บทที่ 469 เปิดร้าน
บทที่ 469 เปิดร้าน
ในช่วงนี้หลินซือยุ่งจนตัวเป็นเกลียว สาเหตุหลักเป็นเพราะเหยาเอ้อหลางรู้เรื่องที่นางจะเปิดร้าน ดังนั้นจึงถือโอกาสในช่วงที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงไม่มีสิ่งใดทำจึงมาช่วยงานญาติผู้น้อง
ส่วนเจี่ยงเถิงที่ถูกพักราชการหนึ่งเดือน ยามไม่มีเรื่องให้กลุ้มใจ เขาก็มักจะไปช่วยงานในจวนท่านแม่ทัพทุกวัน เทียบกับแต่ก่อนถือว่าตรงเวลามาก
…
“พี่ไป๋ พี่ว่าตู้วางสินค้าทั้งสองรูปแบบนี้ แบบใดดีกว่ากัน?”
หลินซือหยิบกระดาษวาดรูปสองแผ่นออกมาด้วยความกลุ้มใจจนผมเผ้ายุ่งเหยิง “พี่ดูนี่สิ มันสูงเกินไปใช่หรือไม่ ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่เป็นสตรี เช่นนี้คงไม่สะดวกแน่ แต่ตู้นี้ก็งดงามไม่แพ้กัน แล้วก็ตู้นี้ขนาดอะไร ๆ ก็ล้วนได้มาตรฐาน ความสูงก็ได้มาตรฐาน เราเป็นร้านเปิดใหม่ เศรษฐีมีเงินเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมกับร้านของเราสักเท่าไร”
ไป๋หรูปิงหยิบกระดาษวาดรูปนั้นขึ้นมา แล้วเพ่งพินิจอยู่ครู่ใหญ่
จังหวะนั้นเองเหยาเอ้อหลางแบกตู้ขนาดเล็กใบหนึ่งเข้ามาพอดี จึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนเลยยื่นหน้าเข้าไปมอง แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไปเพราะไม่เห็นถึงความแตกต่าง
“ความสูงของทั้งสองตู้ก็เท่ากันนี่” เหยาเอ้อหลางขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “ต่อให้ดูอย่างไรก็ไม่เห็นความต่าง”
“ตรงไหนที่เหมือนกัน!”หลินซือยื่นมือออกไปจิ้มปึก ๆ ๆ หลายตำแหน่ง “พี่ดูตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ล้วนแต่ไม่เหมือนกัน”
“ก็ข้าเห็นมันเหมือนกัน”
ครั้นเหยาเอ้อหลางพูดจบ ก็เห็นหลินซือและไป๋หรูปิงมองตัวเองด้วยสายตาโง่เขลาเหมือนกัน จึงร้องเรียกเจี่ยงเถิง “เจี่ยงเถิง เจ้าดูสิ มันเหมือนกันไหม?”
เมื่อสิ้นสุดเสียง เหยาเอ้อหลางก็ถูกเจี่ยงเถิงคว้าคอเสื้อลากตัวออกไป
“ไม่ใช่ร้านที่เจ้าเปิด เอ้อเป่าบอกว่าไม่เหมือนกันก็คือไม่เหมือนกัน”
“เอาละ เอาละ ลืมไปเลยว่าเจ้ากับเอ้อเป่ามันพวกเดียวกัน”
เหยาเอ้อหลางโบกมือไปมา แล้วตามเจี่ยงเถิงเข้าไปจัดการกับบัญชี
ร้านค้าแห่งนี้ถูกตกแต่งเกือบสมบูรณ์แล้ว การวางตู้วางสินค้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย หลินซือจมอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายนี้มาสองวันแล้ว
ในที่สุดพลบค่ำของวันนี้ก็ตัดสินใจได้ ซื้อตู้ที่ดูธรรมดาใบนั้น คนกลุ่มนี้จึงรีบจ่ายเงินค่ามัดจำก่อนที่ร้านจะปิด
ระหว่างทางกลับ หลินซือกลับดูไม่ดีใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามยังทอดถอนใจออกมา
“เป็นอะไรไปเอ้อเป่า มีเรื่องไหนที่ไม่พอใจอีกหรือ?” เจี่ยงเถิงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“หลังจากที่ข้าซื้อตู้นี้มา กลับรู้สึกว่าอีกตู้มันดีกว่า”
หลินซือใช้นิ้วคำนวณจุดเด่นของอีกตู้
“น้องข้า เจ้าอย่ากังวลไปเลย” เหยาเอ้อหลางรีบเอ่ยขึ้น “ข้าช่วยซื้ออีกตู้ให้เจ้าได้นะ ต่อไปก็แบ่งกัน วันคี่ใช้ตู้นี้ อีกวันใช้ตู้นี้ แบบนี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?”
“พี่ข้าก็ช่างขบขันนัก มีอย่างที่ไหนเปลี่ยนตู้กลับไปกลับมา” หลินซือกลอกตา
นั่นทำให้เหยาเอ้อหลางหยุดชะงักไป ความรู้สึกที่ลังเลตัดสินใจไม่ได้ของหลินซือก็สงบลงไม่น้อย ในเมื่อซื้อแล้วคงจะเปลี่ยนวันต่อวันอย่างที่เหยาเอ้อหลางพูดไม่ได้
ครั้นตัดสินใจเรื่องสุดท้ายแล้ว งานในลำดับต่อไปคงจะผ่อนคลายลงมากทีเดียว
การวางสินค้า ทำความสะอาดร้านค้า เหยาซูมองดูบุตรสาวที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจมาจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก็อดไม่ได้มาช่วยวางแผนการประกาศบางส่วน ร้านค้าของหลินซือจึงได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าร้านแห่งนี้จะเปิดร่วมกันระหว่างหลินซือและไป๋หรูปิง แต่สถานะของพวกนางยามอยู่ที่นั้น คงจะไปนั่งเฝ้าร้านด้วยตัวเองไม่ได้
เพราะเหตุนี้เหยาซูจึงหาลูกจ้างที่เชื่อถือได้มาดำรงตำแหน่งเถ้าแก่ให้แก่พวกนางชั่วคราวหนึ่งคน ในวันที่เปิดร้านพวกนางสองคนพักอยู่ในโรงน้ำชาที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อเฝ้าดูปริมาณของลูกค้าที่เข้าร้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง
การที่พวกนางเลือกเปิดร้านขายหยกถือว่าเป็นความคิดที่เฉลียวฉลาดมาก
ด้วยเหตุที่ว่ามีร้านหยกอวี้หยวนอยู่ข้าง ๆ ทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่กล้าเปิด แต่ตราบใดที่เจอลู่ทางที่ถูกต้อง ร้านขายหยกจึงกลายเป็นตัวชูโรง
หลังจากเดินเตร่อยู่ในร้านหยกอวี้หยวนหนึ่งรอบ คนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกว่ามันมีราคาสูงเกินไป ครั้นเดินออกมาก็จะเจอกับร้านหยกอวี้ฝูของหลินซือและไป๋หรูปิงจึงพากันเดินเข้าไปดู คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นความต่างของหยก หลังจากเดินดูกันพอสมควรแล้ว ก็พบว่าราคาของมันค่อนข้างถูกมาก มีหลายคนยอมกัดฟันซื้อกลับไป
สำหรับเหยาซู พวกนางเป็นบริโภคนิยมยุคใหม่
ร้านหยกอวี้หยวนเป็นร้านที่มีความหรูหราค่อนข้างสูง มีคนเข้าไปดูเป็นจำนวนมากแต่คนซื้อกลับมีเพียงไม่กี่คน แต่สิ่งที่หลินซือและไป๋หรูปิงทำคือความหรูหราที่จับต้องได้ กำหนดราคาไว้พอดีไม่ต่ำเกินไป แต่ก็พอจะกัดฟันซื้อกลับไปได้ ทั้งยังเพราะทำเลที่ตั้งทำให้เกิดช่องว่างทางราคากับร้านหยกอวี้หยวน
มีหลายคนที่ได้เปรียบ ซื้อกลับไปเพราะคิดว่ามันถูก
วันแรกของการเปิดร้าน เหยาซูและเจี่ยงฉีพากันไปร้านหยกอวี้ฝูอีกด้านหนึ่ง
ครั้นเจี่ยงฉีเห็นกลุ่มคนเดินเข้าออกร้านอย่างไม่ขาดสาย ก็พูดด้วยความโล่งอก “สมแล้วที่เป็นลูกของอาซู เอ้อเป่ามีหัวทางการค้าไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเลย”
“แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ยังต้องดูว่าหลังจากนี้เอ้อเป่าและหรูปิงจะบริหารร้านอย่างไร”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหยาซูก็อดหัวเราะไม่ได้ “แต่ข้ากลับคาดหวังวันที่เอ้อเป่าจะเป็นดั่งลูกศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์”
หลินซือมองไปยังกลุ่มคนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็อดยิ้มอย่างพึงพอใจไม่ได้ จากนั้นก็ลากตัวไป๋หรูปิงมาดูสถานการณ์ภายในร้านจากหน้าต่าง
“พี่ไป๋ ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนเยอะเพียงนี้”
ใบหน้าของหลินซือแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ต่อให้ปิดหน้า ก็ยังเห็นรอยยิ้มนั้นสะท้อนออกมาจากแววตาคู่นั้น
“ข้าเองก็คิดไม่ถึง”
ไป๋หรูปิงเก็บอาการได้ดีกว่าหลินซือ พลางลูบหน้าอกปลอบใจตัวเอง ถึงอย่างไรภายนอกความเป็นสง่าราศีก็ยังต้องมี “แต่อาจจะเป็นเพราะวันนี้มีส่วนลดเปิดร้านใหม่ ดังนั้นคนถึงได้มากมายเพียงนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรคงต้องดูคุณภาพสินค้าของเรา”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลินซือพยักหน้า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้มเลิกความพยายาม ต่อไปเรายิ่งต้องขยันมากกว่าเดิม! พยายามไล่ตามท่านแม่ให้ทัน!”
“เอ้อเป่า ความปรารถนาของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก”
จู่ ๆ ประตูห้องรับรองก็ถูกผลักออก เจี่ยงเถิงยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่หน้าประตูกับเหยาเอ้อหลาง มือของเหยาเอ้อหลางที่ผลักประตูนั้นยังไม่ได้ดึงกลับแต่อย่างใด
แต่วันนี้หลินซือเบิกบานใจ ไม่ถือสาที่พวกเขาไม่เคาะประตู ทั้งยังเชิญพวกเขาเข้ามานั่งอย่างมีความสุขด้วย
“ข้าแค่บอกว่าพยายาม เข้าใจคำว่าพยายามไหมเล่า”
หลินซือพูดคุยกับพวกเขา แต่สายตายังจับจ้องไปยังนอกหน้าต่าง
“มีเป้าหมายก็ดี”
เจี่ยงเถิงเองก็ดีใจไปกับหลินซือด้วย จึงได้เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ดี ๆ เหอะ เอ้อเป้าพูดอะไรเจ้าก็ว่าดีทั้งนั้น” เหยาเอ้อหลางหาเรื่องให้ลำบากใจ “นี่ก็ผ่านไปสองปีแล้ว พวกเจ้าสองคนตัวติดกันยิ่งกว่าตังเม เอ้อเป่าก็ใกล้จะต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ข้าว่าไม่ต้องไป ๆ กลับ ๆ หรอก พวกเจ้าสองคนก็อยู่ด้วยกันไปเลยสิ”
“พูดอะไรเช่นนั้น”
หลินซือคว้าจอกน้ำชาของเหยาเอ้อหลางอย่างไวว่อง “เราเป็นพี่น้องต่างพ่อต่างแม่กัน!”
“หือ? ใช่รึ?”
เหยาเอ้อหลางยิ้มในทีพลางมองไปทางเจี่ยงเถิง ส่วนเจี่ยงเถิงได้แต่โบกมือให้เขาอย่างจนปัญญา
หลินซือหันกลับไปยังหน้าต่างอีกครั้ง แม้ว่าแวบแรกจะเฝ้าดูร้านของตัวเอง ทว่าความจริงแล้วสายตากลับไม่ได้มองสิ่งตรงหน้า
หลินซือแอบข่มหัวใจที่เต้นเร็วรัวอย่างเงียบ ๆ ในใจของนางที่อยากจะเอาตัวเหยาเอ้อหลางมาทิ่มแทงเสียให้ตาย แต่สมองกลับคิดตามอย่างควบคุมไม่ได้
หากวันหนึ่งตัวเองใช้ชีวิตอยู่กับพี่อาเถิงจริง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร?
มันคงจะดีไม่น้อยสินะ
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดออกมา มันก็พาให้หลินซือตื่นตกใจไม่น้อย จนต้องรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป
อาซือไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้อีก รีบเรียกไป๋หรูปิงมาคุยเรื่องกิจการหลังจากนี้ต่อไป
ตอนนี้เจี่ยงเถิงมีเพียงความคิดเดียว ‘ลากเหยาเอ้อหลางออกไปแล้วโบยสักฉาก’
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาซือสมกับเป็นลูกอาซู อีกไม่นานน่าจะตามทันแม่ได้แล้ว
เริ่มรู้ตัวแล้วใช่ไหมคะว่าชอบพี่อาเถิง
ไหหม่า(海馬)