ็ญต่อ

ต้องพยายามเข้าสู่ระดับครึ่งอริยะให้ได้ในเร็ววัน!

หลังจากมรรคาสวรรค์เริ่มต้นอีกครั้งแดนเซียนก็อ้างว้างอย่างยิ่ง หลังผ่านภัยพิบัติล้างสังหารแอ่งโลหิตยังมิเหือดหายไปอย่างสมบูรณ์ ถึงอย่างไรตบะของสิ่งมีชีวิตที่เข้าร่วมมหาเคราะห์ต่างก็ไม่อ่อนด้อย สำหรับวิญญาณทั่วไปแล้วโลหิตของพวกเขาเป็นทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งชั่วร้าย ไม่สามารถขจัดออกจากโลกได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

เพียงพริบตาเดียว เวลาผ่านไปสามสิบปีแล้ว

เกิดเสียงครืนดังสนั่น ฟ้าดินสั่นสะเทือน!

หานเจวี๋ยที่กำลังบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้นมา สายตาของเขามองทะลุอารามเต๋าและทิวเขาได้ มองเห็นนิ้วมือขนาดใหญ่ยักษ์นิ้วหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า พุ่งแหวกไปยังขอบฟ้า

นั่นคือนิ้วมือคน ยาวหลายหมื่นจั้ง ยังมองเห็นกระดูกขาวโพลนตรงช่วงโคนอีกด้วย

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

นิ้วมือของครึ่งอริยะ!

กลิ่นอายนี้แข็งแกร่งว่าเซียนทองต้าหลัวนัก

ในไม่ช้า นิ้วมือนิ้วนั้นก็หายลับไปที่ปลายขอบฟ้า จากนั้นพายุโหมกระโชกที่น่าหวาดหวั่นลูกหนึ่งก็พลันกวาดม้วนเข้ามา ภูเขาที่อยู่ระหว่างสองข้างทางถูกสั่นสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ พัดกวาดไปนับร้อยล้านลี้ สะเทือนมาถึงเขตเซียนร้อยคีรี

ค่ายอาคมอาณาเขตเปิดระบบป้องกันโดยอัตโนมัติ พายุกระโชกถูกสกัดกั้นไว้ ก่อรูปเป็นกำแพงสายลมที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตระการตาอย่างยิ่ง เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นและชาวเผ่าเอกาล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน

“นั่นคืออะไร”

“นิ้วมือผู้ใดหลุดลงมากัน”

“ดูเหมือนจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่บนท้องฟ้า”

“หากพวกเราถูกลูกหลง…”

“เจ้าสำนักกางค่ายอาคมลงบนเขตเซียนร้อยคีรีตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะไม่สังเกตเห็นเลย…”

….

ยามที่เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น บนฟ้าก็ปรากฏชิ้นส่วนร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์มากมายขึ้นอีกครั้ง ร่วงหล่นลงสู่โลกาดุจสายฝน มาพร้อมกับโลหิต อาบย้อมฟากฟ้าและเมฆาให้กลายเป็นสีแดงฉาน

หานเจวี๋ยหรี่ตามอง เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของชิ้นส่วนเหล่านี้แตกต่างกันไป ที่แข็งแกร่งที่สุดบรรลุถึงระดับครึ่งอริยะ ที่อ่อนแอที่สุดมีตบะระดับเซียนทองไท่อี่

เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปบนฟากฟ้า ทะลุผ่านสามสิบชั้นฟ้าขึ้นไป เขามองเห็นคนชุดดำลึกลับที่เห็นใบหน้าไม่ชัดเจนคนหนึ่งกำลังโบกแขนเสื้ออยู่ ชิ้นส่วนร่างกายนับไม่ถ้วนหล่นออกมาจากแขนเสื้อของเขา ตกลงสู่โลกา

ทิศทางการโปรยของเขาแตกต่างกันไป เห็นได้ชัดว่าต้องการโปรยไปให้ทั่วแดนมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจ ‘คนผู้นี้คือใคร’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

ดูเหมือนจะเป็นอริยะ

[มหาจักรพรรดิเซียว: ไม่ทราบตบะ อริยะระดับมรรคาสวรรค์ ศิษย์เอกบรรพชนเต๋า หนึ่งในบรรพชนต้นตระกูลเผ่ามาร]

อริยะมรรคาสวรรค์!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะเป็นหนึ่งในบรรพชนต้นตระกูลของเผ่ามาร ซ้ำยังฝากตัวเป็นศิษย์บรรพชนเต๋าด้วยอย่างนั้นหรือ

อริยะมรรคาสวรรค์ที่เขารู้จักได้แก่หนี่ว์วา ฝูซีเทียน เทพสูงสุดหนานจี๋ ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย อริยะมิ่งจี อริยะจินอัน มหาจักรพรรดิเซียว ยังขาดอีกคนหนึ่งก็จะครบจำนวนเก้าอริยะ

‘ข้าอยากรู้ว่ามหาจักรพรรดิเซียวทำเช่นนี้เพราะเหตุใด’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ทำไมยังเป็นหลักพันล้านอยู่อีกเล่า

หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ

จากนั้น เขาเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

สถานที่แห่งนี้คือตำหนักใหญ่ที่มืดสลัว มีร่างสองร่างนั่งอยู่ตรงข้ามกัน เมื่อมองเห็นรูปลักษณ์ของหนึ่งในนั้นก็ทราบว่าเป็นมหาจักรพรรดิเซียว ส่วนอีกคนหนึ่งแม้จะนั่งอยู่ก็ยังมีรูปร่างใหญ่โตกว่ามหาจักรพรรดิเซียวมากมายหลายเท่า มีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้อยู่ทั่วร่าง

“มรรคาสวรรค์เริ่มต้นอีกครั้ง เศษชิ้นส่วนร่างกายที่ให้เจ้ารวบรวมมาเตรียมพร้อมแล้วหรือ” เงาร่างเพลิงสีดำถาม

มหาจักรพรรดิเซียวตอบ “เตรียมพร้อมแล้ว”

“อืม นำไปโปรยให้ทั่วแดนสรวงมรรคาสวรรค์”

“เพื่ออะไร”

“เศษชิ้นส่วนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปนเปื้อนแรงกรรมและไอพยาบาทมากมายล้นฟ้า เมื่อมรรคาสวรรค์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ถือโอกาสยามที่มรรคาสวรรค์กำลังดำเนินการ นำไปโปรยให้ทั่วสรวงสวรรค์ จะกลายเป็นการสาปแช่งสรรพสิ่ง สาปแช่งมรรคาสวรรค์ กรุยทางเพื่อให้เผ่ามารได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า”

“เหล่าอริยะจะขัดขวางข้าหรือไม่”

“ข้าจะล่อพวกเขาออกไป”

“ตกลง”

ฉากสถานการณ์สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เผ่ามารอีกแล้ว

เขาเงยหน้ามองอีกครั้ง มหาจักรพรรดิเซียวยังคงโปรยเศษชิ้นส่วนอยู่ ยากจะจินตนาการได้ว่าคนผู้นี้เก็บรวบรวมซากศพไว้มากเพียงใด

ทันใดนั้นมหาจักรพรรดิเซียวก็สบสายตากับหานเจวี๋ยเข้า สายตาของทั้งสองประสานกันกลางอากาศ

หานเจวี๋ยหันเหสายตาออกไปทันที

เหนือชั้นฟ้าที่สามสิบ มหาจักรพรรดิเซียวขมวดคิ้ว

“ประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่ข้าจะไม่สามารถมองทะลุอาณาเขตเต๋าของคนผู้นั้นได้” มหาจักรพรรดิเซียวพึมพำกับตัวเอง

เขานับนิ้วทำนาย สีหน้าพลันแปลกพิกลยิ่งขึ้น

บ่วงกรรมของคนผู้นี้น้อยยิ่งนัก…

เทียบวิญญาณธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ตบะเขามาถึงระดับนี้ได้อย่างไร

มหาจักรพรรดิเซียวบังเกิดความสนใจต่อหานเจวี๋ย ขณะเดียวกันเขาก็มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าคนผู้นี้จะเป็นอุปสรรคในการผงาดรุ่งเรืองของเผ่ามาร

[มหาจักรพรรดิเซียวเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 0.5 ดาว]

0.5 ดาว?

หานเจวี๋ยมองแจ้งเตือนตรงหน้า สีหน้าพิกลอย่างยิ่ง

เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับค่าความประทับใจ 0.5 ดาว

ค่าความประทับใจที่ต่ำเตี้ยเช่นนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นศัตรูคู่แค้น

อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย มหาจักรพรรดิเซียวเข้าสู่แดนเซียนด้วยร่างจริงไม่ได้ เช่นนั้นก็คุกคามเขาไม่ได้เช่นกัน

เศษชิ้นส่วนที่มหาจักรพรรดิเซียวโปรยลงมามีมากเหลือเกิน หานเจวี๋ยคร้านจะไปขัดขวาง ทั้งเปลืองแรงและยังไม่ได้ประโยชน์อันใด

ยกให้คนอื่นไปจัดการกันเอาเถิด

รอให้เหล่าอริยชนกลับมา น่าจะคิดหาทางรับมือได้

หานเจวี๋ยหลับตาลง บำเพ็ญต่อไป

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ไม่มีเศษชิ้นส่วนใหญ่ยักษ์ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าแล้ว แดนเซียนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านพ้นไปอีกสามสิบสองปี

[ฉิวซีไหลต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

ข้อความแจ้งเตือนรูปแบบนี้เริ่มเด้งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยลอบสบถว่าเดรัจฉาน ไม่ใช่คนแล้ว!

หานเจวี๋ยเลือกยอมรับการเข้าฝันของฉิวซีไหล

ยังคงเป็นโถงใหญ่ที่คุ้นตาแห่งนั้น ฉิวซีไหลเอ่ยขึ้นมาก่อน “เห็นเศษร่างกายที่ร่วงจากฟ้าหรือไม่”

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ

บัดซบ

คงไม่ใช่ว่าคนผู้นี้จะให้ข้าไปเก็บกวาดกระมัง

“ทำเป็นไม่เห็นเถอะ เจ้าบำเพ็ญไปตามปกติ อย่างแพร่งพรายเรื่องนี้ต่ออริยะที่เหลือ” ฉิวซีไหลเอ่ยต่อ

หานเจวี๋ยตะลึงงัน

ห้ามพูดหรือ

เจ้าสุนัขนี่สมคบคิดกับเผ่ามารเสียได้!

หานเจวี๋ยกล่าวไปว่า “ตอนนี้นอกจากท่าน ก็มิมีอริยะคนอื่นมายุ่งเกี่ยวกับข้า”

………………………………………………………………