บทที่ 386 ความจริงเปิดเผย (3)
คำพูดนั้นราวกับปลุกเขาให้ตื่นจากความฝัน
ใช่แล้ว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ทิ้งราชโองการที่สั่งให้ฝังจวงไทเฮาไปด้วย อยู่มาวันหนึ่งจิ้งไท่เฟยมาเฝ้าไข้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ตำหนักปีกข้าง ดันบังเอิญเห็นราชโองการฉบับนั้นเข้า ก่อนจะเสี่ยงตายขโมยราชโองการนั้นมา
และเพื่อไม่ให้ผู้ใดได้เห็นอีก นางจึงเผาราชโองการนั้นทิ้งในที่ลับตาผู้คน
ช่วงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไทเฮาก็ไม่นับว่าสมัครสมานนัก พวกเขาทั้งสองมีปากเสียงกันหลายครั้งเพราะเรื่องวิธีการรักษาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน
เสด็จแม่จิ้งบอกว่า หมอจากแคว้นเยี่ยนผู้นั้นฝีมือเก่งกาจนัก หากฝ่าบาทไม่เปิดกะโหลกก็ไม่มีทางหาย แล้วเหตุใดถึงไม่ลองเดิมพันดูสักตั้ง
พอมาคิดดูตอนนี้ การเปิดกะโหลกนั้นน่ากลัวยิ่งนัก เหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้คิดว่าจิ้งไท่เฟยพูดจากมีเหตุมีผลนัก
จวงไทเฮาคัดค้านการเปิดกะโหลก แต่เขากลับคิดว่าจวงไทเฮาจงใจละทิ้งความหวังสุดท้ายในการรักษาฮ่องเต้พระองค์ก่อน….
เหตุใดเขาถึง…
ฮ่องเต้ดึงความคิดที่เตลิดไปไกลให้กลับมา แล้วตั้งสตินึกถึงราชโองการฉบับนั้น
อันที่จริงเขาไม่เคยเห็นราชโองการฉบับนั้นมาก่อน ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่าของเสด็จแม่จิ้ง เพราะอย่างนั้นราชโองการนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
หากมีอยู่จริง เสด็จแม่จิ้งเผามันทิ้งไปแล้วจริงๆ หรือ
แต่ก่อนเขาไม่แน่ใจว่านางคิดอะไร ทว่ายามนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว แต่เหตุใดนางถึงได้ปล่อยโอกาสที่กำจัดจวงไทเฮาให้หลุดลอยไป
ต้องมีบางอย่าง…ที่เขาไม่รู้แน่นอน!
…
ฟ้ายามราตรีมืดมิดดั่งห้วงน้ำ
หลังยามซวีราวสามทุ่ม วังหลวงก็ค่อยๆ เงียบสงัดลง
ตำหนักจินหลวนอันแสนวุ่นวายเหมือนดั่งราชสีห์ที่กำลังหลับใหล เงียบสงบราวกับสัตว์จำศีลยามม่านราตรีปกคลุมลงมา
วันนี้ฮ่องเต้ไม่พลิกป้าย เหล่านางสนมจำต้องล้มเลิกความคิดที่จะรอคอย ก่อนจะทอดถอนใจแล้วปิดประตูตำหนักลง
ภายในสำนักชีอันเงียบสงบ จิ้งไท่เฟยกำลังสวดมนต์จบไปหนึ่งบท แสงสีเงินเย็นเยียบสะท้อนร่างผอมบางของนาง ยิ่งทำบรรยากาศดูสงบนิ่ง
“ไท่เฟยเพคะ ได้เวลาพักผ่อนแล้วเพคะ” แม่นมไช่ที่อยู่ข้างกันเอ่ยเตือน
จิ้งไท่เฟยกำด้ามไม้ที่ใช้เคาะปลาไม้ในมือ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “กี่โมงแล้ว”
แม่นมไช่เอ่ย “เพิ่งจะพ้นยามซวีไปเพคะ”
“เช่นนั้นก็ยามไห้แล้ว” จิ้งไท่เฟยวางด้ามไม้ลงบนโต๊ะ “วันนี้ฝ่าบาทคงไม่มาแล้วกระมัง”
แม่นมไช่ถอนหายใจ
ฝ่าบาท…ไม่ได้มาเยี่ยมจิ้งไท่เฟยหลายวันแล้ว
แม่นมไช่เอ่ยความนับใจ “ไท่เฟยเพคะ ฝ่าบาท…”
จิ้งไท่เฟยพยักหน้าเบาๆ “ข้ารู้ดี เป็นเพราะข้าเลอะเลือนเอง จึงได้วางยาผิด”
แม่นมไช่มองจิ้งไท่เฟยด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย “ไท่เฟย…”
จิ้งไท่เฟยเอ่ยเสียงนิ่ง “พักผ่อนเถิด”
“เพคะ”
แม่นมไช่พยุงร่างของจิ้งไท่เฟยขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตกใจของฮุ้ยอันดังมาจากนอกประตู “ฝ่าบาท!”
แววตาหม่นหมองของจิ้งไท่เฟยก็เป็นประกายขึ้นมาในทันใด นางกุมมือแม่นมไช่แน่นยิ่งกว่าเดิม
….
ภายในห้องน้ำชา จิ้งไท่เฟยนั่งประจันหน้ากับฮ่องเต้ นั่งทับขาอยู่บนเบาะของตนเอง ระหว่างกลางมีโต๊ะยาวตัวเล็กกั้นอยู่ มีชาดอกไม้เพิ่งชงใหม่กับขนมเจของสำนักชีวางอยู่บนนั้น
“ดื่มชาสิเพคะ” จิ้งไท่เฟยรินชาดอกไม้ถ้วยหนึ่งแล้ววางตรงหน้าฮ่องเต้
ฮ่องเต้มองชาถ้วยนั้นแต่ก็กลับมือยื่นมือออกไป สายตาของเขาจ้องมองไปที่ขนม “เสด็จแม่ชอบกินเจหรือ”
จิ้งไท่เฟยมองเขาด้วยความสงสัย
แม่นมไช่ออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ก่อนบอกกับเหล่าแม่ชีน้อยหน้าประตู “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ พวกเจ้าไม่ต้องเฝ้าที่นี่แล้ว”
เหล่าแม่ชีน้อยพากันกลับกุฏิของตัวเอง
แม่นมไช่ปิดประตูให้ทั้งสองคน ก่อนจะเฝ้าอยู่ที่ระเบียงทางเดินอย่างเงียบๆ
จิ้งไท่เฟยเองก็รินน้ำชาให้ตัวเอง แม้จะอายุมากแล้วก็ฝ่ามือที่ยังดูงดงามนั้นก็ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้น ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ฝ่าบาทถามข้าว่าชอบกินเจไหมอย่างนั้นหรือ ตอนแรกก็ไม่ชินสักเท่าไหร่ แต่พอกินหลายปีเข้า ต่อให้เกลียดก็เคยชินไปเสียแล้ว”
“ที่แท้เสด็จแม่ก็เกลียดสำนักชี” ฮ่องเต้จับความนัยที่นางพูดได้อย่างรวดเร็ว
จิ้งไท่เฟยชะงักไป วางถ้วยชาลงพลางเอ่ย “ข้าไม่ได้หายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่เปรียบเทียบ ข้าไม่ได้เกลียดการกินเจ”
“แต่ก็ไม่ได้ชอบ” ฮ่องเต้เอ่ย
จิ้งไท่เฟยขมวดคิ้วมองไปฮ่องเต้พลางเอ่ย “ฝ่าบาทมาที่นี่ดึกดื่นเพื่อต่อปากต่อคำกับข้าหรือ”
ฮ่องเต้ยิ้มขื่น “ก็ได้ เช่นนั้นข้าเปลี่ยนเรื่อง“ เขาเอ่ยพลางช้อนตามจ้องมองลึงลงไปในแววตาของจิ้งไท่เฟย “เสด็จแม่เห็นข้าเป็นลูกแท้ๆ จริงหรือ”
“ฝ่าบาทยิ่งพูดยิ่งฟังดูชอบกลนัก สิ่งใดคือข้าเห็นท่านเป็นลูกแท้ๆ ข้าเลี้ยงท่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ท่านเกิดมาได้เพียงไม่นาน ก็ถูกอุ้มมาที่ตำหนักข้าแล้ว…แม้ข้าจะไม่ได้ให้กำเนิดท่านออกมา แต่ในใจของข้า ท่านนั้นเหมือนกับหนิงอัน! ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า!”
“เสด็จแม่พูดเรื่องนั้น ก็ทำให้เรานึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ก่อนที่เรากำลังจะเกิด ไทเฮาเองก็ใกล้คลอดเหมือนกัน แต่ไทเฮากลับแท้งไปเสียก่อน ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเดือดดาลนัก หากไม่เป็นมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น เราคงได้เป็นลูกของเสด็จแม่ไทเฮาแล้วกระมัง”
หัวใจของจิ้งไท่เฟยเต้นระส่ำ
“ท่าน”
ความรู้สึกที่แวบผ่านแววตาของจิ้งไท่เฟยนั้นอยู่ในสายตาของฮ่องเต้ทั้งหมด ฝ่ามือที่อยู่แขนเสื้อของเขากำแน่น “ที่ไทเฮาแท้งลูกเป็นฝีมือของเสด็จแม่สินะ! นั่นสินะ หากฮ่องเต้ไม่เสียลูกไป มีหรือนางสนมจะมีสิทธิ์ได้เลี้ยงดูองค์ชาย เราควรจะได้เป็นลูกของไทเฮา!”
มือที่กำแน่นในแขนเสื้อของจิ้งไท่เฟยคลายออก เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ “ตอนนั้นข้าเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับฮองเฮา ยิ่งไม่มีปัญญาหาวิธีทำให้ฮองเฮาแท้งลูกได้ เป็นฝีมือของหลิ่วเฟย เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่”
ฮ่องเต้ตรัสสีหน้าเรียบเฉย “แน่นอนว่าเราไม่เชื่อ เรื่องผ่านมานานหลายปีแล้ว ตระกูลหลิ่วก็สิ้นแล้ว คนในวังที่ทำคลอดให้ไทเฮาก็ตายหมดแล้ว ต่อให้สืบอย่างไรก็ไม่ได้ความอยู่ดี”
จิ้งไท่เฟยแค่นหัวเราะ “เพราะอย่างนั้นฝ่าบาทถึงได้มาหาข้าที่นี่ สั่งให้ข้ายอมรับผิดอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้ราวกับไม่รู้จักจิ้งไท่เฟยในตอนนี้ “เสด็จแม่ แต่ก่อนท่านไม่เป็นเช่นนี้”
จิ้งไท่เฟยยังคงหัวเราะเสียงเย็น “หากแต่ก่อนลูกชายข้าก็ไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็คงไม่เป็นเช่นนี้!”
“เช่นนั้นคงเป็นความผิดของเราสินะ” ลูกกระเดือกของฮ่องเต้ขยับขึ้นลงอย่างยากลำบาก “เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้ เสด็จแม่ย่อมรู้ดีแก่ใจยิ่งกว่าใคร”
ไม่รอให้จิ้งไท่เฟยได้ถามว่า ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไร’ ฮ่องเต้ก็หยิบขวดยาสองใบออกมา ก่อนจะเทยาลงบนโต๊ะ
สีหน้าของจิ้งไท่เฟยพลันเปลี่ยน แทบจะสำลักลมหายใจของตัวเอง!
ฮ่องเต้ไม่ได้มาเพื่อสอบปากคำจิ้งไท่เฟย เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ต้องการคำสารภาพใดจากปากของนาง เขามาเพื่อเพียงบอกกับนางว่าเขารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วก็เท่านั้น
ความรู้สึกดีๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง ต่อให้นี่เป็นฤทธิ์ของยาดำ แต่วินาทีที่ต้องแตกหักนี้เขาเองก็ปวดใจเหลือทน
“เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องหาคำอธิบาย แล้วก็ไม่ต้องอธิบายด้วย คำพูดของเสด็จแม่ นับแต่วันนี้ไปเราจะไม่เชื่ออีกแล้ว… เรา…เรา…จะไม่มาที่สำนักชีอีกต่อไป… เสด็จแม่โปรดดูแลตัวเองด้วย”
ฮ่องเต้อดกลั้นความเจ็บปวดในลำคอก่อนจะลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป เขาเพิ่งจะเปิดประตูห้อง ฝีเท้าก็เป็นอันชะงักไป ก่อนจะเหลียวกลับไปแล้วเอ่ยพึมพำ “องครักษ์หลงอิ่ง…เสด็จแม่คงไม่จำเป็นต้องใช้แล้วกระมัง…นับแต่วันนี้เราจะเขาเรียกคืน”
จิ้งไท่เฟยกำมือแน่น นางสั่นไปทั้งร่าง ดวงตาสะท้อนน้ำใจ ทว่าปากกลับพูดไม่ออกแม้สักคำ
“ฝ่าบาท!” แม่นมไช่ทรุดเข่าอ้อนวอน
ฮ่องเต้เดินต่อไป ไม่แม้แต่เหลียวกลับมา
จิ้งไท่เฟยเลือดเดือดพล่าน ในหัวมีเพียงความเกรี้ยวกราด ยกมือขึ้นกวาดขนมและน้ำชาบนโต๊ะจนล้มระเนระนาดบนพื้น!
“ไท่เฟย” แม่นมไช่เข้าไปในห้องด้วยหน้าถอดสี
จิ้งไท่เฟยยืนขึ้น ฝ่าเท้าย่ำลงบนกระเบื้องที่แตกละเอียด เลือดสีสดไหลผสมปนเปไปกับน้ำชาที่เจิ่งนองบนพื้น
แม่นมไช่ร้องในทันใด “ไท่เฟย! ท่านบาดเจ็บ! รีบยกเท้าออกเถิดเพคะ ข้าดูแผลให้!”
ทว่าจิ้งไท่เฟยนั้นกลับไม่สนใจแม่นมไช่แม้แต่น้อย ทั้งยังไม่สนใจความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้า นางเดินทั้งที่แผ่นกระเบื้องนั้นลึกลงกลางฝ่าเท้า มุ่งหน้ากลับกุฏิของตัวเองด้วยสภาพแสนอนาถ
นางเปิดสลัก ก่อนจะเปิดลิ้นชักลับใต้เตียง แล้วหยิบกล่องไม้ในลิ้นชักลับออกมา
นางแยกยาขาวยาวดำออกจากราชโองการตั้งนานแล้ว
แต่ไพ่ใบสุดท้ายของนางยังอยู่!
หากนางต้องตาย นางก็ลากจวงจิ่นเซ่อมาตายด้วย!
หากนางตาย จวงจิ่นเซ่อก็อย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตอยู่
“เสด็จแม่กำลังหาสิ่งนี้อยู่หรือ”
จู่ๆ ก็มีเสียงลอยมาจากหน้าประตู
จิ้งไท่เฟยไขสลักกล่องให้เปิดออก นางมองกล่องอันว่างเปล่า ก่อนจะเหลียวไปมองราชโองการที่แกว่งไปมาอยู่ในมือฮ่องเต้
ในใจของฮ่องเต้นั้นเจ็บปวด แววตานั้นสิ้นหวังและแสนเย็นชา
ขอบตาของเขาแดงก่ำ มองไปยังจิ้งไท่เฟยที่สภาพจนตรอกจนไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย ก่อนจะถือราชโองการแล้วเดินจากไป!
“อย่า…” จิ้งไท่เฟยโถมตัวเข้าหาฮ่องเต้
ทว่านางยังไม่ทันได้ก้าวออกไป องครักษ์หลงอิ่งที่โรยตัวลงมาก็กุมตัวนางไว้ในทันที!