ใบหน้าที่ดูป่วยขององค์หญิงสิบสี่ยามร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าโศกมองไปช่างน่าสงสารเหลือเกิน
“เสด็จพ่อตรัสว่าเสด็จแม่จากไปด้วยโรคร้ายกะทันหัน แต่ข้าไม่เชื่อ…ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ยังคอยดูแลข้าอยู่เลย หลังจากที่เสด็จพ่อ และเสด็จแม่(ฮองเฮา)เดินทางมาหาข้าแล้ว นางก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ช่างประหลาดยิ่งนัก…” นางร้องไห้แล้วมองไปทางตั่วหมัวมัว สายตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “ตั่วหมัวมัว ข้าเสียใจมากเหลือเกิน ข้ารู้ว่าคงไม่มีใครบอกข้าหรอก แต่ข้าก็ยังเสียใจมากเหลือเกิน…”
มือของตั่วหมัวมัวตบไปที่หลังขององค์หญิงสิบสี่เบาๆ ดวงตาของนางกวาดไปรอบห้อง
ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนมีคนที่คอยเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ
เรื่องที่เหม่ยเหรินสิ้นใจลง อย่าว่าแต่ในพระราชวังเลย แม้แต่นอกวังก็ยังมีคนพูดถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ฮ่องเต้และฮองเฮาไม่ได้แสดงท่าทีตำหนิหรือไม่พอใจองค์หญิงสิบสี่ออกมา แต่ก็มีคนมากมายคาดเดาไปและปฏิบัติตามต้องการ
องค์หญิงผู้สูงส่งไม่จำเป็นต้องปฏิบัติกับนางอย่างรุนแรงหรอก เพียงแค่เหลือบตามองหรือเมินเฉยเพียงเล็กน้อยก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่พอแล้ว
บัดนี้องค์หญิงสิบสี่อาศัยในเรือนที่ว่างเปล่าและรกร้างเยือกเย็นดุจดั่งหิมะ
ท่ามกลางห้องอันว่างเปล่าและเย็นเยือก จู่ๆ ตั่วหมัวมัวก็กล่าวขึ้นว่า “องค์หญิงอยากรู้จริงหรือว่าเฉินเหม่ยเหรินจากไปเช่นไร”
องค์หญิงสิบสี่หยุดสะอื้น นางลืมตาขึ้นมองตั่วหมัวมัวด้วยความหวังเป็นประกายในดวงตา “หมัวมัว ท่านรู้หรือ”
ตั่วหมัวมัวลังเลและมีความกังวลเล็กน้อย “เรื่องนี้หากกล่าวให้องค์หญิงรับทราบแล้วมีผู้ใดรู้เข้าละก็ บ่าวคงมีความผิดมหันต์”
องค์หญิงสิบสี่ใช้มือบีบไปที่มือของตั่วหมัวมัวอย่างแรง “หมัวมัววางใจเถิด ข้าจะไม่กล่าวกับผู้ใดอย่างแน่นอน หมัวมัวยินดีบอกกับข้า ให้ข้าผู้เป็นบุตรสาวรู้ว่ามารดาของตนเองจากไปเช่นไร ไม่ทำเหมือนข้าเป็นคนไม่รู้เรื่องราวและอยู่กับความคลุมเครือ นับว่ามีบุญคุณกับข้ามากแล้ว เหตุใดข้าจึงต้องเอ่ยให้มากความเป็นการทำร้ายหมัวมัวเล่า”
ตั่วหมัวมัวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก น้ำเสียงของนางบางเบามาก “บ่าวเองก็ทนไม่ได้ที่จะให้องค์หญิงเก็บตัวเองอยู่แต่ในความมืด แต่เมื่อองค์หญิงรู้แล้วโปรดเก็บซ่อนเอาไว้ในใจเถิด อย่าให้ใครมองออก ไม่เช่นนั้นผู้ที่ต้องทนทุกข์คงเป็นองค์หญิงเอง…”
“หมัวมัวเชิญกล่าวมาเถิด ข้าเองไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ควรทำอย่างไรข้ารู้ดี”
“เหม่ยเหริน…ถูกสั่งประหารชีวิต…”
“ประหารชีวิต?” องค์หญิงสิบสี่เบิกตากว้าง มือที่กุมมือของตั่วหมัวมัวเอาไว้บีบแน่นขึ้นกว่าเดิม “ผู้ใด…ผู้ใดสั่งประหารชีวิตแม่ของข้า…”
ตั่วหมัวมัวถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “องค์หญิงเพคะ จะมีใครสามารถสั่งประหารชีวิตเฉินเหม่ยเหรินได้เล่า”
องค์หญิงสิบสี่กะพริบตาน้ำตาไหลนอง “เป็นไปไม่ได้ เสด็จพ่อมีพระทัยดีโอบอ้อมอารีเช่นนั้น เหตุใดซึ่งต้องสั่งประหารชีวิตเสด็จแม่ด้วย”
“ในสายพระเนตรของฝ่าบาท หากทำผิดก็จะต้องถูกลงโทษ”
“เสด็จแม่ของข้าทำสิ่งใดผิดหรือ” องค์หญิงสิบสี่เอ่ยถาม
ตั่วหมัวมัวได้แต่นั่งนิ่งเงียบ
“ตั่วหมัวมัว บอกข้ามาเถิด ข้าไม่เชื่อว่าเสด็จแม่จะทำอะไรผิดถึงขนาดที่เสด็จพ่อต้องสั่งประหารชีวิตนาง”
“เฮ้อ แท้จริงแล้วเหม่ยเหรินก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดมากหรอกเพคะ เพียงแค่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหายดีแล้ว บังเอิญองค์หญิงเกิดป่วยขึ้น ได้ยินมาว่าเหม่ยเหรินคิดว่าดวงชะตาขององค์หญิงและองค์หญิงฝูชิงขัดแย้งกัน ดังนั้นเมื่อดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหายแล้ว ร่างกายขององค์หญิงจึง…”
“แล้วอย่างไรเล่า” องค์หญิงสิบสี่เม้มริมฝีปากเอ่ยถาม
“ฮองเฮากล่าวว่าเฉินเหม่ยเหรินซ่อนตุ๊กตาตัวเล็กที่เขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดขององค์หญิงฝูชิงเอาไว้ จากนั้นใช้เข็มแทงไปที่มัน ด้วยเหตุนี้เอง ฮ่องเต้จึงพิโรธมากเมื่อรู้เรื่องนี้ ทรงรับสั่งประหารชีวิตเฉินเหม่ยเหริน…”
องค์หญิงสิบสี่รับฟังด้วยท่าทางงุนงง จู่ๆ นางก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้ ช่วงเวลาที่ข้าล้มป่วยนั้น เสด็จแม่ยุ่งอยู่กับการดูแลข้า จะมีเวลาที่ไหนไปทำเรื่องไร้สาระเหล่านั้น พวกเขาโกหกพกลม ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีหลักฐานหรือไม่”
จากเมื่อครู่ที่เรียกเสด็จแม่กลายเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงทันที ทำให้ดวงตาของตั่วหมัวมัวเปล่งประกาย นางตบลงไปที่หลังขององค์หญิงสิบสี่แล้วถอนหายใจกล่าวว่า “องค์หญิงฝูชิงเป็นแก้วตาดวงใจของฮองเฮา ถึงแม้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นเพียงการโกหก ทว่าจำเป็นต้องมีหลักฐานหรือ”
ดวงตาขององค์หญิงสิบสี่เบิกกว้างขึ้น ใบหน้าของนางซีดเผือด “แม้นไม่มีหลักฐานก็สามารถประหารชีวิตคนเป็นๆ ได้เช่นนี้หรือ”
ตั่วหมัวมัวเผยอริมฝีปากโค้งขึ้น “องค์หญิง คำพูดนี้ช่างเหมือนกับเด็กจริง สำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งนั้น การที่ประสงค์ให้ผู้ใดตาย ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลเสียด้วยซ้ำ…”
องค์หญิงสิบสี่แทรกกายเข้าไปร้องไห้กับตั่วหมัวมัว
ตั่วหมัวมัวปล่อยให้องค์หญิงสิบสี่ร้องไห้จนเพียงพอแล้วเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “องค์หญิงเพคะ เช็ดน้ำตาเถิด ไม่เช่นนั้น วันพรุ่งนี้ดวงตาอาจบวมเป่ง”
องค์หญิงสิบสี่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ตาบวมแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีแม่แล้ว ต่อจากนี้ถ้าต้องดูแลตัวเอง”
“องค์หญิงเข้าใจผิดไปแล้วเพคะ ในวันนี้ไทเฮาส่งหม่อมฉันมาเยี่ยมเยียน เมื่อเรื่องนี้ได้ยินไปถึงหูฮองเฮา รับรองว่าในวันพรุ่งนี้ฮองเฮาคงจะต้องเสด็จมาอย่างแน่นอน”
องค์หญิงสิบสี่รีบเช็ดน้ำตา แสงบางอย่างแวบเข้ามาในดวงตาของนาง “วันพรุ่งนี้ฮองเฮาจะเสด็จมาหรือ”
การเรียกตั้งแต่เสด็จแม่เปลี่ยนเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงจนกระทั่งเหลือเพียงแค่ฮองเฮา การเรียกชื่อที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้ตั่วหมัวมัวตัดสินใจบางอย่าง
นางเอ่ยปากกล่าวว่า “ฮ่องเต้มีความกตัญญูกตเวทีต่อไทเฮายิ่งนัก แน่นอนว่าฮองเฮาก็จะกตัญญูต่อไทเฮาเช่นกัน เมื่อทรงทราบว่าไทเฮาส่งหม่อมฉันเดินทางมาเยี่ยมเยียน เหตุผลอันใดเล่าที่นางจะไม่แสดงท่าทีที่พึงมีของตนออกมา”
“บางทีอาจจะแค่ส่งนางในมา…”
ตั่วหมัวมัวยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงคงจะได้ยินแล้วว่าในวันนี้ฮองเฮามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเล็กน้อยกับฝ่าบาท ในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าฮองเฮาจะเสด็จมาด้วยตนเอง ประการแรกสามารถบ่งบอกถึงการเคารพนับถือไทเฮา ประการที่สองยังแสดงถึงความปรารถนาดีต่อฝ่าบาท ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ หากว่าเป็นองค์หญิงจะไม่เลือกทำเช่นนี้หรือเพคะ”
องค์หญิงสิบสี่นั่งฟังอย่างเงียบๆ แสงสลัวที่ส่องกระทบมาบนใบหน้าของนางทำให้ใบหน้าที่ดูนุ่มนวลและสงบนิ่งสง่างามขึ้นเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
“เช่นนั้นหมายความว่าฮองเฮาจะมาอย่างแน่นอนหรือ” ท่ามกลางห้องอันว่างเปล่า แสงไฟถูกสาดส่องเข้ามา นางเอ่ยถามขึ้นเสียงบางเบา
ตั่วหมัวมัวแสดงท่าทีออกมาถึงความกังวลอย่างเหมาะสม “องค์หญิงเพคะ หากว่าในวันพรุ่งนี้ฮองเฮาเดินทางมาจริงๆ ทรงอย่าได้แสดงความไม่พึงพอใจออกมา ไม่เช่นนั้น คงจะไม่ส่งผลดีต่อองค์หญิง”
องค์หญิงสิบสี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากแล้วไออย่างแรง ผ่านไปสักพักนางจึงก้มหน้าลงมองเลือดสีแดงสดที่ผ้าเช็ดหน้านั้น
“หมัวมัวดูนี่เถิด”
ตั่วหมัวมัวมองเห็นคราบเลือดที่จับตัวกันเป็นก้อนบนผ้าเช็ดหน้านั้นด้วยแสงไฟอันริบหรี่ ก่อนจะตกตะลึง
“ข้าเองก็มีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว ต่อให้ฮองเฮาจะพอใจข้าหรือไม่ จะมีความหมายอย่างไรเล่า” องค์หญิงสิบสี่พึมพำออกมาแล้วใช้มือเอื้อมไปจับมือของตั่วหมัวมัว “หมัวมัว การที่ท่านยินดีบอกความจริงกับข้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะสงสารข้าใช่หรือไม่ ขอร้องเถิด ช่วยข้าหน่อย ข้าต้องการคืนความเป็นธรรมให้แก่เสด็จแม่”
ใบหน้าของตั่วหมัวมัวดูลังเลเล็กน้อย
ความลังเลก่อนหน้าเป็นเพียงการเสแสร้ง แต่ในครั้งนี้เป็นเรื่องจริง
นางต้องการจะปลูกฝังความเกลียดชังลงไปในหัวใจขององค์หญิงสิบสี่ จากนั้นก็ติดต่อกับนางอีกสองสามครั้ง เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยลงมือ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงสิบสี่จะล่วงรู้ได้ด้วยตนเองว่าเวลาของนางมีไม่มากแล้ว และไม่ยินดีที่จะรอต่อไปอีก
หากว่านางลงมือตอนนี้จะรีบร้อนไปหรือไม่
แต่หากว่ายังไม่เคลื่อนไหวใดๆ และปล่อยให้องค์หญิงสิบสี่กระทำการยุ่งเหยิงจนถึงแก่ชีวิตก็จะเสียหมากดีๆ ไปไม่ใช่หรือ
จู่ๆ องค์หญิงสิบสี่ก็พยายามลุกขึ้นแล้วคารวะตั่วหมัวมัว “คำพูดของข้าเมื่อครู่ถือเสียว่าข้าไม่เคยกล่าวเถิด ข้าทำให้หมัวมัวต้องอึดอัดใจ ขอได้โปรดอย่ากล่าวเรื่องนี้กับผู้อื่นเป็นพอ”
การกระทำขององค์หญิงสิบสี่ ทำให้ความลังเลใจของตั่วหมัวมัวหายไปทันที
“องค์หญิงตั้งใจจะแสวงหาความยุติธรรมแก่เสด็จแม่เช่นไรหรือ” ตั่วหมัวมัวเอ่ยถามท่ามกลางห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา
องค์หญิงสิบสี่เม้มริมฝีปากกล่าวว่า “หมัวมัวไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามให้มากความ หากรู้มากไปจะไม่ดีต่อตัวของท่าน”