ตอนที่ 355 หกวีรบุรุษน้อยแห่งสำนักบำเพ็

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 355 หกวีรบุรุษน้อยแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน (1)

วิธีที่ปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพถ่ายทอดเต๋านั้น …ครอบงำเกินไป แต่ก็แฝงความละเอียดอ่อนอยู่ในการครอบงำนั้น

สิ่งที่เหล่าจื้อถ่ายทอดให้เขาคือ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในการหลอมโอสถล้วนๆ และไม่มีคำพูดใดที่จะช่วยเพิ่มพูนขอบเขตพลังของเขาแม้แต่น้อย อักขระเต๋าของจอมปราชญ์เทพเหล่านั้น ไม่มีรอยประทับตราใดๆ ในตัวเขาเลย

หรือว่า เหล่าจื้อยังรู้สึกว่าเขาไม่มั่นคงที่จะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจินในตอนนี้ จึงอยากให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้น?

น่าจะเป็นเช่นนั้น!

เอาไว้ข้าค่อยทบทวนอีกครั้งหลังจากนี้จะดีกว่า หากข้าเข้าใจเรื่องทัณฑ์สวรรค์เซียนจินได้โดยตรงมากกว่านี้ ก็ย่อมจะดีที่สุด…

ความคิดเหล่านั้นแวบเข้ามาในใจของหลี่ฉางโซ่วอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในวังดุสิตก็ลืมตาขึ้นมา แต่เขาไม่เห็นร่องรอยของเหล่าจื้ออีกเลย

อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้ารอช้า เขารีบลุกขึ้นและออกจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว

มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นภายนอก…

ที่ด้านนอกวังดุสิต มังกรไม่ร้อง พยัคฆ์ไม่คำราม ไร้เสียงรบกวน ในขณะนั้น หนึ่งคน หนึ่งมังกรในขอบเขตเซียนเทียนกำลัง ‘ตะลุมบอน’ กันอยู่ที่หน้าประตูวังดุสิต

มันเป็นการต่อสู้กันอย่างแท้จริง ในขณะนั้น อ๋าวอี่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนร่างของเปี้ยนจวง เขาชกใบหน้าที่หล่อเหลาของเปี้ยนจวงอย่างหนักจนจมูกช้ำและหน้าบวม

เปี้ยนจวงร้องคำราม และเตะอ๋าวอี่กระเด็นขึ้นไปในอากาศแล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

“เจ้าชกหน้าข้า! พวกเราเป็นพี่น้องกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!”

กล่าวจบ เขาก็กระโดดขึ้น จับร่างของอ๋าวอี่แล้วเหวี่ยงหมัดใส่หน้าเพื่อแก้แค้นที่ต่อยหน้าเขา

อยากตายใช่หรือไม่?

เหตุใดพวกเจ้าถึงทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ต่อหน้าท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพเช่นนี้?!

เดี๋ยวก่อนนะ พี่น้อง?

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนและตกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเขาถูกปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพล้างสมอง

แต่เมื่อดูดีๆ แล้ว สองคนนี้ไม่ได้ใช้พลังเซียนจริงๆ ราวกับว่าพวกเขาเพียงแค่ดื่มเหล้าเมามายและ ระบายอารมณ์…

ที่ข้างๆ มีจอกสุราสองสามใบ มีจอบไม้ที่หักเป็นสองท่อนอยู่ไม่ไกลนัก ไกลออกไปมีโต๊ะเตี้ยที่ปลิวกระเด็นออกไป และไหสุราสองสามไหที่แตกกระจายไป…

สถานที่ที่พวกเขาต่อสู้ถูกปกคลุมไปด้วยอักขระเต๋าที่คุ้นเคย น่าจะเป็นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่ลงมือ ปกปิดการต่อสู้ระหว่างหนึ่งมนุษย์และหนึ่งมังกรนั้น

หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน

เกิดอะไรขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้?

คนหนึ่งเคยอยากต่อสู้และฆ่าอีกคนมาก่อนหน้านี้ในขณะที่อีกคนเคยตกหลุมรักอีกคนเมื่อเขาแต่งกายเป็นสตรี ตอนนี้พวกเขาเป็นพี่น้องกันแล้ว และยังคงทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง…

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกราวกับว่าศีรษะของเขากำลังจะระเบิด

ใจเย็นๆ สงบใจไว้ เรื่องไร้สาระในโลกนี้อยู่เหนือจินตนาการของข้าเสมอ

หลี่ฉางโซ่วเดินอย่างรวดเร็วและใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสั้นๆ นี้เพื่อตรวจสอบตัวเองทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

ร่างหลักของเขายังคงนั่งสมาธิและย่อยเต๋าแห่งการหลอมโอสถที่ยังเหลืออยู่ของจอมปราชญ์เทพ

เขาได้รับประโยชน์มากมายจากการมาที่วังดุสิตในครั้งนี้ เหล่าจื้อได้ชี้แนะเส้นทางกระจ่างในการปรับปรุงการหลอมโอสถของเขาจนเข้าถึงจุดสิ้นสุดของเต๋าแห่งการหลอมโอสถโดยตรง

ขณะนี้ โอสถวิญญาณหกแปรเปลี่ยนกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ส่วนโอสถทองคำเก้าแปรเปลี่ยนนั้น ก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว!

หลี่ฉางโซ่วแยกจิตออกเป็นสี่ส่วน เพื่อสังเกตสถานการณ์ของเผ่ามังกรในทั้งสี่คาบสมุทร ตรวจสอบคลังเก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และห้องโถงด้านหลังของวิหารเทพทะเลในเมืองอันสุ่ย และตรวจสอบสถานการณ์ของยอดเขาหยกน้อย รวมถึงสถานการณ์รอบๆ สำนัก

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ยังแยกจิตบางส่วน และจัดทรงผมของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เซียนชรานี้…

โชคดีที่ทุกอย่างมั่นคง และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสามปีที่ผ่านมานี้

แน่นอนว่า นี่นี่เป็นเพียงการสังเกตง่ายๆ เพื่อความปลอดภัย เขาต้องตรวจสอบอย่างละเอียดในภายหลังเพื่อแยกแยะข้อมูลที่หายไปในช่วงสามปีที่ผ่านมา…

ในขณะนี้ เขาเพ่งจิต พุ่งไปที่ประตูวังดุสิต

หลี่ฉางโซ่วเห็นเด็กชายสองคนของเหล่าจื้อที่นั่งห้อยเท้าอยู่บนกำแพง ในขณะนั้น ทั้งสองยังคงพึมพำกันเบาๆ ด้วยความสนใจยิ่ง “พวกเขาสองคนต่อสู้กันอย่างเลวร้ายมาก”

“พวกเราควรไปช่วยหรือไม่? ข้าจะช่วยเปี้ยนจวง ส่วนเจ้าก็ช่วยอ๋าวอี่? ”

“ก็ได้ เช่นนั้น ข้าจะช่วยอ๋าวอี่หยุดเจ้า ดูกำปั้นของข้าสิ!”

“เฮ้ ฝ่ามือแปดรูปลักษณ์เผาไม้หลอมทอง!”

พร้อมด้วยเสียงตะโกนเบาๆ สองสามครั้ง เด็กชายทั้งสองก็ปีนข้ามกำแพงไปที่สวนด้านหลัง และ… เข้าต่อสู้ตะลุมบอนกันอย่างรวดเร็ว

ช่างเป็นเด็กชายผู้รู้แจ้งแล้วที่ดูไม่ฉลาดนัก…

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ดูเด็กสองคนต่อสู้กันและรีบเดินออกจากประตูวังไป ทันใดนั้น เขาก็เห็นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังยืนอยู่หน้าประตูวังขณะมองไปที่อ๋าวอี่และเปี้ยนจวงที่กำลังต่อสู้กันเองอย่างสงบ

ก่อนหน้านี้ สัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วไม่ได้จับการดำรงอยู่ของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เลย

ขอบเขตพลังของเขาถูกเปิดเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ตื่นแล้วหรือ? เจ้าก้าวหน้าไปเพียงใด?”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถามพร้อมเผยรอยยิ้ม

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เต๋าแห่งการหลอมโอสถของเหล่าจื้อกว้างใหญ่และลึกซึ้ง ยิ่งนัก ศิษย์ยังต้องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนรอบคอบ มันย่อมจะยังประโยชน์ให้ศิษย์นำไปใช้ได้ตลอดชั่วชีวิตขอรับ”

“เฮ้อ เหล่าจื้อเป็นร่างจำแลงของท่านอาจารย์ที่มีลักษณะนิสัยเฉกเช่นเดียวกันกับท่านอาจารย์” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวพร้อมกับยิ้มแหยๆ “ทุกอย่างล้วนเรียบง่ายไม่เคยซับซ้อน ในตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ยังอยู่หมดสติไปกว่าครึ่งวันเช่นกัน มันย่อมยากสำหรับเจ้า”

“ศิษย์ไม่กล้าแอบคาดเดาถึงขอบเขตพลังของท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพเลย แต่บางที นี่นี่อาจเป็นหลักการแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ที่เรียบง่าย…”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อดหัวเราะออกมาไม่ได้

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไม่กล้ากล่าวมากความ เขาเกือบจะโพล่งถึงคำว่า ‘เกียจคร้าน’ ออกไปแล้ว

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เชิดคางขึ้นและถามว่า “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้เล่า?”

“ศิษย์ก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกันขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ศิษย์จะหยุดพวกเขา มันไม่เหมาะสมจริงๆ ที่พวกเขาจะมาต่อสู้กันหน้าวังดุสิตเช่นนี้!”

“เฮ้อ ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะไปกันสักพักเถิด” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มพลางหรี่ตาลงอีกครั้งและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นการต่อสู้สุดยอดที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ต้องห่วง เหล่าจื้อออกไปบำเพ็ญเพียรแล้ว ตอนนี้พวกเราใหญ่สุดในวังดุสิต”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน

ในเมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อยากดู เช่นนั้น ข้าก็จะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันต่อไป

“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์จะใช้ร่างจำแลงเพื่อดูสถานการณ์ของเผ่ามังกรก่อน ศิษย์ไม่ได้ดูแลเรื่องนี้มาสามปีแล้ว หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น”

“ดี” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แย้มยิ้มพลางพยักหน้าพร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววชื่นชมเต็มเปี่ยม

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มเคลื่อนย้ายจิตไปตรวจสอบอย่างครอบคลุมทั่วทุกที่

ในหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย บัดนี้ เหลือเพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วอยู่เท่านั้น

ในขณะนั้น สามเทพธิดาน้อยและกึ่งเซียนที่ต้องการกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเขา ได้กลับมาที่ทะเลสาบเพื่อย่างสัตว์วิญญาณที่เลี้ยงมาเองต่อไป

พวกนางกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างเบิกบานใจราวกับว่าเมื่อครู่ก่อนนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…

ครึ่งชั่วยามต่อมา

เปี้ยนจวงและอ๋าวอี่ก็เหนื่อยจากการต่อสู้เช่นกัน พวกเขาทั้งคู่นอนอยู่บนก้อนเมฆ แต่ละคนล้วนมีจมูกฟกช้ำและหน้าบวมปูดในขณะที่หายใจหอบอย่างหนัก

เมื่อเห็นความตื่นเต้นมามากพอแล้ว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็หันไปทางวัง และสั่งสอนเด็กชายจินและเด็กชายหยินทั้งคู่ ที่กำลังเอะอะโวยวาย

หลี่ฉางโซ่วมีใบหน้ามืดมน และคลื่นพลังเซียนสองสายก็กลายเป็นโซ่มัดร่างของอ๋าวอี่และเปี้ยนจวงทันที แล้วลากพวกเขาไปที่ด้านหน้าของวังดุสิต

“พวกเจ้าสองคนรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? จงเปิดตาดูเสีย!”

หลี่ฉางโซ่วตะโกนออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งหนึ่งคนและหนึ่งมังกรก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายโลหะแนวตั้งที่อยู่เหนือประตูอย่างกะทันหัน บัดนั้น อักขระใหญ่สามตัวของคำว่า ‘วังดุสิต’ ก็เปล่งแสงสีทองออกมา ทำให้พวกเขาล้วนสั่นเทาอย่างพร้อมเพรียงกันและความบ้าคลั่งของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างมากในทันที

“เหอะ!”

หลี่ฉางโซวขมวดคิ้วและคลายโซ่ตรวนบนร่างของทั้งสองคนและถามว่า “อ๋าวอี่ เหตุใดเจ้าถึงก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้?”

“ศิษย์พี่… ศิษย์พี่เจ้าสำนัก…”

อ๋าวอี่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและสำนึกผิด ทว่าเขามองไปที่เปี้ยนจวงอย่างโกรธแค้นและก่นด่าว่า “เจ้าสารเลวผู้นี้ ไร้ยางอายอย่างที่สุด! เมื่อครู่นี้ เขาบอกว่าเขาชมชอบแม่นางเข่อเล่อเอ๋อร์! แล้วในตอนนี้ เขาก็ชื่นชม พร่ำเพ้อถึงเทพธิดาในสระหยก! ขะ-ข้าจึงอยากจะสั่งสอนบทเรียนดีๆ ให้เขาจริงๆ!”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “แล้วนั่นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ? ไยต้องเร่งร้อนอะไรปานนี้?”

“อืม?” อ๋าวอี่กะพริบตาในตอนแรก ทันใดนั้นก็ได้สติและรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ก็จริงขอรับ ไม่ต้องเร่งร้อน เพราะเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของข้าเลยจริงๆ”

เปี้ยนจวงที่อยู่ข้างๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ แม้จมูกของเขาจะฟกช้ำเป็นสีเขียวและใบหน้าบวมเป่ง แต่เขาไม่ก็ยังลืมตาขึ้นได้ และยังคงกล่าวอย่างรักใคร่ว่า “แม่นางเข่อเล่อเอ๋อร์ถูกลิขิตให้เป็นเพียงแค่ความฝันแสนหวานของข้าเท่านั้น ข้าเดินผ่านนางไปท่ามกลางทะเลแห่งผู้คนมากมาย เราไม่เคยมีกันและกัน ทว่ายังคงตราตรึงอยู่ในใจกันและกัน ไม่ลืมเลือน ข้าเพียงแค่ตัดสินใจตามหาสตรีที่ข้าต้องการด้วยความปรารถนาดีที่แม่นางเข่อเล่อเอ๋อร์มีให้ข้า แล้วผิดหรือ? ไม่ได้หรือ?”

………………………………………………………………..