บทที่ 464 สำนักซ่อนเร้นท่องโลก

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 464 สำนักซ่อนเร้นท่องโลก

“ได้”

เมื่อได้รับคำตอบของหานเจวี๋ย ฉิวซีไหลก็ตอบรับคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าเชื่อเขาหรือไม่

หานเจวี๋ยถาม “ซูฉีศิษย์ข้า…”

วาจาส่วนหลังเขาไม่ได้กล่าวจนจบ ก็เชื่อว่าฉิวซีไหลจะเข้าใจ

ฉิวซีไหลตอบ “เขาถูกคุมขังไว้ในคุกเผ่าสวรรค์ จะลงโทษประหารในอีกร้อยปีให้หลัง เมื่อถึงเวลาข้าจะคุ้มครองวิญญาณไว้ แล้วค่อยมอบให้เจ้า จำไว้ อย่าให้เขาอยู่ในขอบเขตมรรคาสวรรค์”

หานเจวี๋ยเอ่ยขอบคุณทันที

ขอเพียงเหลือโอกาสรอดให้ซูฉีสักนิดก็พอแล้ว

ซูฉีสมควรตายจริงๆ ใช้พลังวิเศษทลายมรรคากวาดล้างสรรพสิ่ง หากไม่ถูกลงโทษเสียบ้าง คงมีเพียงภูตผีเท่านั้นที่รู้ว่าวันหน้าจิตใจของคนผู้นี้จะบิดเบี้ยวกำเริบเสิบสานขึ้นมาหรือไม่

ฉิวซีไหลก็ไม่พูดต่อให้มากความเช่นกัน สลายแดนความฝันไปทันที

จิตรับรู้ของหานเจวี๋นกลับสู่ความเป็นจริง จู่ๆ เขาก็พบว่าท่าทีที่ฉิวซีไหลมีต่อตนคล้ายจะมิได้กระตือรือร้นมากเท่าก่อนหน้านี้ คล้ายจะลดทอนลงไปมาก

อาจเป็นเพราะมหาเคราะห์ปิดฉากลง ฉิวซีไหลรู้สึกว่าตนมีชัยแล้ว จึงไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่บรรพชนเต๋าเรียกว่าตัวแปรอีกต่อไป

หานเจวี๋ยยิ้มแวบหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน

ยิ่งฉิวซีไหลไม่ให้ความสำคัญกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งเติบโตอย่างเงียบเชียบได้มากขึ้นเท่านั้น

รอจนกว่าฉิวซีไหลจะไหวตัวทัน ก็พบว่าหานเจวี๋ยเป็นอริยะไปแล้ว เช่นนั้นจะน่าตะลึงสักเพียงใดเล่า

หานเจวี๋ยไม่คิดมากอีก ฝึกบำเพ็ญต่อไป

ว่ากันตามวิชายุทธ์มหามรรควัฏจักรอนธการที่รับสืบทอดมา หากอยากบรรลุระดับครึ่งอริยะ จำเป็นต้องแตกฉานในมหามรรคเสียก่อน หานเจวี๋ยดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรพลางทำความเข้าใจมหามรรคเอกอุบัติไปด้วย

ส่วนมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดก่อนหน้านี้ หานเจวี๋ยตั้งใจว่าจะละทิ้ง

หากว่ามหามรรคเวียนว่ายตายเกิดมีผู้ฝึกไปก่อนแล้ว เช่นนั้นต่อให้หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญเท่าใด ก็ยากจะเหนือกว่าอีกฝ่ายได้

แต่มหามรรคเอกอุบัติกลับต่างออกไป เป็นมหามรรคของหานเจวี๋ยโดยเฉพาะ เขาสามารถฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้

ในไม่ช้า หานเจวี๋ยก็เข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค

มหามรรคเอกอุบัติลึกลับยากจะคาดเดา แม้ว่าหานเจวี๋ยเป็นผู้สรรสร้างขึ้น แต่หากอยากรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ถ่องแท้ ก็ต้องใช้เวลายาวนานเช่นกัน

….

ระยะเวลาร้อยปีผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา

วันนี้ ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้เห็นจดหมายของซูฉี

[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านเผชิญทัณฑ์สวรรค์จากเผ่าสวรรค์ ตัวตายมรรคผลสลาย โชคดีที่ดวงวิญญาณได้รับการช่วยเหลือจากอริยะ]

หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงแม้ฉิวซีไหลจะซุกซ่อนแผนร้ายไว้ แต่ก็ยังรักษาคำพูดจริงๆ

ระยะนี้ กล่องจดหมายของเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง แทบทั้งหมดล้วนเป็นจดหมายแจ้งว่าบรรดาสหายเผ่าสวรรค์ได้รับโอกาสวาสนา

สรรพสิ่งใต้ร่มเงามรรคาสวรรค์ดับสูญ มีสมบัติวิเศษมากมายนักที่หลงเหลือทิ้งไว้บนโลกมนุษย์

หานเจวี๋ยคิดไปคิดมาก็เรียกเหล่าศิษย์มารวมตัวกัน

“พวกเจ้าอยากออกไปหรือไม่” หานเจวี๋ยถาม

เมื่อเหล่าศิษย์ได้ฟังต่างตกตะลึง ไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาเลย ด้วยคิดว่าหานเจวี๋ยกำลังแสร้งพูดเพื่อลองเชิงพวกเขาอยู่

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มรรคาสวรรค์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มีของล้ำค่าตกค้างอยู่ในโลกามากมาย หากว่าพวกเจ้าต้องการ สามารถออกไปเก็บเกี่ยวได้ สมบัติวิเศษล้วนจะเป็นของพวกเจ้า หากเก็บได้ของล้ำค่าแห่งฟ้าดิน ให้นำกลับมาเพาะปลูกที่เขตเซียนร้อยคีรี”

“จำไว้ หากพบเจอเศษซากศพใหญ่ยักษ์เหล่านั้น จงเลี่ยงไปเสีย เศษร่างเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายไปแล้ว เจือปนพลังคำสาป อาจจะเข้าสู่ร่างกายพวกเจ้าก็เป็นได้”

ทุกคนตาลุกวาวทันที อันที่จริงพวกเขามีความคิดเช่นนี้อยู่นานแล้ว แต่หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากหานเจวี๋ย พวกเขาก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวาย

พวกจ้าวเซวียนหยวน เต้าจื้อจุน เจียงอี้ มู่หรงฉี่และสวินฉางอันต่างพากันเอ่ยขออนุญาต

หานเจวี๋ยอนุญาตทุกคน

ท้ายที่สุด เหลือเพียงไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นและลี่เหยาที่รั้งอยู่ แม้แต่สิงหงเสวียน เซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ออกไปเช่นกัน

อู้เต้าเจี้ยนได้ออกไปเผชิญโลกภายนอกเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกประหม่ายิ่งนัก แต่มีคนอื่นๆ ร่วมทางไปด้วย น่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้น

หานเจวี๋ยไม่ให้พวกเขาเดินทางตามลำพัง ต้องจับกลุ่มสามคนขึ้นไป

หานเจวี๋ยมองสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น เอ่ยหยอกเย้า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเล่า”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นส่ายหน้าด้วยความหวาดผวา เอ่ยตอบ “ข้าไม่มีทางออกไป ภายภาคหน้าถึงต้องตายข้าก็จะไม่ออกไป!”

หานเจวี๋ยขบขัน

ดูเหมือนหลี่เสวียนเอ้าจะสร้างปมในใจไว้ให้สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมากมายเหลือเกิน

เมื่อนึกถึงหลี่เสวียนเอ้า ระยะนี้กลับไม่เห็นความเคลื่อนไหวของหลี่เต้าคงเลย คนผู้นี้เพิ่งบรรลุระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์เมื่อไม่นานมานี้ คาดว่าคงปิดด่านฝึกฝนอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ไก่คุกรัตติกาลหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ไอ้ลูกหมา รู้ความดียิ่ง”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นยิ้มยิงฟัน ท่าทางภูมิใจอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยมองไปที่ลี่เหยา เอ่ยถาม “เจ้าก็ไม่กล้าออกไปหรือ ถึงแม้คุณสมบัติของเจ้าจะยอดเยี่ยม แต่มีของวิเศษน้อยเกินไป”

ลี่เหยาส่ายหน้ากล่าวตอบ “สมบัติวิเศษสุดท้ายก็เป็นสิ่งนอกกาย ข้าเชื่อมั่นในพลังวิเศษของตนเท่านั้น”

สำหรับจุดนี้ หานเจวี๋ยก็ไม่มีอะไรให้พูดเช่นกัน

ทั้งสี่แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างไปฝึกบำเพ็ญ

ห้าปีผ่านไป

ฉิวซีไหลมาเข้าฝันหานเจวี๋ย บอกว่าจะส่งมอบวิญญาณของซูฉีให้เขา ให้เขาออกไปนอกชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม นั่นคือพื้นที่นอกเหนือการควบคุมของมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ให้หุ่นเชิดสวรรค์ของตนไปจัดการแทน

หลังจากหุ่นเชิดสวรรค์ได้รับพลังเวทของเขา ก็มีระดับเทียบเท่าเซียนทองต้าหลัว เหาะไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสามได้ไม่ยากเย็น

ครึ่งปีผ่านไป หุ่นเชิดสวรรค์ก็นำดวงวิญญาณของซูฉีกลับมา

หานเจวี๋ยรับมันเข้าสู่จักรวาลโลกดาราทันที บรรจุไว้ในดาราดวงหนึ่ง สะกดพลังแห่งความโชคร้ายไว้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยปล่อยซูฉีออกสู่สังสารวัฏอีกครั้ง

ภายในอารามเต๋าเหลือเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้น ช่วงนี้ดวงจิตประหลาดชอบตระเวนไปทั่วเขตเซียนร้อยคีรี กลับมาน้อยครั้งยิ่ง อย่างไรก็ตามมันสามารถควบคุมพลังของตนได้แล้ว ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงปล่อยให้มันคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรี ขอเพียงไม่ออกจากอาณาเขตเต๋าก็พอ

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งอริยะมิ่งจี

เขตเซียนร้อยคีรีมีอาณาเขตเต๋าปิดกั้น อารามเต๋ามีเขตอาคมของระบบคอยป้องกัน มีการป้องกันแบบสองชั้น หานเจวี๋ยจึงไม่กังวลว่าจะถูกผู้ใดจับได้

ช่วงเวลาเช่นนี้ดำเนินไปอยู่หลายปี ภารกิจสาปแช่งอริยะมิ่งจีทุกๆ สิบปีก็กระทำเป็นประจำมิเคยขาด

….

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดไข่กิเลนในถ้ำใต้ดินของเขตเซียนร้อยคีรีก็ฟักตัวออกมาใบหนึ่ง หานเจวี๋ยให้หลิวเป้ยผู้เป็นร่างแยกวัฏจักรคอยดูแล หลิวเป้ยจึงแจ้งให้หานเจวี๋ยทราบเป็นลำดับแรก

หานเจวี๋ยถ่ายทอดคำสั่งต่อหลิวเป้ย ให้เขาดูแลลูกกิเลนตัวนี้

หลิวเป้ยย่อมรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา หากอบรมเลี้ยงดูให้ดี วันหน้าเผ่ากิเลนอาจจะเชื่อฟังคำสั่งของเขาก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักซ่อนเร้น

ถึงแม้หลิวเป้ยจะเป็นร่างแยกของหานเจวี๋ย แต่ก็มีความคิดจิตใจเป็นของตัวเอง นอกเหนือจากเรื่องที่ไม่มีทางทรยศหักหลังหานเจวี๋ยอย่างเด็ดขาดแล้ว เขาก็มีจิตใจแบบมนุษย์ทั่วไป

เวลาผ่านไปยาวนานขนาดนี้ เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นที่ออกไปท่องโลกก็ยังไม่กลับมา คาดว่าคงเก็บเกี่ยวของล้ำค่าอยู่ ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลย

หานเจวี๋ยยังอยู่ห่างจากระดับครึ่งอริยะอีกไกลโข แต่เขากลับไม่ร้อนรนเลยแม้แต่นิด ยามนี้สิ่งที่เขาไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือเวลา

วันนี้ ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ของหานเจวี๋ยได้รับการติดต่อเข้ามา

หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา เชื่อมต่อกระแสจิต

“อาจารย์” น้ำเสียงนอบน้อมของฟางเหลียงแว่วเข้ามา

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ”

เขารู้อยู่แล้วว่าฟางเหลียงยังมีชีวิตอยู่ จงใจเอ่ยหยอกล้อเท่านั้น

ฟางเหลียงเอ่ยด้วยความกระดากอาย “แค่กๆ นับว่ายืนหยัดจนผ่านพ้นไปได้ขอรับ ยามนี้มรรคาสวรรค์เมตตาต่อเผ่าสวรรค์ หัวหน้าเผ่าสวรรค์คือจี้เซียนเสิน อาจารย์ ท่านกลับสู่แดนเซียนได้แล้วขอรับ ปลอดภัยแน่นอน”

หานเจวี๋ยตอบกลับ “ข้ากลับมาแล้ว”

“โอ้ อยู่ที่ใดหรือขอรับ ข้าไปเยี่ยมคารวะได้หรือไม่”

“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เจ้ามีธุระใดอีกหรือไม่”

หานเจวี๋ยตื่นตัวยิ่งนัก ต่อให้เป็นศิษย์ของตนก็ไม่ได้เชื่อใจอีกฝ่ายอย่างเต็มที่เช่นกัน

ฟางเหลียงจึงกล่าวว่า “มรรคาสวรรค์เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ข้าอยากเชิญสำนักซ่อนเร้นเข้าร่วมวังสวรรค์กลายเป็นเทพเซียน วันหน้าจะมีโอกาสได้สำเร็จเป็นเผ่าสวรรค์ต่อไป เผ่าสวรรค์และเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์จะไม่ได้รับผลกระทบจากมหาเคราะห์อีกหลายต่อหลายครั้งในภายภาคหน้าขอรับ”

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

พอฟังแบบนี้ แปลว่าวังสวรรค์กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลย่อยของเผ่าสวรรค์ไปเสียแล้ว

………………………………………………………………