บทที่ 520 ฉินจ้าวท้าทายเว่ยจื่ออั๋ง

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไปหาฉินจ้าว เป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกเมิน

เว่ยจื่ออั๋งถึงกับหน้าตาบึ้งตึง

ที่จริงในครั้งแรกที่ฉินจ้าวเมินพวกเขา เว่ยจื่ออั๋งคิดว่าเป็นเรื่องปกติของบัณฑิตที่มากด้วยพรสวรรค์ พวกเขาจะมีทีท่าสงวนตัว แต่เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว เว่ยจื่ออั๋งคิดว่าฉินจ้าวไร้มารยาท ไม่ให้เกียรติผู้อื่น

บทความของฉินจ้าวเขียนได้ดี แต่เหตุใดเขาจึงนิสัยเช่นนี้?

“จื่ออั๋งเจ้าสังเกตหรือไม่ว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีศิษย์ต่างสำนักมาหาฉินจ้าวก็จริง แต่ไม่มีศิษย์จากกั๋วจื่อเจี้ยนเลย” สวี่เจวี๋ยตั้งข้อสังเกต เว่ยจื่ออั๋งพยักหน้ารับ

“ในหมู่บัณฑิตด้วยกันก็เป็นเช่นนี้แหละ ศิษย์จากกั๋วจื่อเจี้ยนชอบคิดว่าศิษย์สำนักอื่นโง่เขลา เขาคิดแต่ว่าในกั๋วจื่อเจี้ยนมีผู้เก่งกล้าสามารถอยู่มากมาย ส่วนศิษย์จากสำนักอื่นก็คิดว่าบัณฑิตของกั๋วจื่อเจี้ยนงมงาย ชอบดูถูกผู้คน ถึงได้เกิดการแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายเช่นนี้”

“บัณฑิตทั้งหลายต่างอ่านตำราจากนักปราชญ์มาเหมือนๆ กันทุกคน เหตุใดจึงต้องแบ่งแยกกันเช่นนี้ด้วย” เว่ยจื่ออั๋งพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

แม้เว่ยจื่ออั๋งจะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแต่เขาเป็นคนฉลาด สามารถเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้ดี ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่ชอบทำเท่านั้น

ในนวนิยายต้นฉบับไม่มีใครคอยปกป้องเขา เขาตั้งใจจะล้างแค้นให้กับเว่ยฉิง เขาจึงทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบนั่นก็คือเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย…

ในชีวิตนี้เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยได้รับการปกป้องเลี้ยงดูจากบิดามารดามาเป็นอย่างดี ทั้งสองคนจึงยังคงรักษาความใสซื่อบริสุทธิ์ในจิตใจเอาไว้ได้

เขาร่ำเรียนอย่างอุตสาหะเพราะต้องการรับราชการเพื่อพัฒนาให้บ้านเมืองน่าอยู่ มีแม่น้ำที่ใสสะอาด คนทั่วไปได้ทำงานอย่างมีความสุขและรอยยิ้ม

“ทุกวันนี้ศิษย์จากสำนักอื่นจะมีผู้นำคือฉินจ้าว ส่วนกั๋วจื่อเจี้ยนมีเจ้าและข้า ฉินจ้าวอาจจะคิดว่าพวกเราเป็นคู่ต่อสู้กับเขาก็เป็นได้” สวี่เจวี๋ยกล่าว

“คู่ต่อสู้ ? เขาไม่สนใจพวกเราเลยสักนิด” เว่ยจื่ออั๋งผิดหวัง

เขามีคนคอยชื่นชมอยู่เสมอ พอเจอคนที่ไม่สนใจเขา ก็อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกเช่นนี้

ที่จริงแล้วจะกล่าวว่าอีกฝ่ายนิสัยไม่ดีก็ไม่ได้ เป็นเพราะมีแนวคิดแตกต่างกัน จึงทำให้เป็นเพื่อนกันไม่ได้

ทันใดนั้นมีคนตบลงที่บ่าของเขา เว่ยจื่ออั๋งสะดุ้งหันไปมอง เห็นใบหน้าใหญ่โตลอยใกล้เข้ามา

เขาคือจ้าวจิ่งซวนนั่นเอง

จ้าวจิ่งซวนอายุมากกว่าพวกเขาราวหนึ่งปี รูปร่างสูงดูกำยำ เขาสูงกว่าเด็กสองคนครึ่งศีรษะเห็นจะได้ เขายื่นนิ้วโป้งออกมาจิ้มไปที่แก้มของทั้งสองคน ทำให้เกิดลักยิ้มขึ้นมา

“เหตุถึงหน้าบึ้งนักเล่า? ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดื่ม” จ้าวจิ่งซวนกล่าว

“ข้าไม่ดื่ม” เว่ยจื่ออั๋งปฏิเสธ

“สุราชิงเหมย” จ้าวจิ่งซวนกล่าว

‘เลือกพลัมเขียวชิมสุรา ชงชาหอมหิมะขาว’ เจ้าไม่อยากลองหรือ?

สวี่เจวี๋ยเหลือบมองเว่ยจื่ออั๋งที่ยังทำหน้าบึ้งตึง

“พี่จ้าวช่างมีความสามารถในการท่องบทกวี ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจ”

“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่คิดว่าข้าจะท่องบทกวีได้หรือ?” จ้าวจิ่งซวนพูดด้วยความโกรธ

“จื่ออั๋งหลักคำสอนคือคุณธรรม มันคือคุณธรรมข้อใด?” สวี่เจวี๋ยถาม จื่ออั๋งกลอกสายตา

“การรู้จักกระทำในหน้าที่ของตน แต่คนโดยทั่วไปมักทำไม่ค่อยได้”

หลังจากพูดจบเขาทำท่าไร้เดียงสา แล้วรีบพุ่งตัวออกไปก่อนที่จ้าวจิ่งซวนจะคิดตามได้ทัน

ก่อนหน้านี้จ้าวจิ่งซวนอยากลอกคำตอบของสวี่เจวี๋ยแต่อีกฝ่ายจงใจเขียนคำผิดให้เขาลอก จ้าวจิ่งซวนจึงได้คัดลอกไปอย่างโง่เขลา การที่พวกเขาล้อเลียนจ้าวจิ่งซวนเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องน่าอายมาก!

เขาโกรธมาก!

จ้าวจิ่งซวนรู้สึกตัวรีบวิ่งตามพวกเขาไปทันที เด็กหนุ่มทั้งสามคนวิ่งไล่กันไปตามท้องถนน หลังจากได้วิ่งเล่นไปสักพัก ความหงุดหงิดภายในใจของเว่ยจื่ออั๋งก็หายไป

….

วันถัดไป ฉินจ้าวได้ส่งเทียบเชิญเพื่อท้าทายบัณฑิตสิบคนแรกที่มีชื่อในแผ่นกระดานของหอฉิงเฟิงเพื่อโต้วาที

ศิษย์จากเหลียงโจวผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องพรสวรรค์และความสามารถ เขาเป็นคนแรกที่มาจากสำนักอื่น นอกนั้นล้วนเป็นศิษย์จากกั๋วจื่อเจี้ยนทั้งนั้น

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบัณฑิตจำนวนมาก พวกเขาพากันไปมุงดู สุดท้ายฉินจ้าวก็ชนะ ชื่อของเขาถูกเขียนบนกระดานในอันดับที่สิบ เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับศิษย์จากกั๋วจื่อเจี้ยน ในขณะที่ศิษย์จากสำนักอื่นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้

แต่เป้าหมายของฉินจ้าวสูงกว่านั้น

เขาท้าชิงครั้งที่สองในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว เขาได้ลำดับที่เก้า..จากนั้นก็มีครั้งที่สาม และครั้งที่สี่….

ในตอนนี้อันดับของฉินจ้าวพุ่งขึ้นไปอยู่ที่อันดับสามแล้ว

ในครั้งแรก ที่ฉินจ้าวท้าชิงอันดับที่สิบ ศิษย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนยังรู้สึกว่าพวกเขายังมีความรู้ความสามารถ แต่การที่เขาค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นไปแบบนี้ ราวกับว่าฉินจ้าวกำลังเหยียบพวกเขาด้วยเท้าข้างเดียว นับเป็นการดูถูกพวกเขายิ่งนัก

ศิษย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนกลั้นหายใจ ในขณะที่ศิษย์จากสำนักอื่นล้วนมีความสุข

การเคลื่อนไหวของฉินจ้าวนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความรู้สึกฮึกเหิมในหมู่บัณฑิตเท่านั้น แต่ยังดึงดูดความสนใจของขุนนางหลายคนในเมืองหลวงด้วย

ชื่อของฉินจ้าวเริ่มสร้างความประทับใจให้แก่พวกเขา หัวข้อของการสนทนาจะเป็นไปเหมือนๆ กันว่า จ้วงหยวนในปีนี้จะเป็นศิษย์จากกั๋วจื่อเจี้ยนหรือศิษย์จากเหลียงโจวกันแน่

จ้าวชูเองก็ได้ยินเช่นกัน

เขาเดินผิดไปหนึ่งก้าวจริงๆ

ตอนแรกที่เขาตัดใจจากถังหลี่ทุกอย่างก็ผิดพลาดไปหมด ใครจะคิดว่านางคือบุตรสาวของแม่ทัพกู้ ใครก็ตามที่แต่งงานกับนางย่อมมีแม่ทัพกู้หนุนหลัง นั่นจะทำให้เขาต่อกรกับองค์ชายหกได้อย่างสมบูรณ์

ไม่แต่เพียงเท่านั้น ลูกชายบุญธรรมทั้งสองคนของนาง สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งก็เป็นบัณฑิตที่ฉายแววโดดเด่น เขาได้ยินมาว่าการสอบในครั้งนี้ พวกเขาคนใดคนหนึ่งต้องได้ลำดับที่หนึ่งแน่นอน การแต่งงานกับถังหลี่ก็จะได้เด็กหนุ่มทั้งสองมาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญให้เขา

คิดถึงเรื่องนี้ครั้งใดก็ทำให้เขาเสียใจทุกครั้ง

แต่เรื่องก็ล่วงผ่านเลยไปแล้วไม่อาจจะย้อนเวลาให้หวนคืนกลับมาได้

การสอบชุนเหวยกำลังเข้าใกล้มา จ้าวชูมีแต่เรื่องไม่ดีถาโถมเข้าใส่ อารมณ์เขาจมดิ่ง พอได้ยินเรื่องของฉินจ้าว พลันเขารู้สึกถึงจุดเปลี่ยน บางทีจ้วงหยวนในปีนี้อาจจะไม่ใช่บุตรทั้งสองคนของถังหลี่ก็เป็นได้

เขาหวังว่าฉินจ้าวจะเป็นจ้วงหยวนในการสอบครั้งนี้!

จ้าวชูและจินเซ่อกำลังเล่นหมากด้วยกัน พวกเขาสนทนาถึงฉินจ้าว

“ท่านอ๋องเมื่อสองสามวันก่อนฉินจ้าวได้มาที่จวนเพคะ” จินเซ่อพูดขึ้นมา ดวงตาของจ้าวชูสว่างวาบ เขาเริ่มสนใจ

“โอ้…เขามาทำอะไรหรือ?” จ้าวชูถามอย่างสงสัย

“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปที่วัดเฟยไหลเพื่อถวายเครื่องหอม ระหว่างทางกลับหม่อมฉันพบกับฉินจ้าวที่ถูกปล้นจึงได้ช่วยไว้ เขาจึงมาขอบคุณหลังจากที่ได้เข้าเมืองหลวงมาสองวัน”

“ช่างบังเอิญเหลือเกิน?” จ้าวชูกล่าว แววตาครุ่นคิด

“เพคะ เขาได้มอบภาพวาดให้แก่ข้า ดูจากภาพวาดแล้วเขาไม่ใช่คนไม่รู้ความ ต่อไปจะต้องประสบความสำเร็จในภายหน้าอย่างแน่นอน”

จ้าวชูยิ้มมองจินเซ่อด้วยแววตาที่อ่อนโยน

“ข้าต้องหาโอกาสพบกับศิษย์จากเหลียงโจวผู้นี้สักหน่อยแล้ว” จ้าวชูเอ่ยขึ้น

ในที่สุดโอกาสก็มาถึงอย่างรวดเร็ว

ฉินจ้าวส่งสารท้าเว่ยจื่ออั๋งผู้นำของกั๋วจื่อเจี้ยน ข่าวถูกแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนในเมืองหลวงต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก มันคือการโต้วาทีที่น่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาอยากรู้อยากเห็นว่าระหว่างสองคนนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ เว่ยจื่ออั๋งจากกั๋วจื่อเจี้ยน หรือฉินจ้าวจากเมืองเหลียงโจว!

ที่จวนรุ่ยอ๋อง

จินเซ่อมองจ้าวชู

“ท่านอ๋อง พวกเราไปดูการโต้วาทีกันดีไหมเพคะ”

แม้จ้าวชูจะยังถูกกักบริเวณจนไม่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่เขายังแอบไปได้

จ้าวชูพยักหน้า