ตอนที่ 512 ไม่อนุญาตให้เข้า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 512 ไม่อนุญาตให้เข้า

หลินม่ายไม่สนใจเขา เมื่อเดินไปถึงห้องครัว เธอก็เห็นพนักงานคนหนึ่งกำลังล้างทำความสะอาดผักชีกำหนึ่งอยู่ตรงก๊อกน้ำ

เธออาศัยร่างกายอันบอบบางของตัวเองเบียดเข้าไปอยู่ข้าง ๆ พนักงานที่กำลังล้างผักคนนั้น แล้วรีบดึงมือซ้ายของเด็กหญิงตัวน้อยที่โดนน้ำซุปลวกไปล้างน้ำก๊อกทันที

พวกผู้ใหญ่ที่เดินตามเข้ามาต่างตกใจจนตะลึงเพริด

อยู่ดี ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็เอามือน้อย ๆ ของเด็กหญิงที่เพิ่งถูกน้ำร้อนลวกอย่างรุนแรงไปล้างน้ำก๊อกเสียอย่างนั้น แบบนี้ผิวหนังของแม่หนูไม่ลอกหมดหรือ?

แม่ของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นกังวลยิ่งกว่าใคร รีบปรี่เข้าไปพลางเงื้อมือหมายจะตบตีหลินม่าย

“นังบ้านี่เป็นใครกัน? ปล่อยลูกฉันนะ อย่าทำร้ายหล่อนเด็ดขาด!”

ยังไม่ทันที่หล่อนจะฟาดฝ่ามือลงไป สหายน้องชายของเฉินเฟิงคนหนึ่งที่เดินตามหลังมาติด ๆ ก็เอื้อมไปคว้าข้อมือของหล่อนไว้แน่น ทำให้หล่อนขยับไม่ได้ตามใจชอบ

แม่ของเด็กหญิงตะโกนลั่น “พวกแกเป็นใครกันแน่? กล้าแตะเนื้อต้องตัวฉันงั้นเหรอ เชื่อไหมว่าพวกเราจับตัวพวกแกส่งโรงพักได้นะ!”

พ่อของเด็กหญิงตัวน้อยชี้หน้าสหายน้องชายของเฉินเฟิงพลางพูดว่า “ปล่อยมือจากภรรยาฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอย่ามากล่าวหาว่าฉันทำตัวหยาบคายกับนาย!”

ผู้ใหญ่หลายคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันต่างเดินเข้ามายืนล้อมรอบสหายน้องชายของเฉินเฟิงและหลินม่ายไว้

หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาว่า “อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้เชียว ฉันบอกให้เจ้าของร้านโทรแจ้งตำรวจแล้ว”

หลินม่ายแสร้งทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของพวกเขา ยังคงจับมือเด็กหญิงตัวน้อยข้างที่ถูกน้ำร้อนลวกล้างน้ำก๊อกต่อไป

ฟางจั๋วเยวี่ยเดินเบียดเข้ามาจากด้านหลัง จากนั้นก็หันไปพูดกับพ่อแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้ “พวกคุณใช้ตาไหนมองว่าพี่สะใภ้ผมกำลังทำร้ายลูกสาวของคุณอยู่? สิ่งที่หล่อนกำลังทำคือวิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้องสำหรับแผลถูกน้ำร้อนลวกที่ไม่ใหญ่มาก เบื้องต้นจะต้องล้างหรือแช่บริเวณผิวหนังที่ถูกลวกด้วยน้ำประปาประมาณยี่สิบถึงสามสิบนาที”

แม่ของเด็กหญิงตัวน้อยถามกลับ “น้ำซุปร้อนขนาดนั้น ผิวหนังลูกฉันไม่เปื่อยจนหลุดไปหมดรึไง?”

ฟางจั๋วเยวี่ยพยักพเยิดศีรษะไปทางมือของเด็กหญิง “คุณก็ลองดูเอาเองสิว่าผิวหนังบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกของลูกสาวคุณหลุดไปกับน้ำจริงหรือเปล่า”

แม่ของเด็กหญิงพูดอย่างกระวนกระวาย “ตอนนี้ผิวยังไม่ลอกหลุดออกเป็นแผ่น ๆ ก็จริง แต่ถ้าล้างนานกว่านี้ ผิวต้องเปื่อยจนหลุดแน่ ๆ”

ฟางจั๋วเยวี่ยส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจผิดแล้ว เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง มีแค่ผิวหนังที่ถูกไฟคลอกเท่านั้นแหละที่ไม่ควรใช้น้ำเย็นล้าง ถ้าเป็นแผลโดนน้ำร้อนลวกจะต้องปฐมพยาบาลโดยการล้างน้ำเย็นให้เร็วที่สุด มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ความร้อนซึ่งตกค้างอยู่ตามผิวหนังลดลง จนมันไม่สามารถทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังได้อีกต่อไป นอกจากจะช่วยบรรเทาความแสบร้อนและลดอาการบวมน้ำแล้ว ยังลดการก่อตัวของตุ่มน้ำได้”

พ่อแม่ของเด็กหญิงเป็นปัญญาชนที่ได้รับการศึกษา จึงยอมรับฟังคำอธิบายที่อ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์จากฟางจั๋วเยวี่ย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

พวกเขาไม่เคยได้ยินวิธีการปฐมพยาบาลสำหรับแผลโดนน้ำร้อนลวกแบบนี้มาก่อน

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงพอดี หลังจากตรวจสอบสถานการณ์แล้ว เขาก็ขอให้หลินม่ายส่งเอกสารแนะนำตัวให้พวกเขา

หลังจากพาเด็กหญิงตัวน้อยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วผลออกมาไม่เป็นไร พวกเขาจะเอาเอกสารแนะนำตัวมาส่งคืน

แต่ถ้าอาการบาดเจ็บของเด็กหญิงแย่ลง ทางตำรวจจะขอให้หลินม่ายจ่ายเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมโดยประมาทของเธอที่กระทำต่อเด็กหญิง

หลินม่ายตอบกลับด้วยความลังเล “พวกเรามาที่เมืองหลวงเพื่อติดต่อทำธุรกิจ ถ้าขาดเอกสารแนะนำตัวไปสักอย่าง คงเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแม้แต่หนึ่งวัน”

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “เอาอย่างนี้ ในเมื่อการปฐมพยาบาลสิ้นสุดลงแล้ว เชิญพวกคุณพาหล่อนส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาต่อได้เลย ถ้าคุณหมอลงความเห็นว่าวิธีปฐมพยาบาลของฉันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของหล่อนจะแย่ลงหรือทรงตัวก็ตาม ฉันขอจ่ายค่าชดเชยให้หล่อนห้าร้อยหยวนได้ไหมคะ?”

หลังจากพูดจบ เธอก็พูดเสริมอีกประโยค “พวกเราจะกินอาหารอยู่ในร้านนี้เพื่อรอฟังผลก็แล้วกัน”

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนเห็นว่ามือซ้ายของเด็กหญิงที่ถูกน้ำร้อนลวกได้รับการล้างน้ำแล้วจริง ๆ อีกทั้งเสียงร้องไห้ของหล่อนก็เงียบลงกว่าตอนแรก อาจเป็นเพราะความแสบร้อนบรรเทาลงไปมาก

ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะให้นายตำรวจคนหนึ่งอยู่เฝ้าหลินม่ายและคนอื่น ๆ ที่ร้าน ส่วนนายตำรวจอีกคนจะพาเด็กหญิงกับพ่อแม่ของหล่อนไปโรงพยาบาลเพื่อรับรักษา

หลินม่ายและคนอื่น ๆ เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เริ่มกินเนื้อแกะที่ต้มอยู่ในหม้อไฟต่อจากเมื่อกี้ แถมยังเชื้อเชิญนายตำรวจที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ให้มากินด้วยกัน

แต่สหายตำรวจคนนั้นปฏิเสธ

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ครอบครัวของเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสามคนก็กลับมาที่ร้านอาหารพร้อมกับนายตำรวจคนที่พาพวกเขาไปโรงพยาบาล

ทันทีที่เห็นหน้าหลินม่าย พ่อแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยก็เอาแต่ขอโทษเธอไม่หยุดปาก บอกว่าความไม่รู้ของพวกเขาเกือบจะสร้างความเดือดร้อนให้เธอแล้ว

หลินม่ายไม่ถือสาหาความ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่าไม่เป็นไร

ก่อนที่เธอจะคบหากับฟางจั๋วหราน เธอก็คิดเหมือนกับพวกเขาว่าไม่ควรเอาแผลถูกน้ำร้อนลวกไปล้างน้ำเย็น เพราะเข้าใจไปเองว่าผิวหนังอาจทนรับการเปลี่ยนแปลงจากร้อนไปเย็นอย่างกะทันหันไม่ได้ จนมันพองหรือลอกในที่สุด

มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เธอกำลังทำอาหาร แล้วน้ำมันร้อน ๆ กระเด็นโดนผิวหนังของเธอ ฟางจั๋วหรานเห็นเข้าก็ช่วยปฐมพยาบาลให้เธอด้วยวิธีเดียวกันนี้ ถือเป็นการเปิดโลกหลักการปฐมพยาบาลครั้งใหม่

หลินม่ายถามเด็กหญิงตัวน้อยอย่างอ่อนโยน “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”

เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหน้า “ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่คุณหมอทายาให้หนูแล้ว ก็เลยไม่เจ็บเท่าเมื่อกี้นี้แล้วค่ะ”

หลินม่ายจับมือซ้ายเธอขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง เห็นว่าบริเวณนั้นยังคงบวมแดงอยู่เล็กน้อย

แม่ของเด็กหญิงคอยพูดเสริมจากด้านข้าง “คุณหมอบอกด้วยว่าหล่อนโชคดีที่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเจวียนเจวียนของฉันคงได้รับบาดเจ็บร้ายแรงกว่านี้ บางทีผิวอาจพุพองไปแล้วก็ได้ สหายสาวน้อย ขอบคุณมากนะคะ!”

หลินม่ายยิ้มพลางโบกมือ “เรื่องเล็กน้อยเองค่ะ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

จากนั้นครอบครัวของเด็กหญิงก็ขอตัวจากไปด้วยความซาบซึ้ง

ขณะนอนอยู่บนเตียงในเกสต์เฮาส์ตอนกลางคืน หลินม่ายเอาแต่ครุ่นคิดว่าเธอจะขอเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์ CCTV เพื่อเจรจาเรื่องขอออกอากาศโฆษณาในวันพรุ่งนี้อย่างไรดี

สถานีโทรทัศน์ทุกแห่งในยุคนี้เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของรัฐ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้านอกออกในได้โดยง่าย โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ CCTV

ถึงเธอจะมีข้อมูลติดต่อของอดีตสหายร่วมรบที่คุณปู่ฟางมอบให้ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเธออยู่ดีกว่าจะเข้าไปถึงตัวเพื่อนเก่าของคุณปู่ฟางได้

ทว่าถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ หลินม่ายก็ไม่อยากใช้เส้นสายของคุณปู่ฟางอย่างพร่ำเพรื่อ

เมื่อได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่แล้วควรใช้แค่ครั้งเดียวหรือน้อยกว่านั้น

พอคิดถึงเรื่องนี้นานเข้า ในที่สุดหลินม่ายก็ผล็อยหลับไป ตื่นนอนอีกทีตอนเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น

หลังอาหารเช้า หลินม่ายกับฟางจั๋วเยวี่ยก็แยกกันไปทำธุระ คนหนึ่งไปที่สถานีโทรทัศน์ อีกคนหนึ่งไปที่โรงงานผลิตอุปกรณ์ทำความเย็น

ส่วนบรรดาสหายน้องชายของเฉินเฟิงยังพักอยู่ในเกสต์เฮ้าส์

หลินม่ายไม่สะดวกพาพวกเขาติดสอยห้อยตามไปที่สถานีโทรทัศน์ด้วย เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกตำรวจติดอาวุธซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าประตูเข้าใจผิด เรื่องคงยุ่งยากเข้าไปใหญ่

เพื่อให้ตัวเองดูมีความภูมิฐานเหมือนผู้ใหญ่มากขึ้น วันนี้เธอจึงรวบผมขึ้นเป็นมวย แต่งหน้าบาง ๆ สวมชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงลายสก็อตสีแดงดำ

เมื่อฟางจั๋วเยวี่ยเห็นเธอก็ผิวปากทักทายทันที “พี่สะใภ้ วันนี้คุณแต่งหน้าสวยมาก กลับถึงบ้านเมื่อไหร่อย่าลืมแต่งหน้าแบบนี้ให้พี่ชายผมดูด้วยล่ะ ผู้หญิงต้องรักสวยรักงามเข้าไว้!”

หลินม่ายกลอกตามองบนใส่เขา จากนั้นก็เดินออกจากเกสต์เฮ้าส์โดยสะพายกระเป๋า LV ที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อให้ไว้บนหลัง

พอเธอลงจากรถประจำทางตรงป้ายใกล้กับสถานีโทรทัศน์ CCTV บังเอิญเหลือบไปเห็นกลุ่มวัยรุ่นหัวรุนแรงท่าทางโกรธเกรี้ยวหลายสิบคน ยืนถือป้ายอยู่หน้าสถานีโทรทัศน์ ราวกับกำลังประท้วงหรือเรียกร้องบางอย่าง

ถึงจะเรียกว่าประท้วง แต่ก็ทุกอย่างก็เป็นไปโดยละมุนละม่อม

บุคคลที่มีลักษณะคล้ายนายทหารฝ่ายเสนาธิการกำลังเจรจาตกลงกับพวกเขา

เมื่หลินม่ายเดินมาถึงด้านหน้าสถานี กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่เกลี้ยกล่อมสำเร็จ พวกเขาทั้งหมดจึงแยกย้ายกันออกไป

นายทหารฝ่ายเสนาธิการหันหลังกลับเดินเข้าไปในสถานีโทรทัศน์

หลินม่ายไม่กล้าเดินเข้าไปถามเขาตรง ๆ ได้แต่หันไปมองทหารชั้นผู้น้อยซึ่งกำลังยืนเฝ้ายามอยู่หน้าประตู

ทหารชั้นผู้น้อยก็กำลังแอบมองเธออยู่เช่นเดียวกัน

เขารู้หน้าที่ของตัวเองดีว่าต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าประตูสถานีโทรทัศน์โดยไม่ให้คลาดสายตา ถึงอย่างนั้นก็อดทึ่งในความสวยของอีกฝ่ายไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังบังคับจิตใจอย่างหนัก ในฐานะทหารเฝ้ายามเขาไม่ควรวอกแวกกับสิ่งไหน ต้องมองตรงไปเท่านั้น

แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมสายตาตัวเองได้เลย มักจะเฉไฉมองไปทางหลินม่ายทุกสองหรือสามวินาที

ระหว่างนั้นก็คาดเดาในใจไปด้วยว่า เธอคนนี้ช่างเป็นดาราหน้าใหม่ที่แทบหาที่ติไม่ได้เลย!

ไม่คาดคิดว่าสายตาของหลินม่ายจะเลื่อนมาสบประสานกับสายตาเขาพอดี ทันใดนั้นใบหน้าของทหารชั้นผู้น้อยก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

แต่หลินม่ายไม่ทันสังเกตท่าทางของเขา ในสมองคิดแค่อย่างเดียวว่าทำยังไงตัวเองถึงจะเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ CCTV ได้

หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เดินเข้าไปที่ป้อมยามส่วนหน้า

ลุงยามที่ปฏิบัติหน้าที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เมื่อเขาเห็นคนเดินเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามว่า “สหายสาวน้อยมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

หลินม่ายชี้ไปทางตึกที่ทำการของสถานีโทรทัศน์ CCTV ซึ่งสูงห้าชั้น “ฉันอยากเข้าไปคุยงานสักหน่อยน่ะค่ะ”

คุณลุงยามหน้าประตูถามกลับอย่างใจดี “คุณมีเอกสารแนะนำตัวมาด้วยหรือเปล่า? ได้นัดหมายกับใครไว้ไหม?”

หลินม่ายหยิบเอกสารแนะนำตัวที่ออกโดยผอ.เขตโอวหยางออกมา

เอกสารแนะนำตัวฉบับนี้ได้รับการรับรองโดยผอ.เขตโอวหยางตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเดินทางไปเจรจากับผู้กำกับหวงเสียอีก เพราะเธอรู้ตัวดีว่าอย่างไรก็ต้องเข้ามาทำธุระในเมืองหลวง

ลุงยามหน้าประตูอ่านเอกสารแนะนำตัวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ส่งคืนให้หลินม่าย “เอกสารแนะนำตัวระดับนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สถานีโทรทัศน์ครับ”

หลินม่ายตกตะลึง

เธอคิดว่าเอกสารแนะนำตัวที่ออกโดยข้าราชการระดับสูงประจำเขตมีอำนาจเพียงพอแล้วซะอีก นึกไม่ถึงเลยว่ามันแทบไม่มีค่าเมื่อจะใช้เป็นใบเบิกทางในเมืองหลวง

หลินม่ายหยิบบุหรี่ต้าจงหัวซองหนึ่งออกมาแล้วยัดใส่มือลุงยาม พลางขอร้องอย่างน่าสงสาร

“คุณลุง ช่วยประสานงานกับหัวหน้าที่รับผิดชอบธุรกิจโฆษณาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ บอกว่าฉันต้องการออกอากาศโฆษณาทางช่องของเขา แล้วถามหัวหน้าคนนั้นว่ายินดีให้ฉันเข้าไปไหม”

ลุงยามเป็นคนซื่อตรง เขาผลักมือของหลินม่ายที่ถือซองบุหรี่อยู่ออกไปทันที ก่อนจะพูดเสียงขรึม “สหายน้อย อย่ายัดเยียดของที่ไม่ดีต่อสุขภาพแบบนี้ให้ผมเลย!”

หลินม่ายสะดุ้งโหยง รีบชักมือที่ถือซองบุหรี่อยู่กลับมาทันที

ที่นี่คือเมืองหลวง ตราบใดที่เผลอทำความผิด ไม่พ้นพบเจอกับปัญหาใหญ่

หลังจากนั้นสีหน้าของลุงยามก็อ่อนลง อธิบายว่า “ผมโทรหาเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าไม่ได้ เกรงว่าจะเป็นการรบกวนการทำงานของเขา”

หลินม่ายรู้สึกอับจนหนทางทันทีที่ได้ยินแบบนั้น คิดว่าควรงัดเส้นสายของคุณปู่ฟางมาใช้ตอนนี้ดีหรือไม่?

คุณปู่ฟางไม่ยอมช่วยเหลือลูกชายของตัวเองด้วยซ้ำ แต่สำหรับเธอแล้วกลับเป็นข้อยกเว้น ความจริงเธอไม่อยากอาศัยเส้นสายของเขาเลยจริง ๆ

แต่ถ้าเธอไม่อาศัยเส้นสายของเขา ครั้งนี้เธออาจวิ่งรอบโดยเปล่าประโยชน์ก็เป็นได้

ในขณะที่หลินม่ายกำลังตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคุ้นตาก็ก้าวฉับ ๆ เดินออกมาจากสถานีโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว

เขาตะโกนเรียกเธอมาตลอดทาง “สหายสาวน้อย คุณมาที่สถานีโทรทัศน์ทำไมกัน?”

หลินม่ายจดจำชายคนนั้นได้อย่างรวดเร็ว ถามด้วยความประหลาดใจ “พี่ชายทำงานอยู่ในสถานีโทรทัศน์เหรอคะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ใครกันนะที่จะช่วยม่ายจื่อได้ ไม่งั้นมาเมืองหลวงเสียเที่ยวแน่

ไหหม่า(海馬)