ตอนที่ 511 เรื่องสยองกลางอากาศ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 511 เรื่องสยองกลางอากาศ

หลินม่ายไม่หยุดพักแม้แต่ครู่เดียว หลังรับเทปวิดีโอโฆษณามาแล้ว เธอก็พาฟางจั๋วเยวี่ยและบรรดาสหายน้องชายของเฉินเฟิงไปที่หนานชางโดยรถไฟ

ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อมา กลุ่มคนก็มาถึงหนานชาง

ทันทีที่ออกมาจากสถานีรถไฟ หลินม่ายก็ก้าวไปยืนอยู่ข้างถนนสายหลักเพื่อโบกเรียกแท็กซี่สองคันในคราวเดียว

โชคดีที่ในยุคนี้ในเมืองเอกของทุกมณฑลมีรถแท็กซี่คอยให้บริการ ถ้าอยากนั่งแท็กซี่ก็สามารถโบกเรียกได้ง่าย ๆ เพียงแต่ราคาค่อนข้างสูง คนทั่วไปจึงไม่สามารถจ่ายได้

คนขับแท็กซี่สองคันนั้นเห็นว่าคนที่ยืนโบกรถอยู่เป็นสาวสวยมากที่แต่งตัวทันสมัยแบบสาวชาวตะวันตก จึงเดาว่าเธอต้องเป็นชาวฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน หรือชาวจีนโพ้นทะเลแน่ ๆ พวกเขาก็รีบขับรถเข้ามาจอดเทียบอย่างไม่รอช้า

หลินม่ายเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับ ระหว่างนั้นก็หันไปพูดกับคนที่ติดตามมาว่า “ยังมัวยืนเฉยกันอยู่อีก ขึ้นไปนั่งในรถเร็วเข้า!”

สิ้นเสียงเรียก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งและร่างกำยำทั้งห้าคนก็รีบวิ่งมาทันที

ตอนแรกคนขับรถทั้งสองยังมีท่าทางสงบมากเมื่อเห็นฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งเป็นหนุ่มหล่อ

แต่เมื่อพวกเขาหันไปเห็นสหายน้องชายทั้งสี่คนของเฉินเฟิง หัวใจของเขาแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม สงสัยว่าคนพวกนี้อาจเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย

ดังนั้นทุกคนจึงต้องแสดงเอกสารต่าง ๆ กันวุ่นวาย อย่างเช่นเอกสารแนะนำตัว กว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นรถ

ทันทีที่หลินม่ายก้าวขึ้นรถ เธอก็บอกคนขับว่า “คุณลุง ไปสนามบินหนานชางค่ะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนั่งอยู่ตรงเบาะหลังถามด้วยความประหลาดใจ “พี่สะใภ้ คุณจะบินไปเมืองหลวงตอนนี้เลยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า

เหลือเวลาอีกแค่หกวันก่อนจะถึงวันชาติ เธอให้สัญญากับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางว่าจะรีบกลับไปจัดงานเลี้ยงหมั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้วยตารางงานที่แน่นเอี๊ยดแบบนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปเมืองหลวงโดยเครื่องบิน

นั่นก็เพราะการเดินทางไปปักกิ่งโดยรถไฟต้องใช้เวลามากกว่ายี่สิบชั่วโมง ในขณะที่การนั่งเครื่องบินใช้เวลาแค่เกือบ ๆ สองชั่วโมงเท่านั้น ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก

ยุคนี้ยังไม่ค่อยมีผู้โดยสารเดินทางด้วยเครื่องบินมากนัก ขั้นตอนการซื้อตั๋วเลยไม่ค่อยยุ่งยากเท่าใด ทั้งหกคนจึงได้รับตั๋วเครื่องบินทันทีที่มาถึงสนามบินหนานชาง

ในบรรดาชายหนุ่มทั้งห้า ยกเว้นฟางจั๋วเยวี่ยที่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนแล้ว อีกสี่คนต่างก็ไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน

ขณะที่พวกเขานั่งรออยู่ที่โถงผู้โดยสาร สหายน้องชายของเฉินเฟิงจึงตื่นเต้นกันมาก

พอคิดถึงตอนที่ตัวเองกลับไปเจียงเฉิงหลังจากทำงานเสร็จ พวกเขาสามารถคุยโม้กับเพื่อน ๆ ได้แล้วว่าตัวเองเคยขึ้นเครื่องบินด้วย ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยความยินดี

แต่ทันทีที่ก้าวขึ้นเครื่อง ทั้งสี่คนก็ไม่รู้สึกยินดีอีกต่อไป

หลังจากเครื่องบินโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ไม่นาน ทุกคนก็ต้องเผชิญกับการตกหลุมอากาศ เครื่องบินทั้งลำสั่นเหมือนตะแกรงร่อนแป้ง

ชาติที่แล้วหลินม่ายเดินทางไปทุกที่รอบโลกด้วยเครื่องบิน ดังนั้นเธอจึงไม่ตื่นตระหนก ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง

แตกต่างจากผู้โดยสารหลายคนบนเครื่องที่หวาดกลัวขึ้นสมอง ไม่ว่าบรรดาแอร์โฮสเตสจะพยายามปลอบโยนพวกเขาอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์

บางคนถึงกับกอดแอร์โฮสเตสไว้แน่นราวกับเห็นพวกหล่อนเป็นร่มชูชีพ เชื่อว่าถ้าเกิดเครื่องบินตกขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาคงสามารถพึ่งพาแอร์โฮสเตสเพื่อเอาชีวิตรอดได้

ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ร้องไห้ระงม เตรียมเขียนพินัยกรรมกันแล้ว

สหายน้องชายของเฉินเฟิงต่างเคยเห็นแสงดาบและรอยเลือดมานับไม่ถ้วน ถึงในใจพวกเขาจะรู้สึกไม่มั่นคงขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า

ในขณะที่ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างหลินม่ายกลับขมวดคิ้วแน่น

ระหว่างนั้นก็คิดในใจ ถ้าเครื่องบินตกจริง ๆ ล่ะ เขาจะปกป้องพี่สะใภ้ของตัวเองอย่างไรดี?

ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สะใภ้ พี่ชายเขาจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ

แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ถ้าเป็นเขาที่ตายไปล่ะ นอกเหนือจากพี่ชายเขาแล้ว จะมีใครที่เสียใจอีกบ้าง?

ทันใดนั้นใบหน้าที่สวยงามและอ่อนโยนของเถาจืออวิ๋นก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด

เขาอดสับสนไม่ได้ ทำไมต้องคิดถึงหน้าหล่อนในช่วงเวลาที่ชีวิตอยู่ท่ามกลางวิกฤตแห่งความตายด้วยนะ?

หรือเขาควรคิดถึงคากิตุ๋นสมุนไพรฝีมือพี่สะใภ้กัน?

โอ้ ขอพระเจ้าอวยพรให้เที่ยวบินนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นด้วยเถอะ เขายังอยากกินคากิตุ๋นสมุนไพรฝีมือพี่สะใภ้อยู่เลย ซึ่งเขาไม่ได้ลิ้มรสมันมานานมากแล้ว

ไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของฟางจั๋วเยวี่ยหรืออย่างไร หลังจากเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เครื่องบินก็กลับมาบินได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง

กระทั่งแสงไฟสว่างขึ้น พวกเขาก็พบว่าตัวเองมาถึงเมืองหลวงแล้ว

นอกจากหลินม่ายกับฟางจั๋วเยวี่ย คนอื่น ๆ ล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม

ชั่วโมงที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งจะสัมผัสประสบการณ์เฉียดความเป็นความตายมาหมาดๆ

ช่วงปลายเดือนกันยายน อุณหภูมิในกรุงปักกิ่งต่ำกว่าในเจียงเฉิงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นต้นไป อากาศจะหนาวเย็นลงยิ่งกว่าเดิม

บนท้องถนน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสวมเสื้อสเวตเตอร์บาง ๆ หรือเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง

ก่อนหลินม่ายจะเดินทางมาทำธุระ เธอตรวจสอบความแตกต่างด้านอุณหภูมิระหว่างภาคเหนือกับภาคใต้ จึงนำเสื้อโค้ตยีนที่มีฮู้ดติดมาด้วย

เธอหยิบเสื้อโค้ตยีนออกมาจากกระเป๋าเดินทางแล้วสวมมัน ทันใดนั้นก็ไม่รู้สึกหนาวเย็นอีกต่อไป

ส่วนชายหนุ่มทั้งห้าคนที่ติดตามเธอมา ทุกคนต่างมีกล้ามเนื้อและผิวกายที่หนาจึงไม่กลัวความหนาวเย็น พวกเขายังคงสวมเสื้อแขนสั้นตัวเดิม

กลุ่มคนเดินหาเกสต์เฮ้าส์เพื่อเข้าพักในระหว่างอยู่ที่นี่

เมืองหลวงก็ยังเป็นเมืองหลวงอยู่วันยังค่ำ การตรวจสอบตัวตนค่อนข้างเข้มงวด

พนักงานแผนกต้อนรับตรวจสอบเอกสารของทุกคนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะทำเรื่องเช็กอินให้กับหลินม่ายและคณะเดินทางของเธอ

ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มพอดี กลุ่มคนใช้เวลาไปกับการเดินทางตลอดทั้งวัน นอกจากมื้อเช้าที่ได้นั่งกินอย่างจริงจัง พวกเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรดี ๆ เลยจนถึงตอนนี้

หลังจากทุกคนขนสัมภาระเข้าไปเก็บไว้ในห้องพักแล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน

เมืองหลวงมีอาหารอร่อยมากมายเกินสาธยาย ฟางจั๋วเยวี่ยแนะนำว่าทุกคนควรกินหม้อไฟเนื้อแกะในคืนนี้

วันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงไปกินเป็ดปักกิ่ง ตอนบ่ายกินหลูจู่เซาปิ่ง(1) แล้วมะรืนนี้ค่อยกิน…

เขาวางแผนการกินราวกับวางแผนออกล่าสมบัติ หลินม่ายเหล่ตามองเขา “งั้นนายก็อยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกหน่อยสิ จะได้ตามเก็บอาหารขึ้นชื่อพวกนี้ให้ครบ”

เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น สาเหตุที่ยอมขึ้นเครื่องก็เพราะอยากจัดการธุระต่าง ๆ ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปฉลองงานหมั้นให้ทันวันชาติ แต่เขากลับจัดตารางอาหารให้เธอถึงสามวันเต็ม!

ฟางจั๋วเยวี่ยปิดปากฉับด้วยความกระดากอาย

เขาลืมไปสนิทว่าที่ตัวเองมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยหลินม่ายหาซื้อวัสดุอุปกรณ์สำหรับสร้างห้องเย็น

ฟางจั๋วเยวี่ยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงกับพ่อแม่มานานหลายปีสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ดังนั้นจึงคุ้นเคยเส้นทางในเมืองหลวงมากกว่าหลินม่ายและคนอื่น ๆ

เขาพาหลินม่ายและชายทั้งสี่ไปยังร้านอาหารเก่าแก่แห่งหนึ่งเพื่อกินหม้อไฟเนื้อแกะสมความตั้งใจ

หลินม่ายถูกล้อมรอบไปด้วยห้าขุนพล ระหว่างทางก็เดินชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงไปด้วย

เมืองหลวงก็คือเมืองหลวง ทั่วทุกหนแห่งมีการประดับไฟและประดับประดาของตกแต่งจำนวนมากเพื่อต้อนรับการมาถึงของวันชาติ ใบหน้าของผู้คนก็เต็มไปด้วยความชื่นบานรับกับสีสันช่วงเทศกาล

ที่นี่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะคอยให้บริการอยู่ทั่วไป ไม่เหมือนกับเจียงเฉิงที่ต้องใช้เส้นสายเท่านั้นถึงจะสามารถติดตั้งโทรศัพท์ส่วนตัวได้

ระหว่างเดินไปยังร้านหม้อไฟอันเก่าแก่เพื่อกินหม้อไฟเนื้อแกะ หลินม่ายเห็นว่าตามรายทางมีเรือนสี่ประสานอยู่หลายหลัง

ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอยู่เหมือนกันหากจะซื้อเรือนสี่ประสานในตอนนี้ เพราะเรือนสี่ประสานหลายหลังที่ถูกทางการยึดไปในตอนแรก เริ่มทยอยส่งคืนให้กับเจ้าของแล้ว

เจ้าของเรือนสี่ประสานบางคนไม่ต้องการบ้านพวกนั้นอีกต่อไป จึงถือโอกาสประกาศขายเสียเลย

น่าเสียดายที่เวลากระชั้นชิดเกินไป ไม่อย่างนั้นหลินม่ายคงอยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกสักสองสามวัน หลังจากติดต่อซื้อเรือนสี่ประสานได้แล้วค่อยกลับไปที่เจียงเฉิง

การซื้อเรือนสี่ประสานนั้นไม่เหมือนกับการซื้อบ้านเก่าหรือรื้อถอนเพื่อสร้างใหม่

การซื้อบ้านเก่าหรือการรื้อถอนใช้เงินลงทุนแค่เล็กน้อย แต่เงินที่ได้รับคืนมาก็น้อยเช่นกัน

ในขณะที่การซื้อเรือนสี่ประสานแตกต่างออกไป ใช้เงินลงทุนน้อย ได้รับผลตอบแทนมหาศาล

ก่อนที่หลินม่ายจะมาเกิดใหม่ เรือนสี่ประสานในเมืองหลวงถูกเก็งกำไรขึ้นไปตั้ง 40 ล้านถึง 1.1 พันล้านหยวน ถึงตอนนั้นเธอคงไม่มีปัญญาซื้อแน่

ถ้าเธอยอมจ่ายเงินไม่กี่หยวนเพื่อซื้อมันในตอนนี้ ต่อให้ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำอะไรกับมันเลย แต่อีกหลายทศวรรษต่อมา ความมั่งคั่งที่เธอได้รับหลังจากนั้นย่อมมากกว่าผลประกอบการขององค์กรรัฐวิสาหกิจในประเทศถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์

องค์กรหลายแห่งรวมกันยังมีทรัพย์สินไม่ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ

อีกทั้งเรือนสี่ประสานยังเป็นเครื่องมือที่ใช้บ่งบอกฐานะได้เป็นอย่างดี

ในบรรดาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของชาติที่แล้ว ใครบ้างที่ไม่มีเรือนสี่ประสานไว้ในครอบครอง?

หม้อไฟเนื้อแกะของร้านที่ฟางจั๋วเยวี่ยแนะนำมีรสชาติดีมาก

ถึงแม้ก้นหม้อจะมีขิงและต้นหอมหั่นบาง ๆ รองอยู่ด้านใต้ก็ตาม

แต่เนื้อแกะที่หั่นอย่างประณีตก็เต็มปากเต็มคำ เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม ถึงต้มอยู่ในหม้อเป็นเวลานานก็ไม่เปื่อยจนไม่เหลืออะไรให้เคี้ยว รสชาติอร่อยถูกใจ

น่าเสียดายที่หลินม่ายไม่ค่อยชอบกินเนื้อแกะเท่าใด ก็เลยกินไปแค่นิดหน่อย

ส่วนฟางจั๋วเยวี่ยและสหายน้องชายของเฉินเฟิงต่างก็คีบเนื้อกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อสังเกตเห็นว่าหลินม่ายแทบไม่ขยับตะเกียบเลย ฟางจั๋วเยวี่ยก็อดถามไม่ได้ “พี่สะใภ้ ทำไมกินน้อยจังล่ะ? ไม่ชอบเหรอ?”

หลินม่ายลวกผักโขมก่อนจะคีบเข้าปากอย่างช้า ๆ “ถ้าเปลี่ยนจากเนื้อแกะเป็นเนื้อแพะฉันคงกินได้เยอะกว่านี้”

แต่ปัญหาก็คือที่ร้านไม่มีเนื้อแพะน่ะสิ

ฟางจั๋วเยวี่ยหันไปดีดนิ้วเรียกพนักงาน พนักงานเดินเข้ามาหาพร้อมกับถามด้วยสำเนียงปักกิ่งว่า “ต้องการอะไรเพิ่มครับ!”

ฟางจั๋วเยวี่ยใช้ปลายตะเกียบชี้ไปทางหลินม่าย “พี่สะใภ้ของผมไม่กินเนื้อแกะ ขอเนื้อสันในเพิ่มจานหนึ่งครับ”

พนักงานคนนั้นมองหลินม่ายด้วยสายตาแปลก ๆ ยังมีคนที่ไม่ชอบเนื้อแกะอยู่ด้วยหรือนี่

ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบเสิร์ฟจานเนื้อสันในหั่นบาง ๆ ให้อย่างรวดเร็ว ยกมาวางไว้ตรงหน้าหลินม่าย

ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะคีบเนื้อสันในชิ้นหนึ่งขึ้นมาเตรียมจุ่มลงในหม้อไฟ เธอก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของเด็กที่เสียดแทงหัวใจดังมาจากโต๊ะข้าง ๆ

เธอรีบหันขวับไปมอง เห็นว่าเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเด็กหญิงอีกคนเผลอเอามือไปปัดโดนหม้อไฟ ทำให้น้ำซุปร้อนเดือดจำนวนมากในหม้อกระฉอกออกมาโดนมือของเด็กหญิงคนนั้น

ผู้ใหญ่ที่อยู่โต๊ะเดียวกันกับเธอต่างก็ตื่นตระหนกมาก

ใครคนหนึ่งตะโกนขอซีอิ๊วจากพนักงาน อีกคนหนึ่งก็กระวีกระวาดออกไปซื้อยาสีฟัน

หลินม่ายรู้ทันทีว่าพวกเขาคงต้องการสิ่งของพวกนี้มารักษาแผลน้ำร้อนลวกของเด็กหญิงตัวน้อย แต่วิธีการปฐมพยาบาลจากสิ่งของรอบตัวเหล่านั้นผิดทั้งหมด

เธอเห็นแล้วอดไม่ได้ จึงเข้าไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งกำลังร้องไห้จ้า แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องครัว

ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเด็กหญิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไล่ตามเธอไปพร้อมกับถามด้วยความไม่พอใจ “สหายน้อย ทำอะไรของคุณน่ะ? คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยบรรเทาแผลน้ำร้อนลวกบนตัวลูกฉันได้หรือไง!”

………………………………………………………………………………………………………………………….

หลูจู่เซาปิ่ง (火烧卤煮) หรือสตูว์หมูกับแป้งทอด หนึ่งในอาหารแบบดั้งเดิมของปักกิ่งที่มีชื่อเสียง ส่วนผสมหลักคือ หมู ปอดหมู ไส้หมู ตับหมู เต้าหู้ บางที่อาจใส่เต้าหู้หมักหรือซอสกุยช่ายลงไปด้วย นิยมเสิร์ฟคู่กับเซาปิ่งหรือแป้งทอด

สารจากผู้แปล

เคยตกหลุมอากาศแล้ว น่ากลัวมากๆ ค่ะ ยิ่งได้นั่งเครื่องเล็กๆ ก็คือสั่นอย่างกับขึ้นรถไฟเหาะ

ถูกต้องค่ะ โดนน้ำร้อนลวกต้องรีบล้างน้ำเย็นทันที

ไหหม่า(海馬)