ตอนที่ 354 วิธีเดียวที่จะรักษาอาการหมดสติ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 354 วิธีเดียวที่จะรักษาอาการหมดสติ (2)

“หือ?” จิ่วจิ่วยิ้มและหรี่ตามองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าและหลิงเอ๋อร์ทันที และทันใดนั้น ก็พบว่าทั้งคู่ยังดูสงบมาก

กินแตง[1]นี้ไม่สนุกเลย

มือใหญ่ของสงหลิงลี่หยิบหินหยกที่โหย่วฉินเสวียนหย่าเพิ่งโยนออกมา

“กินแล้ว ห้าแต้ม” จิ่วจิ่วร้องออกมาเบา ๆ “ดูมือเซียนเทียนของข้าสิ!”

กล่าวจบ นางก็หยิบชิ้นส่วนที่คมกริบที่สุดออกมาจากกองหินหยกที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากนั้นดวงตาของนางก็วาบสว่างขึ้น และตัวสั่นด้วยความรู้สึกผิด จากนั้น นางก็โยนแผ่นหยกลงตรงหน้า และร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น

“กวาด[2]! ไม่นับแต้ม จบแล้ว! เร็วเข้า ศิลาวิญญาณ ศิลาวิญญาณ!”

หลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่บ่นทันที ส่วนโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วทั้งสามคนก็หยิบศิลาวิญญาณออกมาสองสามก้อนแล้วส่งให้จิ่วจิ่ว

จิ่วจิ่วหัวเราะร่าจนตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้พร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย…และการเล่นไพ่นกกระจอกในโลกบรรพกาลก็ยังดำเนินต่อไป

ครึ่งวันต่อมา ทั้งสี่คนก็ไปที่กรงสัตว์วิญญาณและเลือกสัตว์วิญญาณสองตัวที่ดูเหมือนจะเบื่ออาหาร และเบื่อหน่ายโลก ดังนั้น เพื่อเติมเต็มความปรารถนาให้พวกมัน พวกนางจึงพาพวกมันไปชมทิวทัศน์ทะเลสาบ…

จากนั้น พวกนางก็ตั้งเตาย่าง เตรียมสุราและอาหารจานอร่อย แล้วเริ่มร่ำสุรา ขับขานเพลงแห่งราตรีนี้

“คราวนี้ นานแล้วจริงๆ นับจากครั้งล่าสุดท้ายที่ศิษย์พี่ปรากฏตัวออกมา”

หลิงเอ๋อร์เหลือบมองที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่อยู่ในถุงเก็บสมบัติที่ข้อมือ และพึมพำเบาๆ อย่างกังวล สถานการณ์นี้ผิดปกติมากจริง ๆ นางออกมาจากการปิดด่านมานานกว่าครึ่งปีแล้ว แต่ศิษย์พี่ก็ไม่ได้มาตำหนิอะไรนางเลย…

จิ่วจิ่วถามเบาๆ ว่า “หรือว่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างฝึกบำเพ็ญ?”

“เป็นไปไม่ได้” หลิงเอ๋อร์รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเร็ว ไม่โลภในการฝึกฝนเพื่อผลงาน ทุกย่างก้าวของเขาล้วนมั่นคงอย่างยิ่ง และจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันถามว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่วทิ้งศิลาปิดด่านเอาไว้หรือไม่?”

“นี่…”

หลิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะในขณะที่ดวงตาของนางฉายแววกังวลออกมาเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

ที่เรียกว่า ศิลาปิดด่านนั้น คือ เครื่องมือเวทชนิดหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้ถึงสถานะของผู้ฝึกบำเพ็ญเมื่อเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียร หากประสบปัญหา เสียสติ หรือพบกับอันตราย ก็จะเตือนอาจารย์ เหล่าสหาย ครอบครัวและญาติพี่น้องเพื่อเข้าช่วยเหลือ ดูแลได้ทันท่วงที

เรื่องบางเรื่องไม่ต้องเอ่ยถึงเลยดีกว่า ครั้นเมื่อเอ่ยถึงมันแล้ว ก็ไม่อาจหยุดคิดถึงมันได้จนต้องตกไปอยู่ในวงจรวิปริต…

ในไม่ช้า จิ่วจิ่ว โหย่วฉินเสวียนหย่าและหลิงเอ๋อร์ก็เริ่มกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ทุกครั้งที่ศิษย์พี่จะเข้าปิดด่าน เขาจะแจ้งข้าก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ ไม่มี…”

จากนั้น ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสทั้งสามคนของกลุ่มอาหารแห่งยอดเขาหยกน้อย ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก

ในขณะนี้ มีเพียงสงหลิงลี่เท่านั้นที่รู้ว่า ญาติผู้พี่ของนางเป็นเทพแห่งท้องทะเลที่ทรงพลังอำนาจอย่างยิ่ง นางจึงไร้ความกังวลใด ๆ

“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูแล้ว!” จิ่วจิ่วกล่าว “เขาเข้าปิดด่านโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ แล้วจะเป็นอย่างไร หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเล่า?”

โหย่วฉินเสวียนหย่าพึมพำ แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “แต่หากเรารบกวนศิษย์พี่ นั่นจะไม่เป็นการทำลายการฝึกบำเพ็ญของศิษย์พี่หรือเจ้าคะ?”

จิ่วจิ่วโบกมือแล้วกล่าวว่า “อย่างมากที่สุด เจ้าและหลิงเอ๋อร์ก็ชดใช้ได้ด้วยร่างกายของพวกเจ้า!”

“ท่านอาจารย์อา!” หลิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ แต่นางก็เต็มไปด้วยความกังวล

โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มปากอย่างสงบแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อา อย่าพูดเล่นเช่นนี้เลย มันจะทำให้ชื่อเสียงของศิษย์พี่ฉางโซ่วเสื่อมเสียได้เจ้าค่ะ”

หลิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปเดินเล่นใกล้ๆ หอโอสถ หากศิษย์พี่ไม่เข้าปิดด่าน เขาก็จะเปิดค่ายกลรอบนอกหอโอสถให้ข้าเองทันที”

“เช่นนั้น พวกเราก็ไปกันเถิด หลิงลี่ เจ้าย่างอาหารอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเราสามคนจะออกไปก่อน”

จิ่วจิ่วตะโกนแล้วพาหลิงเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่าบินไปที่ริมขอบค่ายกลเวทด้านนอกหอโอสถด้วยกัน

เมื่อพวกนางมาถึงที่นี่ ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ในป่าข้างหน้า และทั้งสามก็รอเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง…

โหย่วฉินเสวียนหย่าอดจะถามออกมาไม่ได้ว่า “มีทางเข้าไปในค่ายกลเวทหรือไม่?”

หลิงเอ๋อร์ และจิ่วจิ่วส่ายศีรษะพร้อมกัน และทั้งสามคนก็ยิ่งกังวลมากขึ้น

จิ่วจิ่วร้องตะโกน “เสี่ยวฉางโซ่ว…”

ทว่าเสียงร้องนี้ไม่ได้เข้าสู่ค่ายกล และไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ เลย

ในขณะนั้น ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินคนหนึ่งที่ยังเต็มไปด้วยข้อมูลมากมายและกำลังจะบรรลุเต๋าในครั้งนี้ ก็ถูกรบกวนด้วยเสียงร้องตะโกนนี้

อาจารย์อาน้อย…หลิงเอ๋อร์…เสวียน…

แม้หลี่ฉางโซ่วจะยังไม่อาจแยกตัวหนีจาก ‘กระบวนการสอน’ ได้ แต่ก็ยังสามารถหันเหความสนใจออกไปได้เล็กน้อยและเกือบจะยกมือขึ้นผนึกฝ่ามือเพื่อเปิดค่ายกลช่องทางพิเศษให้ศิษย์น้องหญิงโดยเฉพาะ…

“หลิงเอ๋อร์ เสวียนหย่า? ค่ายกลเวทที่นี่เปิดหรือไม่?” จิ่วจิ่วชี้ไปที่ป่าข้างหน้าและถามด้วยความสงสัย

หลิงเอ๋อร์หยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมา และมองดูแสงสีเขียวที่ส่องประกายระยิบระยับบนหยก แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก “ศิษย์พี่สบายดี พวกเรายังจะเข้าไปข้างในอีกหรือไม่?”

“แน่นอน! พวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว! ไปดูกันว่าเขาทำอะไร!”

ในขณะนั้น จิ่วจิ่วคว้ามือพวกนางหนึ่งในนั้น แล้วดึงเข้าไปในป่า หลี่ฉางโซ่วที่เพิ่งเปิดเส้นทางของค่ายกลก็สูญเสียการรับรู้ถึงโลกภายนอกอีกครั้ง…

โชคดีที่ร่างหลักของเขานอนอยู่ในห้องลับใต้ดิน และมีเพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นอนอยู่ในหอโอสถ

และนั่นคือ สิ่งที่พวกของจิ่วจิ่วทั้งสามเห็น…

หอโอสถถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละเอียดบางๆ ไปทั่ว หลี่ฉางโซ่วนอนอยู่หน้าเตาหลอมโอสถด้วยสีหน้าท่าทางสงบยิ่ง เขาหลับตาลงเงียบ ๆ และไม่ได้หายใจมากนัก…

“ศิษย์พี่!”

หลิงเอ๋อร์อดจะร้องเสียงสั่นไม่ได้ขณะรีบพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่ฐานพลังของโหย่วฉินเสวียนหย่า แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย

ในขณะนั้น นางก็ไปปรากฏกายขึ้นข้างๆ หลี่ฉางโซ่ว แล้วคุกเข่าลงพลางยกมือขึ้น และวางนิ้วเรียวยางลงบนข้อมือของหลี่ฉางโซ่วพร้อมกับหลับตาลงเพื่อรับรู้จากการสัมผัสมัน

“พลังเซียนยังคงทำงานตามปกติ และพลังปราณวิญญาณก็มั่นคง” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเบาๆ “ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร”

“เมื่อไม่เป็นอะไร แล้วเหตุใดเขาถึงนอนลงเล่า?” จิ่วจิ่วขมวดคิ้วและโน้มกายลงไป นางคุกเข่าและเอาศีรษะของหลี่ฉางโซ่ววางลงพลางแตะนิ้วลงบนหน้าผากของหลี่ฉางโซ่วเบาๆ เพื่อสัมผัสดูอย่างระมัดระวัง

ดูเหมือนว่า หลิงเอ๋อร์นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นก็คุกเข่าลงนั่งอีกข้างหนึ่งแล้วใช้มือเล็กๆ บีบนิ้วของศิษย์พี่ของนางเบา ๆ

สัมผัสนี้ให้ความรู้สึก…แข็ง…

หลังจากสัมผัสอย่างระมัดระวังแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่า มันเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของศิษย์พี่จริงๆ

“ตามการวิเคราะห์ของอาจารย์อา” จิ่วจิ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่น่าจะเป็นเพราะหัวใจที่เหี่ยวแห้งจนนอนหลับไป บางทีอาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปจากการหลอมโอสถมาก่อนหน้านี้

บางครั้ง ผู้ฝึกบำเพ็ญก็เหนื่อยเกินกว่าจะหลอมโอสถและอาวุธ และพวกเขาก็จะหลับลึกไปจริงๆ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลไป…

โดยทั่วไปแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเพียงต้องการผู้บำเพ็ญสตรีสักคนมาใช้วิธีถ่ายเทลมหายใจแบบปากต่อปากเท่านั้น จึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ทันที พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนเป็นศิษย์น้องหญิงของเขา ผู้ใดจะมาทำ?”

“เป็นรื่องจริงหรือ?”

“เรื่องนี้…”

ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็มองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่า แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าก็มองมาที่นาง ดวงตาของพวกนางสบกัน และทันใดนั้นก็มีลำแสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่ว

จากนั้น จิ่วจิ่วก็ปิดปากหัวเราะคิกคักทันที

“ให้ข้าทำเอง”

โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเบาๆ อย่างไม่ลังเลใดๆ ดวงตาของนางฉายแววแน่วแน่พร้อมด้วยหัวใจมั่นคง

หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางอยากเตือนว่านี่คือร่างจำแลงของศิษย์พี่ แต่ก็กลัวจะเปิดเผยความลับของศิษย์พี่ออกมา…

ยิ่งกว่านั้น นางยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย…

หลิงเอ๋อร์บังคับตัวเองแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ให้ข้าทำเถิดเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ดูแลข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ ข้าจึงสนิทกับศิษย์พี่มากกว่า ศิษย์พี่ย่อมจะไม่คัดค้านในเรื่องนี้เจ้าค่ะ”

จิ่วจิ่วรีบขยับเก้าอี้ไม้ข้างๆ มาอย่างรวดเร็ว และคว้าเมล็ดแตงวิญญาณจำนวนหนึ่งกำมือมา จากนั้น ก็เข้าสู่สถานการณ์เฝ้าดูการแสดงด้วยดวงตาโตคู่นั้น…

สุดยอด!

โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มริมฝีปากเบา ๆ และดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่างต่อไป

หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจในใจ นางกลัวว่าเรื่องร่างจำแลงของศิษย์พี่ของนางจะถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้น จึงทำได้เพียงกัดฟันทน บัดนั้น พวกนางทั้งสองต่างก็สบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร…

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วที่กำลังนอนอยู่ก็ส่งเสียงพึมพำเบา ๆ ออกมาพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผาก แล้วลืมตาขึ้นมา

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอาการงุนงงสับสนขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ต้องทำอะไรหรอก ตอนนี้ข้ากำลังปวดหัว … ”

หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งช้าๆ หลิงเอ๋อร์และโหย่วฉินเสวียนหย่าจึงรีบเข้าไปรีบช่วย

จิ่วจิ่วซึ่งอยู่ข้างหลังเขา เก็บม้านั่งและเมล็ดแตงโมออกไปทันที จากนั้น นางก็คุกเข่าลงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างง่ายๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลถึงร่างของศิษย์หลานของนาง

“ศิษย์พี่ ท่านเป็นอันใดหรือไม่?”

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว รู้สึกไม่สบายหรือไม่?”

“อืม ข้าไม่เป็นไร…” หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วพลางลูบหน้าผากแล้วถามว่า “หลิงเอ๋อร์ เวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้วนับตั้งแต่ที่เจ้าเข้าปิดด่านครั้งล่าสุด?”

“ศิษย์พี่ ข้าเข้าปิดด่านมาสามปีแล้ว และตอนนี้ ข้าก็ออกมาได้ครึ่งปีแล้วเจ้าค่ะ”

สามปี…

จอมปราชญ์เทพให้กลีบบัวกับข้าและทำข้าหมดสติไปสามปีเต็ม!

ทว่าเพียงขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังจะบ่น เขาก็ฟื้นสัมผัสเซียนรับรู้ของเหล่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงและสูดลมหายใจเข้าลึกในขณะที่แทบจะไม่เผยท่าทีวิตกกังวลออกมา

“เหตุใดพวกมันถึงกำลังสู้กัน?!”

กล่าวจบ เขาก็หลับตาลงอย่างกะทันหัน และเพ่งจิตกลับไปหาตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในวังดุสิตทันที แล้วปล่อยให้บรรดาเทพธิดาใหญ่ กลาง และเล็ก ต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง

………………………………………………………………..

[1] ปูเสื่อรอดูเรื่องชาวบ้าน หรือรอเผือกนั่นเอง

[2] วาดไพ่