บทที่ 386 ความจริงเปิดเผย (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 386 ความจริงเปิดเผย (1)

ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่ายาขาวยาดำนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร จึงต้องสั่งให้องครักษ์หลงอิ่งนำยาทั้งหมดออกมา

เขายังกำชับองครักษ์หลงอิ่งอีกว่าห้ามทำให้แตกตื่นเป็นอันขาด

องครักษ์หลงอิ่งลงมือได้อย่างน่าประหลาดใจนัก เพียงไม่นอนก็นำทั้งขวดทั้งไหใส่ยของจิ้งไท่เฟยมาได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ขณะที่เขารอยาอยู่นั้น อันที่จริงฮ่องเต้ก็นึกถึงคำพูดของเซียวลิ่วหลังว่าฟังดูมีพิรุธ

ว่ากันตามปกติแล้ว ด้วยฝีมือขององครักษ์หลงอิ่งสามารถฆ่าเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวได้แน่นอน หากจิ้งไท่เฟยสั่งให้เขาสังหารทั้งสองคน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่มีทางล้มเลิกกลางคันอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่า หน้าที่แรกขององครักษ์หลงอิ่งคือการปกป้องฮ่องเต้ ห้ามทำร้ายฮ่องเต้เป็นอันขาด พวกเขาทำงานให้จิ้งไท่เฟยก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสละชีวิตเพื่อภารกิจของจิ้งไท่เฟย

องครักษ์หลงอิ่งแต่ละนายนั้นนับว่าแสนล้ำค่า ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบพวกเขาให้กับลูกชายของตัวเอง แต่ไม่ได้มุ่งหมายให้พวกเขาเป็นหอบดาบในมือของลูกชาย แต่หวังว่าพวกเขาจะเป็นโล่กำบังให้แก่ลูกชายมากกว่า

เว้นเสียแต่ว่าเจ้านายของเขากำลังจะตาย พวกเขาถึงยอมสละชีวิต

ยามพวกเขาสัมผัสได้ว่าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตก็จะถอยทัพในทันใด และเผอิญว่าการที่หน้ากากแตกร้าวก็เป็นหนึ่งในสัญญานแห่งอันตรายเช่นกัน

ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงไม่ได้สงสัยเซียวลิ่วหลัง

แต่เซียวลิ่วหลังเองก็กังวลว่าจะมีพิรุธ จึงได้ใส่สีตีไข่เล่ารายละเอียดตามประสบการณ์ของกู้เจียวที่เคยถูกองครักษ์หลงอิ่งลอบสังหาร

ฮ่องเต้มองขวดและไหที่วางเรียงรายบนโต๊ะ ก่อนจะเรียกหมอหลวงมา แล้วสั่งให้หมอหลวงตรวจสอบว่ายาพวกนี้คืออะไร

“นี่คือยากระตุ้นการไหลเวียนโลหิต นี่คือยาทาแผล นี่คือยาแก้เลือดคั่ง นี่คือยาบำรุงเลือด…” หมอหลวงไล่เรียงยาบนโต๊ะทีละอย่าง มีเพียงยาสองขวดที่มองอยู่นานสองนานก็มองไม่ออกว่าคือยาอะไร

“เป็นอะไรไปหรือ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม

หมอหลวงวางขวดยาสีขาวและขวดยาสีดำในมือลง ก่อนจะประสานมือคำนับ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมวิชาตื้นเขิน ไม่เคยพบยาสองขวดนี้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ลอบคาดเดาอยู่ในใจ แต่เขาสกัดกั้นมันไว้ บอกตัวเองให้ใจเย็น ต้องว่ากันไปตามหลักฐาน

“เจ้าออกไปได้” เขาเอ่ยกับหมอหลวง

“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงขานรับ

“ช้าก่อน” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็โพล่งเอ่ยรั้งเขาเอ่ยไว้ “เรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจใช่หรือไม่”

หมอหลวงตอบอย่างหวาดกลัว “กระหม่อมจะเก็บเป็นความลับพ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยกงกงส่งหมอหลวงออกนอกตำหนักหวาชิงด้วยตนเอง เมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือก็เห็นว่าชาบนโต๊ะของฮ่องเต้นั้นเย็นชืดแล้ว เขาจึงรีบยกออกแล้วเปลี่ยนชาชุดใหม่ “ฝ่าบาท”

ฮ่องเต้พบว่าเม็ดยาในขวดสีดำและสีขาวนั้นหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่กลิ่นก็เหมือนกัน เขาหยิบยาขาวขึ้นมาดูหนึ่งเม็ด ก่อนจะเอ่ยถามเว่ยกงกง “เราจำได้ว่าคราวยาแก้ร้อนในของหมอหลวงเมื่อราวก่อนก็หน้าตาเช่นนี้ เจ้าไปหยิบมาที”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงนำยาแก้ร้อนในมา

ยาแก้ร้อนในก็เป็นเม็ดสีน้ำตาลเม็ดใหญ่ประมาณนี้ แต่ความแวววาวเล่นแสงไฟนั้นเทียบกับยาดำยาขาวไม่ได้เลย ส่วนกลิ่นจะเรียกว่าเหมือนก็ไม่ได้ แต่หากนำมาผสมปนเปกัน แค่มองผ่านๆ ก็สามารถแยกออกได้อย่างง่ายดาย

ฮ่องเต้หยิบยาสองเม็ดจากขวดขาวและขวดดำอย่างละเม็ด แล้วใส่ยาแก้ร้อนในเข้าไปแทน

อันที่จริงฮ่องเต้อยากจะใส่เพิ่มไปมากกว่านี้ แต่หากมากไปกลิ่นของยาก็จะทำให้ปลอมแปลงได้ยาก

ฮ่องเต้สั่งให้องครักษ์หลงอิ่งนำยากลับไว้ที่เดิมในสำนักชี ก่อนจะเรียกท่านเหล่าโหวมาที่วังอีกครั้ง

คราวนี้เขาไม่คิดที่จะให้ท่านเหล่าโหวไปตามสืบข้อมูลแทนตนเอง เพราะเขาจะไปด้วยตัวเอง

“ฝ่าบาท…สถานที่เช่นนั้นมีคนมากมายหลายหลาก เกรงว่าหากไม่สามารถไปในนามฮ่องเต้ ฝ่าบาทอย่าไปที่นั่นจะเป็นการดีที่สุด” ท่านเหล่าโหวโน้มน้าว

“เราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย” เขาไปเพื่อไขคดี เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อมอยากรู้อยากเห็นเขาจึงถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้ง แต่ก็แน่นอนว่าไม่ได้สืบหาความจริงเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

ความรู้สึกที่เขาสั่งสมมานานหลายปี ความจริงใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา…เขาอยากรู้ว่าตัวเองทุ่มเทลงไปผิดที่จริงๆ หรือ

ท่านเหล่าโหวเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊ เดิมที่ก็ไม่เก่งเรื่องวาทศิลป์เหมือนดั่งขุนนางฝ่ายบุ๋น พูดจาฉะฉานสู้ฮ่องเต้ไม่ได้ด้วย แล้วจะโน้มน้าวเขาอย่างไร

หลังจากเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดตะกุกตะกัก สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ท่านเหล่าโหวจำต้องยินยอมอย่างจนใจ

ฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นชุดเดินทางแล้วเดินออกมา

ท่านเหล่าโหวเห็นเขาจึงเอ่ยเตือน “ฝ่าบาทสวมหน้ากากเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ใครจำพระองค์ได้”

ฮ่องเต้เอ่ยแย้ง “เราเป็นโอรสแห่งสวรรค์ มีเพียงขุนนางในราชสำนักอย่างพวกเจ้าเท่านั้นที่เคยเห็นเรา เราไปที่อโคจรเช่นนั้นจะมีผู้ใดรู้จักเรา”

ท่านเหล่าโหวคิดในใจ ‘ก็ไม่แน่หรอกพ่ะย่ะค่ะ’

สุดท้ายฮ่องเต้ก็สวมหมวกคลุมหน้าของตนเองยามออกไปไหนมาไหน ด้านนอกของหมวกคลุมนี้เป็นผ้าโปร่ง แต่สามารถปกปิดใบหน้าได้

สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เมื่อฮ่องเต้ย่างเข้าไปในโรงประลองก็มีคนจำได้ในทันที

แต่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนิงอ๋องที่เคยร่วมขึ้นเหนือล่องใต้พร้อมกับฮ่องเต้

ตอนนั้นฮ่องเต้ก็สวมหมวกคลุมหน้าเช่นนี้

นอกจากหนิงจะจำได้ว่านั่นคือพ่อแท้ๆ ของตนเองแล้ว เขายังค่อยๆ งับบานหน้าต่างลง เหลือแง้มไว้เพียงเสี้ยว ก่อนจะเอ่ยอย่างงุนงง “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้มาที่แบบนี้”

“คงไม่ได้มาตามจับตัวไท่จื่อหรอกกระมัง” องครักษ์เอ่ย

ไท่จื่อไม่เหมือนหนิงอ๋องที่ไม่เคยทิ้งร่องรอยอันใจไว้ หากฮ่องเต้จะผิดสังเกตก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

หนิงอ๋องส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่แล้ว เสด็จพ่อกำลังไปหาหมอยาแคว้นเยี่ยนผู้นั้น”

องครักษ์เอ่ยอย่างสงสัย “ฝ่าบาทจะไปหาหมอยาแคว้นเยียนทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประชวรหนักหรือพ่ะย่ะค่ะ”

พูดถึงเรื่องนั้น หนิงอ๋องก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ระหว่างทางกลับวังหลวง เสด็จพ่อได้ทำความรู้จักกับนักบวชผู้หนึ่ง นักบวชผู้นั้นบอกว่าสามารถปรุงยาวิเศษที่ทำให้เสด็จพ่อเป็นอมตะได้ เพื่อที่จะได้เป็นอมตะ เสด็จพ่อจึงได้ตั้งปณิธานว่าจะไม่เหยียบวังหลังเป็นเวลาสองปี

เขาเคยสืบเรื่องของนักบวชผู้นี้ ที่มาที่ไปดูน่าสงสัย ตอนที่เขากำลังคิดหาที่เกลี้ยกล่อมให้เสร็จพ่ออยู่ห่างนักบวชผู้นั้น จู่ๆ เสด็จพ่อก็ไล่นักบวชผู้นั้นออกจากวังไป

ราวกับว่าการเป็นอมตะนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องตลก หรือไม่ก็ความสนใจเพียงชั่วคราวของเสด็จพอ

หนิงอ๋องไม่รู้ว่าฮ่องเต้เคยป่วยเป็นกามโรค ย่อมเดาไม่ออกว่าที่ฮ่องเต้ส่งนักบวชผู้นั้นออกนอกวังก็เพราะกามโรคของตนนั้นหายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องปั้นเรื่องยาอายุวัฒนะอีกต่อไป

ท้ายที่สุดฮ่องเต้ก็ไม่ได้พบกับหมอยาแคว้นเยียน เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง หมอยาแคว้นเยี่ยนออกไปซื้อยานอกเมืองแล้ว

ส่วนจะกลับมาเมื่อใดนั้นไม่อาจบอกได้แน่ชัด อย่างน้อยก็คงสามถึงห้าวัน อย่างมากก็คงสิบกว่าวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน

ฮ่องเต้ต้องการสืบหาความจริงบัดเดี๋ยวนี้ เขารอนานขนาดนั้นไม่ไหว

เขาจึงคิดถึงใครคนหนึ่ง

กู้เจียวแสร้งทำเป็นป่วยอยู่ที่โรงหมอได้พักหนึ่ง เมื่อคิดว่าฮ่องเต้คงไม่มาอีกแล้ว ก็ปลดผ้าพันแผลบนร่างของตัวเองออก ก่อนนั่งรถม้าของเสี่ยวซานจื่อกลับไปยังตรอกปี้สุ่ย

นางเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าเรือน ฮ่องเต้ก็มาถึงในทันใด

กู้เจียวเพิ่งจะนำวัตถุดิบยาออกมาตากแดดได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องแวบกลับเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว

นางว่องไวนัก แม่นางเหยาที่รดน้ำแปลงผักอยู่ฝั่งไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำ

ฮ่องเต้เข้ามาในลานบ้าน

แม่นางรีบว่าบัวรดน้ำก่อนจะคำนับ นางไม่ได้เรียกฝ่าบาท แต่กลับเรียกอีกชื่อหนึ่งแทน “ใต้เท้าฉู่”

ฮ่องเต้รู้ว่าหมอเทวดาน้อยกับจวนติ้งอันโหวไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่ จึงสั่งให้ท่านเหล่าโหวกลับไปก่อน ส่วนเขามาที่นี่เพียงลำพังกับเว่ยกงกงเท่านั้น

“เจียวเจียวอยู่หรือไม่” เขาถาม

“เจียวเจียว…” แม่นางเหยาไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นรวมหัวกันหลอกฮ่องเต้ จังหวะที่กำลังจะบอกว่าเจียวเจียวอยู่ในเรือน เซียวลิ่วหลังก็เดินหลังตรงมาจากข้างบ้าน ทั้งลำคอและท่อนแขนยังมีแต่ผ้าพันแผล

“อยู่ขอรับ ใต้เท้าฉู่เชิญตามข้ามาได้เลย” นอกวังหลวง เซียวลิ่วหลังเองก็เรียกฮ่องเต้ในนามใต้เท้าฉู่

แม่นางเหยาเห็นเซียวลิ่วหลังดามแขนเช่นนั้นก็ตื่นตกใจ “ลิ่วหลัง เจ้า…”

เซียวลิ่วหลังมองนางด้วยสีหน้านิ่งเรียง “ข้าไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

แม่นางเหยาชะงักไป ก่อนจะเข้าใจในทันใด

นางหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบเฉย “ข้าจะไปดูว่าของว่างทำเสร็จหรือยัง เจ้าไปต้อนรับใต้เท้าฉู่เถิด”

พูดจบนางก็หมุนตัวเดินไปยังโรงครัว

เซียวลิ่วหลังพาฮ่องเต้ไปยังโถงใหญ่ รินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้ฮ่องเต้ด้วยตนเอง ที่นี่อยู่ห่างจากปากประตูค่อนข้างไกล เซียวลิ่วหลังถึงได้ปรับระดับเสียง “ฝ่าบาทมาเยี่ยมเจียวเจียวหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถาม “เมื่อครู่เราไปที่โรงหมอ ผู้ดูแลบอกว่านางกลับมาแล้ว นางอาการดีขึ้นบ้างแล้วใช่หรือไม่”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยหน้านิ่ง “ได้สติมาเพียงครู่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็ฝืนได้ไม่นาน พอมาถึงที่เรือนแล้วก็หลับไปอีกครั้ง”

ฮ่องเต้คิ้วขมวด

เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “ฮ่องเต้มาถึงที่นี่เพื่อมาเยี่ยมเจียวเจียวเป็นการเฉพาะเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ก็มาเยี่ยมนางนั่นแหละ แล้วก็มีเรื่องอยากจะถามนางเรื่องหนึ่ง”

เซียวลิ่วหลังมองฮ่องเต้ “ไม่ทราบว่า…เรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ“

ฮ่องเต้เอ่ยคิ้วมุ่น “ยาชนิดหนึ่งน่ะ หมอหลวงไม่รู้ว่าคืออะไร เราอยากให้นางลองดู ในเมื่อนางไม่ได้สติ ไว้วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้”

เซียวลิ่วหลังโพล่งขึ้น “นางฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ “…”