บทที่ 468 เมื่อไหร่กันหนอที่นางจะคิดได้?
บทที่ 468 เมื่อไหร่กันหนอที่นางจะคิดได้?
เหยาเอ้อหลางตบไหล่ของเจี่ยงเถิงจนเกิดเสียงดัง ‘เพียะ’ ทำให้เจี่ยงเถิงที่กำลังหลับตาเก็บแรงด้วยฤทธิ์ของสุราต้องลืมตาโพลงฉับพลัน
“เจี่ยงเถิง มานี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
เหยาเอ้อหลางพูดไม่ค่อยชัดนัก
“พี่รอง พี่เมาเละเทะเพียงนี้ยังมีหน้าจะคุยกับอาเถิงอีกหรือ?”
หลินซือได้ยินก็คิดว่าแรงฝ่ามือที่เหยาเอ้อหลางฟาดบนไหล่ของเจี่ยงเถิงคงหนักมาก จึงกลัวว่าเหยาเอ้อหลางที่ดื่มจนเมาตั้งใจจะหาเรื่องเจี่ยงเถิง นางจึงเข้าไปดึงตัวเขาด้วยศิลปะป้องกันตัวอะไรสักอย่าง และรุดหน้าเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว
เหยาเอ้อหลางบีบไหล่ของเจี่ยงเถิง แล้วออกจากห้องโถงกลางไปเพียงลำพัง
“เอ้อเป่า เขายังไม่เมา ข้ารู้แก่ใจดี”
หลังจากที่เจี่ยงเถิงปลอบใจหลินซือแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินตามไปยังทิศทางของเหยาเอ้อหลาง
ครั้นทั้งสองคนออกจากห้องโถงกลางแล้ว ก็เดินมายังระเบียงทางเดินด้านหลัง
สายลมในยามราตรีพัดโชยเข้ามา เหยาเอ้อหลางเอนกายพิงราวกั้นของระเบียง พลางผ่อนลมหายใจยาว ๆ
จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็รู้สึกถึงกลิ่นสุราที่คละคลุ้งอยู่โดยรอบเป็นจำนวนมาก
“เจ้าเดินไหวหรือไม่?” เจี่ยงเถิงเดินมาตรงหน้าของเหยาเอ้อหลาง “วันนี้ดื่มไปไม่น้อย มีอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้เถิด”
“ช่วงนี้เจ้าไม่ไปศาลาว่าการหรือ?” เหยาเอ้อหลางรู้สึกประหลาดใจมานานแล้ว
แม้ว่าช่วงนี้อีกฝ่ายจะค่อนข้างว่างมาก วันนี้เจี่ยงเถิงได้ละทิ้งภาระหน้าที่แล้วติดตามหลินซือที่ไม่ได้ออกจากบ้านนานแล้ว
ออกไปท่องเที่ยวก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เขาก็ยังนั่งว่างทั้งวันโดยไม่ทำสิ่งใด เรียกได้ว่าไร้ประโยชน์เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับเจี่ยงเถิงผู้ที่กระตือรือร้นในการทำงาน
“ข้าถูกพักราชการหนึ่งเดือน”
เจี่ยงเถิงเล่าเรื่องขององค์รัชทายาทจนหมดเปลือกภายใต้สายตาตกตะลึงของเหยาเอ้อหลาง
“เจ้านี่มัน เสี่ยงอันตรายจริง ๆ” เหยาเอ้อหลางกลั้วหัวเราะอย่างประหลาดใจ “หากตอนนี้เจ้าทำสำเร็จ เส้นทางข้างหน้าของเจ้าต้องดีมากแน่นอน”
“มีใต้เท้าเซี่ยจับตามองอยู่ คงพลาดไม่ได้”
“นั่นสินะ” เหยาเอ้อหลางพยักหน้า “แต่เรื่องที่เจ้าทำ ซานเป่าต้องโกรธเจ้ามากแน่ ๆ”
เจี่ยงเถิงยิ้มอย่างลำบากใจ เหยาเอ้อหลางจึงเข้าใจ “แม้ว่าญาติผู้น้องของข้าจะไม่ใช่ผู้ที่หลงใหลในอำนาจและเงินทองแบบนั้น แต่ในเมื่อเจ้าอยากทำ เหล่าพี่น้องก็คงจะพูดมากความไม่ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว ยังต้องเหลือทางหนีทีไล่ที่ดีให้ตัวเองด้วย”
ครู่หนึ่งเหยาเอ้อหลางก็ถามด้วยความไม่เข้าใจ “อีกอย่าง เมื่อครู่ข้าคล้ายจะได้ยินท่านอาเขยกับใต้เท้าเซี่ยเอ่ยถึงเรื่องเอ้อเป่าและองค์รัชทายาท เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เจี่ยงเถิงเกิดความลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดความจริง “องค์รัชทายาทปรารถนาให้เอ้อเป่าเป็นพระชายาของเขา”
เหยาเอ้อหลางสบถออกมาอย่างอดไม่ได้ “องค์รัชทายาทยังวัยเยาว์เพียงนั้นแต่กลับมีความคิดที่ลึกซึ้งเพียงนี้ จะดึงจวนแม่ทัพมาเป็นพวกเดียวกันน่ะสิ? มันจำเป็นนักหรือ? ต้าเยี่ยนก็มีเขาเป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียว ขอแค่เขาไม่ทำเรื่องที่หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์อะไรทำนองนั้น อีกหนึ่งร้อยปีตำแหน่งจักรพรรดิอย่างไรก็ต้องเป็นของเขา ฝ่าบาทจะทรงปล่อยให้เขาก่อความวุ่นวายเช่นนี้หรือ?”
“ไม่ใช่ หากองค์รัชทายาทคิดเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ต้องปวดหัวถึงเพียงนั้น”
เจี่ยงเถิงส่ายหน้า เหยาเอ้อหลางเติบโตมาเหมือนกับเหยาเฉาพ่อแท้ ๆ ของเขา แต่ค่อนข้างคล้ำกว่าผู้เป็นพ่อนัก
ทว่ากลับไม่สามารถปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลาที่สร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอ้อเป่ามีความคล้ายคลึงกับเหยาเอ้อหลางไม่น้อย
เจี่ยงเถิงดึงสติกลับมา “เขาเหมือนจะชอบเอ้อเป่าจริง ๆ”
เหยาเอ้อหลางตื่นตกใจเข้าไปใหญ่ “ตอนนี้องค์รัชทายาทเพิ่งจะมีอายุเท่าไรเอง เขารู้จักแล้วหรือว่าอะไรที่เรียกว่าชอบ?”
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ แต่โชคดีที่เอ้อเป่าน่าจะยังไม่ทันสังเกตเห็น ข้าจึงทำได้เพียงให้พวกเขาเจอกันน้อยที่สุด มิเช่นนั้นหากองค์รัชทายาทหลงใหลขึ้นมาจริง ๆ มันจะยิ่งยุ่งกันเข้าไปใหญ่”
เหยาเอ้อหลางกลั้วหัวเราะด้วยความประหลาดใจ “ข้าต้องเข้าวังไปเยี่ยมเยือนองค์รัชทายาทเสียหน่อยว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง”
“เจ้าก็อย่าเกินไปสิ”
ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเหยาเอ้อหลางก็ยิ่งปวดหัวหนัก “เช่นนี้มีแต่จะทำให้องค์รัชทายาททรงขุ่นเคืองเป็นการส่วนตัวกับข้าเสียเปล่า ๆ ตัวองค์รัชทายาทเองยังพอมีคุณสมบัติของการเป็นนายที่มีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง”
เหยาเอ้อหลางโบกมือไปมา แล้วกล่าวว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเข้าพบองค์รัชทายาท เพราะข้าเป็นขุนนางของเขา จะทำสิ่งใดได้เล่า?”
“เจ้ารู้ก็ดี” เจี่ยงเถิงเห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายของอีกฝ่าย แม้ว่าปากจะบอกว่าดี แต่ความจริงแล้วในใจกลับยังกังวลไม่สิ้นสุด
“วางใจเถอะ” เหยาเอ้อหลางรุดหน้าเข้าไปโอบไหล่ของเจี่ยงเถิง แล้วลากเขากลับเข้าไปในห้องโถงกลาง “ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะทำอะไร พี่น้องล้วนยืนข้างเจ้าเสมอ ไม่มีวันทรยศแน่นอน!”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้” เจี่ยงเถิงถูกเหยาเอ้อหลางกดหลังจนไม่สามารถยืดตัวตรงได้ จึงได้แต่พูดด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม
เหยาเอ้อหลางไม่ได้ยินชั่วคราว ทั้งสองคนกอดคอกันเดินกลับไป
เหยาเอ้อหลางพาเจี่ยงเถิงมายังตรงหน้าของหลินซือ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เอ้อเป่า เจ้าจะกังวลอะไร? เจ้าดูสิ เขากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วไม่ใช่รึ?”
หลินซือดึงตัวของเจี่ยงเถิงเข้ามามองพิจารณาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า พาให้เหยาซูที่บังเอิญมองมาทางนี้อดหัวเราะไม่ได้
พี่สะใภ้รองเหยานั่งลงข้างกายสะใภ้ใหญ่ที่กำลังกอดเหยาผิงอยู่ในอ้อมแขน พลางเอ่ยอย่างเบิกบานใจ “เอ้อหลางยิ่งโตยิ่งใจแคบนะ”
ตอนเด็กว่าน่ารำคาญใจแล้ว ตอนนี้กลับน่ารำคาญใจยิ่งกว่าเดิม
สะใภ้ใหญ่เหยาก็อดขำไม่ได้เช่นกัน “อาซู รีบไปดูเถิด”
เหยาซูยิ้มบาง ๆ ก่อนลุกขึ้น
“เอ้อหลาง วุ่นมาทั้งวันแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เหยาซูตีแขนของเหยาเอ้อหลางหนึ่งที “ในครัวมีน้ำแกงแก้เมาค้างที่เตรียมไว้ให้เจ้า ก่อนจะกลับก็อย่าลืมดื่มมันสักถ้วยล่ะ มิเช่นนั้นพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วปวดหัวเป็นแน่”
“เข้าใจแล้วขอรับท่านอา แต่ข้าหนังหนาน่าจะไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ อาจื้อเมากว่าข้าอีก ท่านอาต้องดูแลเขาให้ดี ๆ นะขอรับ”
ขณะที่เหยาเอ้อหลางพูด สายตาก็ได้เหลือบไปมองอาจื้อที่อยู่ด้านหลังเหยาซูโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าก็พลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “จะว่าไปแล้ว ท่านอา เมื่อไหร่อาจื้อและคุณหนูตระกูลไป๋จะแต่งงานกันเล่า?”
ครั้นอาจื้อได้ยิน นิ้วมือก็สั่นระริก
เหยาซูคลี่ยิ้มพลางก่นด่า “เจ้านี่ฝีปากกล้าจริง ๆ”
หลินเหราเดินเข้ามา แล้วพูดกับเหยาเอ้อหลางว่า “ท่านอาเว่ยของเจ้าเรียกเจ้าเข้าไปพักผ่อนแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน”
เหยาเอ้อหลางให้ความเคารพต่อหลินเหรามาก จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเสียงดัง “ลาก่อนขอรับท่านอาเขย!”
นัยน์ตาอันลึกล้ำของหลินเหราแฝงไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตบไหล่ของเหยาเอ้อหลาง และพาครอบครัวจากไป
หลินซือเดินตามออกไปจนถึงประตูบ้าน แต่จู่ ๆ พูดกับเหยาซูสองสามประโยค แล้วหมุนตัววิ่งกลับไปข้างกายเจี่ยงเถิง
“พี่อาเถิง พี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินซือมองไปยังใบหน้าของเจี่ยงเถิงด้วยความเป็นห่วง
เจี่ยงเถิงดื่มสุราจนใบหน้าร้อนผ่าว แม้ว่าเขาจะดื่มไปไม่มากนัก แต่หน้ากลับแดงเถือก ดูเหมือนถูกล้มทับอย่างไรอย่างนั้น
หากในวันปกติ เจี่ยงเถิงจะต้องคาดหวังที่จะได้อยู่กับหลินซืออีกครู่หนึ่งแน่นอน แต่ตอนนี้ลุงหลินจ้องเขม็งอย่างไม่ละสายตา
เจี่ยงเถิงทำได้แค่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าดื่มไม่เยอะเท่าไร”
“แต่ข้าว่าสีหน้าท่านไม่ดีเลยเชียว” หลินซือขมวดคิ้วพลางยื่นมือออกไปจะแตะใบหน้าของเจี่ยงเถิง แต่เจี่ยงเถิงกลับเบี่ยงตัว
แม้ว่ามือของหลินซือจะยังไม่ได้แตะโดนตัวเอง แต่เจี่ยงเถิงกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวกว่าเดิม
โชคดีที่ตอนนี้หน้าแดงเพราะดื่มสุรา มิเช่นนั้นจะต้องอับอายขายขี้หน้าอย่างแน่นอน
“เอ้อเป่า ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ นะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วเจ้ารีบกลับไปเถอะ อย่าให้ที่บ้านต้องเป็นห่วงเลย”
เจี่ยงเถิงผลักหลินซือให้เดินออกไปข้างนอก “ท่านอาเว่ยเตรียมรถม้าให้ข้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่เชื่อว่าท่านอาเว่ยปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือ?”
“ไม่ใช่แน่นอน ท่านอาเว่ยปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์” หลินซือพูดเสียงเบา
“กลับไปเถอะ” เจี่ยงเถิงตบหลังของอาซืออย่างแผ่วเบา จากนั้นนางก็เดินกลับเข้าไปในจวนแม่ทัพ
เหยาซูยืนรอลูกสาวอยู่ไม่ไกลนัก
ในที่ไม่ไกลนักคือรถม้าที่เสี่ยวเว่ยจัดเตรียมไว้ให้เจี่ยงเถิง หลินซือรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล จึงได้จากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
เหยาซูเห็นลูกสาวมีท่าทางไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเช่นนี้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อไรกันหนอที่นางจะคิดได้?
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาซือเอ๊ย หนูรู้ตัวได้แล้วลูกว่าใครชอบตัวเองบ้าง ไม่ชัดเจนแบบนี้เดี๋ยวมีคนเจ็บสองคนนะ
ไหหม่า(海馬)