บทที่ 386-2 ความจริงเปิดเผย (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 386 ความจริงเปิดเผย (2)

แม้เซียวลิ่วหลังจะบอกว่ากู้เจียวฟื้นแล้ว แต่กู้เจียวก็ต้องแสร้งทำเป็น ‘ค่อยๆ ฟื้น’ เพื่อความสมจริง นางนอนอยู่บนเตียง ฝ่ามือกุมหน้าอก สีหน้าเจ็บปวดทรมาน

เซียวลิ่วหลังเข้าไปในห้องเพื่อดูลาดเลานางก่อน โชคดีที่เขาเป็นคนเห็นภาพนั้น ไม่อย่างนั้นฝีมือการแสดงสุดแสนจะเก้กังของนางนั้นคงถูกจับได้ตั้งแต่วินาทีแรกเป็นแน่

“ฝ่าบาท” เซียวลิ่วหลังเดินออกมา ก่อนจะกระแอมเบาๆ พลางเอ่ยกับฮ่องเต้ “นางยังอ่อนเพลียนัก ฝ่าบาทเข้าไปถามนางเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้คิดถึงภาพกู้เจียวที่บาดเจ็บจนต้องพันผ้าพันแผลไปทั้งตัวก็ไม่กล้าเขาไปเห็นกับตา เขาจึงให้เว่ยกงกงนำขวดยาสองใบที่ติดตัวมาด้วยมอบให้กับเซียวลิ่วหลัง “เจ้าเขาไปถามนางทีสิ ว่าข้างในนี้คือยาอะไร”

นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามเว่ยกงกง “อันไหนคือยาจากขวดขาว อันไหนคือยาจากขวดดำ”

“อ๋อ…เอ่อ… คือ” เว่ยกงกงสีหน้ากระอักกระอ่วน “ระหว่างทางข้าน้อยยังจำได้อยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็ลืมไปเสียอย่างนั้น”

นั่นเป็นขวดหยกคู่หนึ่ง ลวดลายบนตัวเรือนไม่เหมือนกัน

เว่ยกงกงคิดว่าตัวเองจะจำได้ สุดท้ายก็ประเมินสติปัญญาของตัวเองสูงไป

ฮ่องเต้โบกมือปัด “ช่างเถิด หมอเทวดาน้อยเป็นหมอนี่ คงแยกแยะออกอยู่แล้ว”

แล้วความจริงก็ปรากฏ ฮ่องเต้ประเมินนางสูงเกินไป

อันจริงกู้เจียวนั้นแยกกลิ่นที่แตกต่างกันเพียงน้อยนิดของยาทั้งสองเม็ดได้ รู้ว่าเป็นยาสองขนาน ไม่มีทางใส่ผิดขวด แต่ส่วนเม็ดไหนคือยาขาว เม็ดไหนคือยาดำ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

จึงจำต้องอาศัยละครตบตา พึ่งพาลมปากของตัวเอง

เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่ในห้องฝั่งตะวันออกพักใคร่ ก่อนจะถือยาทั้งสองขวดเดินออกมา แล้วบอกว่ายาทั้งสองนั้นแตกต่างกัน “ฝ่าบาท ยาสองขนานที่ท่านให้มานี้ไม่ใช่ยาทั่วไป ฝั่งซ้ายคือยาขาว ฝั่งขาวคือยาดำ เป็นยามอมเมาที่ออกฤทธิ์นาน มีต้นกำเนิดมาจากพรรคถัง ว่ากันว่ามีคนขโมยสูตรยา จากนั้นสูตรก็แพร่ไปทั่วทั้งหกแคว้น แต่เพราะวัตถุดิบที่ใช้ทำยานั้นหายากนัก ทั้งวิธีการปรุงก็ซับซ้อน จึงมีเพียงหมอยาจากแคว้นเยียนเท่านั้นที่ปรุงออกมาได้”

กู้เฉาเองก็สืบเรื่องยาสองขนานนี้มาจากหมอยาแคว้นเยียนอย่างที่ว่าจริงๆ

สีหน้าของฮ่องเต้เคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกว่าตนเองใกล้พบความจริงแล้ว “เช่นนั้น…ยามอมเมาเหล่านี้มีฤทธิ์อย่างไร”

เซียวลิ่วหลังตอบ “เจียวเจียวบอกว่าคือยาที่ทำให้จิตใจคนสับสนวุ่นวาย ยาขาวทำให้รู้สึกรักใคร่ ยาดำทำให้รู้สึกเกลียดชัง”

ฮ่องเต้ “รู้สึกต่อผู้ที่วางยาหรือ”

เซียวลิ่วหลังตอบ “ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นผู้วางยา แค่หลังจากกินยานี้แล้วมองเห็นผู้ใดก็จะออกฤทธิ์กับผู้นั้น”

ฮ่องเต้เอ่ย “กินยาแล้วอีกนานเท่าไหร่จึงจะออกฤทธิ์”

เซียวลิ่วหลัง “เร็วมากพ่ะย่ะค่ะ”

นี่ไม่ได้ตรงกับที่กู้เฉาไม่สืบมาทั้งหมดเสียทีเดียว แต่ก็ไม่นับว่าขัดแย้งกัน หากยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เป็นไปได้สูงว่าคนที่เขามองเห็นก็คือคนที่วางยาเขา

ยิ่งความจริงปรากฏชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ ฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีคนมาบีบคอตัวเองจนแทบขาดอากาศหายใจ เขาต้องใช้แรงมหาศาลถึงจะกำจัดสิ่งที่จุกอยู่ในลำคอออกไปได้ “ยามที่ยาออกฤทธิ์จะเป็นเช่นไร”

“เรื่องนั้น…คนอยู่กับแต่ละคน ใช้ไม่ได้ผลกับบางคนก็มีพ่ะย่ะค่ะ” นี่เป็นสิ่งที่เซียวลิ่วหลังสันนิษฐานเอง ตอนนั้นอาจารย์แม่หนานไม่บอกเรื่องนี้กับกู้เจียวโดยละเอียด แต่เซียวลิ่วหลังรู้ว่าสึกว่าหากยาออกฤทธิ์รุนแรงกับฝ่าบาท อีกฝ่ายคงจับสังเกตได้ตั้งนานแล้ว

ยามอมเมาเช่นนี้ อย่างมากที่สุดก็คนให้ง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีทางรุนแรงไปกว่านั้น

ฮ่องเต้ถูนิ้วมือไปมา เขาหลับตามลงแล้วถามต่อ “ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์นานเท่าใด” หากออกฤทธิ์ได้ไม่นาน เช่นนั้นความรักใคร่ของเขาที่มีต่อจิ้งไท่เฟย ความเกลียดชังที่มีต่อจวงไทเฮา ก็คงไม่เกี่ยวกับยาพวกนั้น

คำพูดประโยคเดียวของเซียวลิ่วหลังทำลายข้อสันนิษฐานของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี “หากมีตัวเร่งฤทธิ์ยาก็สามารถยืดระยะเวลาได้นานหลายปี”

ฮ่องเต้ชะงักไป “ตัวเร่งฤทธิ์ยาอย่างนั้นหรือ”

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “เป็นผงยาที่มีกลิ่นดอกไม้หอม สามารถนำไปทำเป็นธูปสงบจิต ทั้งยังนำไปทำเป็นดอกไม้แห้งแล้วใส่ในถุงบุหงาก็ได้”

ธูปสงบจิต!

หลายปีที่ผ่านมา เขาให้ธูปสงบจิตที่จิ้งไท่เฟยมอบให้มาโดยตลอด

“ไป…ไปเอาธูปสงบจิตมาให้เรา…”

“ฝ่าบาท ธูปสงบจิตพวกนั้นไม่เหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยกำจัดทิ้งไปหมดแล้ว” เว่ยกงกงเอ่ยอย่างลำบากใจ แต่พอนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา “ก่อนหน้านี้…แม่นมไช่เพิ่งจะให้ถุงเงินกับข้าน้อยมา กลิ่นนั้น…เหมือนกับกลิ่นของธูปสงบจิต…”

อันที่จริงไม่เหมือนกันหรอก

แต่คนเราล้วนแต่มีนิสัยเสียชอบคิดเป็นตุเป็นตะ ทึกทักจนแม้แต่ตัวเองยังหลงเชื่อ

ถุงผ้านั้นถูกอาจารย์แม่หนานทำขาด จากนั้นกู้เจียวก็เย็บซ่อมให้เว่ยกงกง แต่ไม่ได้แตะต้องดอกไม้แห้งที่อยู่ข้างใน

เขารีบปลดถุงเงินออกในทันที

เซียวลิ่วหลังรู้เรื่องถุงเงินตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ยังคงถือไปยังห้องฝั่งตะวันตกให้พอเป็นพิธี หลังจากออกมาเขาบอกตามความจริง “ฝ่าบาท ข้างในนี้มีตัวเร่งฤทธิ์ยาบรรจุอยู่ กระหม่อมขอบังอาจถามว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้มีของพวกนี้อยู่ในมือ หรือว่าฝ่าบาท…”

ฮ่องเต้เอ่ยตัดบทเขา “เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ”

“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังยกมือคำนับ

เมื่อสืบเสาะความจริงมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้ฮ่องเต้จะโง่งมยิ่งกว่านี้ก็ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร เขาสะเทือนใจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถึงขั้นรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองเคยเชื่อมั่นและเคารพเทิดทูนได้พังทลายลงในพริบตา

เขาค้ำเก้าอี้แล้วพยุงตัวลุกขึ้น ทว่าสองขานั้นกลับสั่นเทาจนต้องทรุดนั่งกลับลงที่เดิม

“ฝ่าบาท!”

เว่ยกงกงตื่นตกใจ

“เราไม่เป็นอะไร…” ฮ่องเต้โบกมือปัดไปมา ปัดป้องเว่ยกงกงที่เข้ามาพยุงเขา

เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีหยัดยืนลุดขึ้นทั้งที่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ฝ่ามือของเขาสั่นเท่าอย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างเหมือนดั่งใบไม้แห้งเหี่ยวที่ขดม้วนตัวท่ามกลางลมหนาว ท่าทางดูน่าสมเพชเหลือทน

เว่ยกงกงขอบตาแดงก่ำ “ฝ่าบาท”

ฝ่าบาทก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว “ไม่ต้องพยุงเรา เราเดินเองได้ เราสบายดี”

เพิ่งจะสิ้นเสียง เขาก็กระอักเลือดออกมา สองตามืดมิด ก่อนจะล้มหมดสติลงบนพื้น…

ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องของหญิงชรา ข้าวของที่แสนคุ้นตา เครื่องเรือนแสนเรียบง่าย เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เก็บมาใส่ใจก็เท่านั้น

“ฝ่าบาท พระองค์ฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

นั่นเป็นเสียงของจี้จิ่วอาวุโส

ฮ่องเต้แก่ตัวลงไปมากโข เหลียวไปมองจี้จิ่วอาวุโสที่เฝ้าอยู่ข้างเตียว ก่อนจะเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ฮั่วเซี่ยน”

“พ่ะย่ะค่ะ” จี้จิ่วอาวุโสเดินเข้าไปใกล้ “เว่ยกงกงเคี่ยวยาอยู่ในครัวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ กระหม่อมจะไปตามเจียวเจียวมาดูให้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เบนสายตาไปทางอื่นอย่างอ่อนแรง มองมายังเพดานมุ้งอย่างเลื่อนลอย “ไม่ต้อง ไม่ต้องเรียกนาง เราไม่เป็นอะไร”

จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยอย่างจนใจ “ฝ่าบาท หากพระองค์มีเรื่องทุกข์ใจก็บอกกับกระหม่อมได้ เห็นกระหม่อมเป็นที่ระบาย คลายความกังวลให้แก่ฝ่าบาทก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จี้จิ่วอาวุโสเพิ่งจะรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของเซียวลิ่วหลัง เขารู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังช่างใจกล้าบ้าบิ่นนัก กล้าทำเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร แต่อีกในหนึ่งก็รู้สึกภาคภูมิใจว่าลูกศิษย์ของตนนั้นช่างเก่งกล้า วางแผนการได้แยบยล รอบคอบ ทำการใหญ่ด้วยจิตใจอันสงบนิ่ง

ประเด็นคือ จิตใจช่างเหี้ยมดีแท้ สมกับเป็นลูกศิษย์ของเขา

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นห่วงฝ่าบาท

ถูกแม่ของตัวเองหลอกมานานหลายปี หัวใจของฝ่าบาทคงเจ็บปวดยิ่งนัก

ความจริงนั้นช่างแสนโหดร้าย แต่หากไม่ทำเช่นนั้น ก็ไม่อาจช่วงจวงจิ่นเซ่อได้ เพราะอย่างนั้นฝ่าบาทจึงจำต้องทุกข์ทรมานราวกับมีดนับสิบทิ่มแทงหัวใจ

จี้จิ่วอาวุโสตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรีของขุนนาง ก่อนจะเบี่ยงประเด็นที่จวงจิ่นเซ่อ “ฝ่าบาท วันนี้พระองค์จะพักที่ตรอกปี้สุ่ยหรือว่ากลับวัง ประชุมเช้าวันพรุ่งนี้มีไทเฮาอยู่ พระองค์ไม่ต้องกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเอ่ยถึงจวงไทเฮา สีหน้าของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปในทันใด “ฮั่วเซี่ยน”

จี้จิ่วอาวุโสยกมือขึ้นคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มองภายในห้องอันมืดสลัว ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง “เจ้าว่า นางเกลียดข้าหรือไม่”

ฮ่องเต้ไม่เรียกตัวเองว่า ‘เรา’ ด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าจิตใจนั้นสับสนวุ่นวายจนยากจะควบคุมแล้ว

จี้จิ่วอาวุโสเริ่มสุมไฟ “ฝ่าบาทพูดถึงไทเฮาหรือพ่ะย่ะค่ะ คงเกลียดกระมัง ในเมื่อฮ่องเต้เกลียดชังนางมานานหลายปีขนาดนั้น ทั้งยังทำให้นางเป็นโรคเรื้อน จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด… หากกระหม่อมเป็นนาง…กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมวาจาสามหาว…”

“ไม่หรอก เจ้าพูดต่อสิ”

“ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ถึงพูดไปก็ไม่มีความหมายอยู่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับไทเฮาคงไม่อาจต่อติดได้อีกแล้ว”

ไม่อาจต่อติดอย่างนั้นรึ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอได้ยินคำนั้นแล้ว ฮ่องเต้กลับรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจขึ้นมา

ฮ่องเต้ไม่ได้บอกเรื่องที่ตนถูกวางยาให้เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวรับรู้ จี้จิ่วอาวุโสเองก็แสร้งว่าตนนั้นไม่รู้เช่นกัน เขาทอดถอนใจพลางเอ่ย “หากฝ่าบาททนไทเฮาไม่ไหวอีกต่อไป ขอโปรดพระองค์อดทนอีกสักนิด ไทเฮาอายุน้อยกว่ากระหม่อมเพียงไม่กี่ปี ผ่านเรื่องราวมามากมาย คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ขอฝ่าบาทอดทนนางอีกสักหน่อย”

ในใจของฮ่องเต้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม

แค่นึกภาพไทเฮานอนอยู่โลงศพเย็นยะเยือกเช่นเดียวกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาก็แทบหายใจไม่ออกแล้ว

เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป

อันที่จริงหากตัดเรื่องฤทธิ์ยาออกไป เขากับนางไม่มีทางอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแน่นอน แต่ต่อให้เขาไม่ได้ถูกวางยาทำให้เกลียดชังนาง เขาก็หวังให้นางรีบลงจากบัลลังก์โดยเร็ว รีบคืนอำนาจในราชสำนักให้แก่เขา รีบออกไปจากตำหนักจินหลวนของเขา!

แต่ทำไม…ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้

จี้จิ่วอาวุโสยังพูดแทงใจไม่หยุด

เขาเอ่ย “กระหม่อมอยู่ข้างฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททนจวงไทเฮาต่อไปไม่ไหวจริงๆ ก็ให้องครักษ์หลงอิ่งปลิดชีพนางเสียเถิด”

สีหน้าของฮ่องเต้พลันเปลี่ยน “เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”

ราวกับจี้จิ่วอาวุโสไม่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นของฮ่องเต้ ก่อนจะเอ่ยโดยไม่สนใจเขา “จะว่าไปแล้ว ก็ต้องโทษตอนที่ผิดใจจิ้งไท่เฟยในตอนนั้น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีราชโองการสั่งให้ฝังเสียนเต๋อฮองเฮาไปพร้อมกันแท้ๆ หากนางไม่ขโมยมันมาเผาก็คงดี เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานใจเช่นนี้ โลกใบนี้คงไม่มีจวงไทเฮามาตั้งนานแล้ว”