สีหน้าขององค์หญิงฝูชิงดูซีดหมอง นางเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของฮองเฮา “เสด็จแม่เพคะ…”
ฮองเฮารู้สึกว่าการแสดงช่างเหนื่อยกว่าการดูแลวังหลังเสียอีก นางหันไปตบที่หลังมือขององค์หญิงฝูชิงอย่างหมดเรี่ยวแรง “อาเฉวียนไม่จำเป็นต้องกังวลไป สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ประเดี๋ยวก็คืนดีกันแล้ว การทะเลาะเบาะแว้งเพียงเล็กน้อยไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ใด”
องค์หญิงฝูชิงเอนกายเข้ามาข้างฮองเฮา เม้มริมฝีปากกล่าวว่า “แต่เสด็จพ่อเป็นกษัตริย์ของประเทศนี้”
ฮองเฮาแสดงรอยยิ้มออกมาเป็นความปลอบโยน “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเจ้า”
เมื่อคิดถึงความรักของเสด็จพ่อที่มีต่อนางตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์หญิงฝูชิงก็รู้สึกวางใจลงเล็กน้อยก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เสด็จแม่เพคะ ทรงรังเกียจน้องสิบสี่จริงหรือ”
ฮองเฮายิ้มขึ้นแล้วตรัสว่า “ฝูชิงเล่า”
องค์หญิงฝูชิงส่ายหน้า “ลูกไม่รังเกียจนาง ในทางกลับกันลูกคิดว่าน้องสิบสี่น่าสงสารยิ่งนัก”
“งั้นหรือ”
“การที่พ่อแม่ติดหนี้จะต้องให้บุตรเป็นผู้ชดใช้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่น้องสิบสี่ไม่รู้เรื่องใดด้วย มีประโยคหนึ่งที่ว่าผู้ไม่รู้ไม่ผิดมิใช่หรือเพคะ” องค์หญิงฝูชิงแม้ริมฝีปากของตน “เสด็จพ่อต้องการให้น้องสิบสี่เป็นองค์หญิงสายตรง ลูกเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด เสด็จแม่ไม่จำเป็นจะต้องนำเรื่องนี้มาทะเลาะเบาะแว้งกับเสด็จพ่อ สร้างความลำบากใจต่อกันเช่นนี้…”
ฮองเฮาลูบไปที่ศีรษะขององค์หญิงฝูชิงด้วยท่าทางเอ็นดู “เจ้าลูกคนนี้ รู้จักเป็นห่วงเป็นใยผู้ใหญ่แล้ว เอาเถิด กินข้าวก่อนเถิด เรื่องนี้แม่เองรู้ดีว่าควรทำเช่นไร”
เมื่อเห็นว่าฮองเฮาตรัสเช่นนั้น องค์หญิงฝูชิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งรับประทานอาหารของนาง
ฮองเฮามองไปยังธิดาของตนแล้วรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
องค์หญิงฝูชิงเป็นคนอารมณ์ดีและจิตใจเมตตา ด้วยนิสัยเช่นนี้อาจจะถูกรังแกเอาง่ายๆ แต่นางเชื่อเหลือเกินว่าการที่ธิดาของนางเป็นเช่นนี้นับว่าโชคดีเหลือเกิน
บรรดาเด็กหญิงในครอบครัวยากจนจำเป็นต้องใช้แรงอย่างมากในการปีนขึ้นไปด้านบน แต่อาเฉวียนเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า ต่อให้นางจะนิสัยดีและโอบอ้อมอารีเพียงใดก็ไม่มีใครกล้าทำให้นางต้องขุ่นเคือง
ด้วยนิสัยเช่นนี้ของอาเฉวียน ในอนาคตคาดว่าคงจะเข้ากันกับพระสวามีของนางได้เป็นอย่างดี
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฮองเฮาก็นึกถึงคนบางคนขึ้นมาได้ มุมปากของนางก็ยิ้มเยาะเย้ย
อย่าได้เป็นเช่นองค์หญิงหรงหยางเลย นางคิดว่าด้วยสถานะอันสูงส่งของตนจะสามารถทำทุกสิ่งอย่างได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่ทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น
หลังจากที่องค์หญิงฝูชิงเดินทางจากไปแล้ว ฮองเฮาก็สั่งให้หมัวมัวคนสนิทเดินทางไปที่พำนักขององค์หญิงสิบสี่ กำชับตักเตือนให้องค์หญิงสิบสี่เจียมตน อย่าได้คิดในสิ่งที่ตนไม่ควรได้
ความขัดแย้งระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาเกี่ยวกับเรื่ององค์หญิงสิบสี่แพร่สะพัดไปยังทั่วทุกมุมในวังหลัง
หลังจากที่เสียนเฟยได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของนางก็ค่อนข้างอิจฉา
ดูสิ ฮองเฮาแตกต่างไปจากพวกนางเหลือเกิน
พวกนางคนใดบ้างที่อยู่ต่อหน้าฝ่าบาทแล้วไม่ทำท่าทางอ่อนโยนอ่อนหวาน ต่อให้พวกนางมีความโกรธแค้นอยู่ในใจสักเพียงใดก็จำเป็นจะต้องอดทนเอาไว้ แต่ฮองเฮาเล่า นางกล้าทะเลาะกับฮ่องเต้!
นั่นสินะ ถึงอย่างไรฮองเฮาก็เป็นภรรยาหลวงของฮ่องเต้ จะเหมือนกันได้อย่างไร
หลังจากที่เสียนเฟยถอนหายใจออกมา แววตาของนางก็ฉายแววมุ่งมั่น
นางจะต้องช่วยให้เจ้าสี่ขึ้นต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทให้ได้ ต่อให้นางไม่อาจเป็นฮองเฮาได้ก็ไม่เป็นไร หลังจากที่เจ้าสี่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แล้ว ตำแหน่งไทเฮาก็จะเป็นของนางอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ เสียนเฟยก็กระตือรือร้นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจกับคำเตือนของฮองเฮาที่มีต่อองค์หญิงสิบสี่
ดูเหมือนฮองเฮาจะโมโหมาก นางส่งคนไปจัดการกับองค์หญิงที่กำลังป่วยอยู่ ดูเหมือนจะไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เอาเสียเลย หึๆ ไทเฮาคงจะตำหนินางแน่
หลังจากที่เรื่องนี้ไปถึงหูไทเฮา เป็นจริงดังนั้น ไทเฮารู้สึกไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
“ฮองเฮาเป็นผู้สงบเสงี่ยมเสมอมา วันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นเล่า ฮ่องเต้เพียงแค่เอ่ยแนะนำเล็กน้อย เหตุใดนางจึงต้องโมโหเพียงนี้”
หมัวมัวคนสนิทได้แต่แอบยิ้มขึ้น
ไทเฮารู้สึกไม่สบายใจเรื่องที่ฮ่องเต้มีความคิดเห็นต่อฮองเฮา อันที่จริงหากจักรพรรดิพระองค์ก่อนยัดเยียดให้นางรับองค์หญิงมาเป็นธิดาของตน คาดว่าไทเฮาคงจะโมโหและหันหน้าหนีอย่างแน่นอน
“อย่าได้ทรงใส่พระทัยไปเลยเจ้าค่ะ ฮ่องเต้และฮองเฮามีความรักใคร่ที่ดีต่อกันมาเสมอ คาดว่าในไม่ช้าก็คงจะคืนดีกันแล้วเพคะ”
ไทเฮายังคงรู้สึกไม่มีความสุข “ข้าคิดว่าฮองเฮาคงจะเห็นว่าองค์หญิงฝูชิงดวงตาหายดีแล้วจึงได้ลืมตนไปแล้ว”
มีองค์หญิงที่เพียบพร้อมโดดเด่นไปเสียทุกเรื่องกับองค์หญิงที่มีนัยน์ตาบอด แน่นอนว่ามีอนาคตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จากมุมมองของไทเฮาแล้ว ก่อนหน้านี้ฮองเฮาไม่มีความหวังใดที่ฝากฝังไว้กับองค์หญิงตาบอดผู้นี้ จึงมีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน บัดนี้บุตรสาวของนางมีอนาคตอันกว้างไกลจึงทำให้เย่อหยิ่ง
จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้!
ไทเฮาขมวดพระขนงแล้วตรัสกับหมัวมัวคนสนิทว่า “ให้ตั่วหมัวมัวนำอาหารบำรุงกำลังไปส่งให้องค์หญิงสิบสี่ กำชับว่าข้าเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของนาง ให้นางดูแลรักษาตนเองให้ดี เมื่อไหร่ที่หายป่วยแล้วให้มาเยี่ยมข้า”
ไทเฮาเลือกใช้วิธีตรงข้ามกับฮองเฮาที่ตรงไปตรงมาและป่าเถื่อน แท้จริงแล้วสตรีผู้สูงส่งสองคนเผชิญหน้ากันมักจะไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ
อย่างเช่นบัดนี้ไทเฮารู้สึกไม่พอใจฮองเฮาเป็นที่สุด แต่แน่นอนว่านางจะไม่ตำหนิฮองเฮาออกมาตรงๆ กลับส่งคนไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงสิบสี่
ในเมื่อฮองเฮาไม่ต้องการพบองค์หญิงสิบสี่ เช่นนั้นไทเฮาก็จะแสดงความเป็นห่วงต่อองค์หญิงสิบสี่แทน นี่คือการแสดงออกถึงการโจมตีของฮองเฮาโดยไม่ใช้อาวุธ เพื่อให้ทุกคนในวังหลังรู้ว่าไทเฮากำลังไมพอพระทัยฮองเฮาอย่างยิ่ง
หมัวมัวคนสนิทลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ให้ตั่วหมัวมัวไปวันนี้หรือพรุ่งนี้ดีเพคะ”
ไทเฮาตรัสโดยไม่ได้ลืมพระเนตรขึ้นว่า “ไปโดยเร็ว ให้ผู้คนได้รู้ว่าถึงแม้สิบสี่จะไม่มีมารดาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีที่พึ่งใด”
หมัวมัวคนสนิทรับคำแล้วหันไปกำชับกับตั่วหมัวมัว
……
ในฤดูหนาวท้องฟ้ามืดเร็ว ในไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดสนิท โคมไฟในพระราชวังเปล่งแสงอันนุ่มนวลขึ้นที่ชายคา
ที่ชายคาและกิ่งก้านของต้นไม้ถูกหิมะปกคลุมสีขาวสะอาดแสบตา
ตั่วหมัวมัวเดินตรงเข้าไปข้างหน้าด้วยท่าทางนิ่งเฉย มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินส่องตะเกียงอยู่ข้างหน้า และนางกำนัลอีกคนหนึ่งเดินถือห่อผ้าตามหลังมา
ลมหนาวนั้นหนาวเข้าไปในกระดูก ต่อให้สวมเสื้อผ้าหนาอย่างไรก็ยังผ่านเข้าไปตรงลำคอได้ ทั้งสามคนเดินอยู่ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บด้วยท่าทางทรมานยิ่งนัก
ในฐานะทาส ต่อให้ไม่อยากทำสักเพียงไร ทว่าหน้าที่ซึ่งนายมอบหมายมาก็ต้องทำให้สำเร็จ ทั้งสามคนจึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เรือนขององค์หญิงสิบสี่ค่อนข้างเยือกเย็นและรกร้าง บัดนี้มีเพียงนางกำนัลคนเดียวเท่านั้นที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินทางมา นางกำนัลก็รีบเข้าไปทักทาย
“องค์หญิงเข้านอนแล้วหรือ”
นางกำนัลผู้นั้นเหลือบมองไปที่ประตูแล้วกระซิบว่า “องค์หญิงน่าจะยังไม่หลับ หมัวมัวเชิญรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปส่งข่าวให้”
นางกำนัลผู้นั้นเปิดประตูเข้าไป นางเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ตะโกนขึ้นว่า “องค์หญิงเพคะ ไทเฮาให้ตั่วหมัวมัวมาดูอาการเพคะ”
ท่ามกลางม่านที่หนาทึบ เสียงร้องไห้อันบางเบาขององค์หญิงสิบสี่หยุดลงอย่างกะทันหัน
ผ่านไปสักพักนางก็พยายามสงบสติอารมณ์และเรียบเรียงน้ำเสียงตอบกลับว่า “เชิญตั่วหมัวมัวเข้ามาเถิด”
ตั่วหมัวมัวเอื้อมมือไปหยิบห่อผ้าที่นางกำนัลคนหนึ่งถือมาพร้อมกับนาง แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่เถิด องค์หญิงค่อนข้างขี้อาย บัดนี้คาดว่าคงไม่อยากพบกับผู้คนจำนวนมาก”
นางกำนัลทั้งสองไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติไป พวกนางตอบรับแล้วยืนรออยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะสนทนากระซิบกระซาบกันขึ้นมา
ตั่วหมัวมัวเดินก้าวเข้าไปทีละก้าวพร้อมกับห่อผ้า
กลิ่นของยาทวีคูณแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในไม่ช้านางก็เห็นเด็กสาวหน้าตาซีดเผือดนั่งพิงอยู่ที่หัวเตียง ดวงตาของนางแดงเล็กน้อย
“คารวะองค์หญิง”
องค์หญิงสิบสี่ขยับร่างกายเล็กน้อย น้ำเสียงของนางดูอ่อนแอ “ตั่วหมัวมัว อย่ามากพิธีเช่นนี้เลย ดึกดื่นปานนี้แล้วขอบคุณมากที่เดินทางมา”
ตั่วหมัวมัวเหลือบมองไปที่ดวงตาขององค์หญิงสิบสี่แล้วเอ่ยถามเบาๆ “องค์หญิงร้องไห้หรือเพคะ”
เมื่อองค์หญิงสิบสี่ถูกตั่วหมัวมัวเอ่ยถามดังนั้นนางก็ดูตกตะลึง น้ำตาในดวงตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ตั่วหมัวมัวรีบเดินเข้าไปแล้วปลอบนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ทุกครั้งที่หม่อมฉันเดินทางมาเข้าเฝ้าองค์หญิง มักรู้สึกว่าองค์หญิงซูบผอมลงทุกที องค์หญิงเพคะหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเหม่ยเหรินที่อยู่บนสวรรค์คงจะรู้สึกทุกข์ระทม…”
น้ำเสียงร้องไห้ขององค์หญิงสิบสี่ดูเศร้าโศกขึ้นเรื่อยๆ นางพึมพำว่า “ข้าคิดถึงเสด็จแม่เหลือเกิน…หมัวมัว เหตุใดจู่ๆ เสด็จแม่ถึงได้จากไปเช่นนี้…”