บทที่ 387 พลานุภาพของฮ่องเต้
ยามนี้ต่อให้จู่ๆ จิ้งไท่เฟยกลายเป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้ม ฮ่องเต้ก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของคนเรานั้นแตกสลายได้เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
หรือความจริงแล้วหัวใจของพระองค์นั้นก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาอย่างช้าๆ มาตั้งนานแล้ว เพียงแค่พระองค์ไม่อยากเชื่อเท่านั้น รอคอยหลักฐานทุกอย่างมาตลอด และเฝ้ารอจะได้กลับคืนเหมือนเก่า
ความจริงได้ประจักษ์ว่าอดีตก็เป็นเพียงฟองอากาศฉากหนึ่งเท่านั้น
มีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ด้วย ต่อให้เป็นยอดฝีมือเก่งกาจเพียงใดก็บุกเข้ามาไม่ได้
เสียงตะโกนร้องคำรามของจิ้งไท่เฟยลอยมาจากด้านหลัง คล้ายว่าตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้งแล้ว แฝงไว้ด้วยเสียงสะอื้นต่ำและเสียงร่ำไห้ของนางดังระงม
ฮ่องเต้ไม่หันกลับไปมองแม้แต่น้อย
คล้ายสวรรค์จะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับอารมณ์ของพระองค์ด้วยนักในยามนี้ เพราะท้องฟ้าไร้ฝนลม ฟากฟ้าราตรีเงียบสงัดจนน่าใจหาย
เขากลับไปยังตำหนักฮว๋าชิง
ราตรีดึกสงัด นอกจากขันทีน้อยที่เฝ้ายามแล้ว นางกำนัลและขันทีที่เหลือต่างกลับไปพักที่ห้องคนงานกันหมด
เว่ยกงกงจุดโคมเดินไปเบื้องหน้าฮ่องเต้
เมื่อเดาได้ว่าฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี ระหว่างทางเขาจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ ทำเพียงคอยสังเกตอย่างห่วงใยว่าฮ่องเต้จะเข้าบรรทมหรือยัง สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถาม “ให้บ่าวไปเตรียมน้ำให้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีพระพักตร์แข็งทื่อ “เราจะไปอ่านฎีกาที่ห้องทรงอักษรหน่อย”
พระองค์นอนไม่หลับ
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงไม่ได้คะยั้นคะยอ เขาส่งฮ่องเต้ที่ห้องทรงอักษรแล้วก็ออกมาสั่งขันทีให้ไปห้องเครื่อง เพื่อต้มข้าวต้มรสจืดและขนมว่างนิดหน่อย
หมู่นี้จำนวนครั้งที่ฮ่องเต้นั่งอยู่ในห้องทรงอักษรค่อนข้างบ่อย
เว่ยกงกงเห็นสีหน้าอึมครึมที่เหมือนโดนฟ้าผ่าสิบแปดสายจนดูไม่ได้แล้วก็ไม่กล้าแม้แต่จะยกชาเข้าไปให้
เว่ยกงกงถอนหายใจเฝ้าอยู่หน้าประตู คิดในใจว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เหตุใดจึงแตกหักกับจิ้งไท่เฟยไปเสียเล่า
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ฝ่าบาทน่าสงสารยิ่งนัก
ฝ่าบาทช่างลำบากเหลือเกิน
ฝ่าบาท…
ฝ่าบาทอะไรกันล่ะ ขันทีอย่างตนไปสงสารคนเขาที่เป็นฮ่องเต้เนี่ยนะ ว่างมากกระมัง
เว่ยกงกงถือแส้จามรีเฝ้ายามอยู่นอกประตูเงียบๆ
ฮ่องเต้จมอยู่ในห้วงอารมณ์สะเทือนใจจากความจริงระลอกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธาตุแท้ของจิ้งไท่เฟยหรือว่าราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อน รวมถึงความไม่เป็นธรรมที่ไทเฮาได้รับ ล้วนทำให้อารมณ์พระองค์ไม่อาจสงบได้อยู่เนิ่นนาน
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คงเป็นความรักระหว่างมารดาและบุตรของจิ้งไท่เฟยกับพระองค์ที่ดับสูญลง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คล้ายว่าจะไม่ได้เสียใจกับเรื่องนี้อย่างที่คิดไว้
โดยมากแล้วพระองค์กำลังโมโหที่โดนปั่นหัวมากกว่า และอับอายที่โดนคนเล่นงานด้วย
เทียบกับความรู้สึกระหว่างแม่ลูกที่ดับสูญไปแล้ว กลับเป็นราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมากกว่าที่ยิ่งทำให้พระองค์ปล่อยวางไม่ได้
พระองค์ไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่ในอารมณ์ใดอยู่จึงได้ทิ้งราชโองการฉบับนั้นที่สั่งให้กลบฝังเสียนเต๋อฮองเฮาร่วมด้วยกันกับจิ้งเฟย พระองค์อ่านเนื้อความของราชโองการโดยละเอียดแล้ว
แม้ว่าจะร่วมกลบฝังด้วยกัน แต่มีเพียงเสียนเต๋อฮองเฮาที่ได้ร่วมโลงเดียวกันกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และร่วมกลบฝังอยู่ในสุสานกษัตริย์ นับว่าเป็นการร่วมเป็นร่วมตายในหลุมเดียวกัน
แต่จิ้งเฟยกลับได้ฝังที่สุสานสนม
ในฐานะจิ้งเฟยแล้ว นางย่อมคับแค้นใจเป็นอย่างมาก ไม่พอใจที่ต่อให้ตายก็ตายนอกโลงของทั้งสองอยู่นี้ เหมือนบุคคลที่สามที่ไม่มีทางแทรกเข้าไปได้
ความริษยาและความไม่พอใจของเสด็จแม่จิ้ง พระองค์พอจะเดาได้บ้าง
แต่ความคิดของฮ่องเต้พระองค์ก่อนนั้น พระองค์เดาไม่ออกเลย
หรือว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเสด็จแม่จิ้งแต่แรกแล้ว และเดาได้ว่าเสด็จแม่จิ้งจะยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับไทเฮา เพื่อให้ราชสำนักมั่นคง จึงถือโอกาสจับสตรีทั้งสองเข้าสุสานให้หมดมันเสียเลย
หรือว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยากจะให้เสียนเต๋อฮองเฮาร่วมไปปรโลกด้วยกันกับตัวเอง ร่วมดื่มน้ำแกงยายเมิ่งบนสะพานไน่เหอ แล้วกลับมาเกิดเป็นสามีภรรยากันอีกหรือ
ฮ่องเต้นวดหว่างคิ้วอย่างปวดหัว
จู่ๆ พระองค์ก็พบว่าตัวเองไม่เข้าใจฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลยแม้แต่น้อย
ราชโองการฉบับนี้จะคงอยู่ต่อไปอีกไม่ได้เด็ดขาด เวลายิ่งยาวนานไปจะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง พระองค์จึงโยนมันเข้ากระถางไฟเผาทันที
เปลวเพลิงเต้นไหว ในหัวพระองค์มีดวงหน้าของจวงไทเฮาวาบผ่านอย่างประหลาด
ไม่ใช่ใบหน้าแก่ชราในยามนี้ แต่เป็นใบหน้ายามสาว งดงามเหนือหญิงวังหลังทั้งปวง
บุตรสาวสายตรงตระกูลจวง ยิ้มทีใจละลายทั้งเมือง ยิ้มอีกทีใจละลายกันทั้งแผ่นดิน สาวงามในวังหลังเป็นพันๆ คนรวมกันยังสู้ดวงหน้างามงดของนางคนเดียวไม่ได้เลยสักนิด
พระองค์ยังคงจำได้ว่าครั้งแรกที่ตัวเองอยู่ตรงหน้านางอย่างใสซื่อจริงจัง แล้วมองดูนางนั้น หน้าพระองค์ก็พลันแดงเห่อขึ้น
หลังจากกลับไปพระองค์ก็บอกกับเสด็จแม่จิ้งว่า ‘เสด็จแม่งดงามนัก!’
เป็นตอนนั้น…ที่พระองค์ได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ของความริษยาลงไปในก้นบึ้งของจิตใจเสด็จแม่จิ้งหรือไม่
ฮ่องเต้หลับตาลงอย่างตำหนิโทษตัวเอง
‘เหตุใดท่านจึงต้องทำร้ายเสด็จแม่จิ้งด้วย เหตุใดท่านจึงไม่ช่วยเสด็จพ่อ ทำแบบนี้เจ้ามีความสุขรึ!’
‘เหตุใดท่านจึงริบอำนาจใหญ่เอาไว้ล่ะ แม้แต่คนที่สนิทที่สุดยังไม่ปล่อยไป ท่านมันอรพิษ!’
‘คนตระกูลหลิ่วลอบเล่นงานท่าน เสด็จแม่จิ้งเป็นคนขวางดาบแทนท่านจนนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด!’
‘ฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการให้ท่านร่วมกลบฝังด้วย ก็เป็นเสด็จแม่จิ้งที่เสี่ยงตายไปขโมยราชโองการออกมา เสด็จแม่จิ้งจริงใจกับเจ้าด้วยน้ำใสใจจริง ตั้งแต่ต้นมาท่านกลับไม่เคยยอมมอบอะไรแก่นางเลยแม้แต่บัวหิมะเขาเทียนซาน!’
พระองค์ลืมไปแล้วว่าบัวหิมะเขาเทียนซานนั่นถูกเอาไปทำยาให้พระองค์นานแล้ว
ไม่ใช่ว่าเสด็จแม่ไม่ให้ แต่นางหมดหนทางจะให้ได้ต่างหาก
ทว่านางไม่อธิบายเลยแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองพระองค์อย่างลุ่มลึกอย่างนั้น แล้วก็หันหลังเดินหนีไป
ตอนนั้นนางจะจากไปด้วยความรู้สึกน้อยอกน้อยใจและเสียใจเพียงใดกันหนอ
พระองค์ไม่รู้เลย…พระองค์ไม่รู้อะไรเลย…
ราตรีมืดมิดดึกสงัด
ตรอกปี้สุ่ยก็ตกสู่ความเงียบงันไปทั้งบริเวณเช่นกัน
ไฟในห้องตะวันออกของกู้เจียวพลันสว่างโร่
ถูกต้อง กู้เจียวแสร้งหลับมาโดยตลอด นางจงใจรอให้ทุกคนดำดิ่งกับห้วงนิทราก่อนจึงได้แอบลุกขึ้นจากเตียงนอนตัวเอง
ตอนกลางวันยังคงร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง แต่ตอนกลางคืนกลับหนาวเย็น
กู้เจียวสวมชุดนอนตัวบางเดินย่องมือเบาเท้าเบาออกไป นางมาถึงบ้านหมาที่เรือนท้ายอย่างลับๆ ล่อๆ อาศัยที่เสี่ยวปาไม่ทันเห็น จับมันออกมาจากบ้านหมาอย่างรวดเร็ว!
เสี่ยวปามึนงง!
กู้เจียวอุ้มเสี่ยวปาเดินกลับไป นางคิดเอาเองว่าไม่มีผู้ใดจับได้ จึงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพอมาถึงห้องโถงกลับถูกเซียวลิ่วหลังขวางไว้
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “ดึกดื่นเพียงนี้เจ้ายังไม่นอนอีกรึ”
เซียวลิ่วหลังก็สวมชุดนอนเช่นกัน
นางเอ่ยต่อ “เจ้าลุกขึ้นมาฉี่รึ”
เซียวลิ่วหลัง “…”
ขอบคุณ ไตข้ายังแข็งแรงดี
เซียวลิ่วหลังมองเสี่ยวปาที่ถูกนางอุ้มอยู่ในอ้อมอกไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะเอ่ยถาม “ดึกๆ ดื่นๆ ไม่หลับไม่นอน อุ้มหมามาทำอะไร”
“ก็…เล่นน่ะสิ” กู้เจียวบอก
เซียวลิ่วหลัง เหอะๆ
เซียวลิ่วหลังมองนางชั่วครู่หนึ่ง เขามีความสามารถอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสามารถล้วงความลับคนออกมาได้โดยไม่ต้องซักไซ้ไล่ต้อนถาม ไม่ต้องขุดคุ้ยให้เคืองโกรธ
กู้เจียวรู้ดีว่าหากไม่บอกให้แจ่มแจ้งเขาไม่มีทางกลับไปนอนแต่โดยดีหรอก
แย่แล้ว หรือว่าเขาก็แกล้งหลับมาตลอดเหมือนกัน รอมาจับนางคาหนังคาเขาตอนดึกๆ ทีเดียว
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้” สุดท้ายกู้เจียวก็ตัดสินใจสารภาพผิด
ใครให้เขาเป็นสามีนางกันล่ะ นางหักใจใช้กระบองฟาดเขาสลบไม่ได้หรอก
“ข้าจะลองยาน่ะ” กู้เจียวบอก
สีหน้าเซียวลิ่วหลังไม่ได้ตกใจมากนัก
“เจ้าเดาไว้แล้วงั้นสิ” กู้เจียวมองเขาตาปริบๆ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเห็นตอนที่เจ้าแอบเปลี่ยนยาจากฝ่าบาทมา”
ไม่รู้จริงๆ ว่าไปร่ำเรียนจากใครวิชามือไวเช่นนั้นมาจากที่ไหน ซ้ำยังเคลื่อนไหวรวดเร็วนัก หากมิใช่เพราะเขาจับตามองนางอยู่ตลอดก็คงไม่รู้เลย
กู้เจียวเบ้ปาก “มิน่าเล่าจึงมาขวางข้าดึกๆ ดื่นๆ”
“เจ้าจะเอาเสี่ยวปามาลองยารึ” เซียวลิ่วหลังมองเจ้าหมาน้อยในอ้อมอกนาง
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าจะลองเอง ข้าอยากรู้ว่าโดนยาดำกับยาขาวเข้าไปแล้วจะให้ผลอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงสามารถมอมเมาสติคนได้”
เซียวลิ่วหลังมุมปากกระตุก
“ดังนั้นเจ้าจึงอุ้มเสี่ยวปาน่ะรึ” เขาถาม
“ใช่น่ะสิ” กู้เจียวพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเม็ดไหนเป็นยาดำ เม็ดไหนเป็นยาขาว หากอีกฝ่ายเป็นเสี่ยวปาก็ไม่เป็นไรหรอก”
หากนางสนิทกับเสี่ยวปาก็ไม่เป็นไรหรอก หากจิตใจเกิดความรังเกียจขึ้นมา เสี่ยวปาเป็นหมาน้อยของกู้เหยี่ยน นางเห็นแก่กู้เหยี่ยนก็ไม่มีทางทำอะไรเสี่ยวปาหรอก
เซียวลิ่วหลังคิดจินตนาการในหัวถึงภาพที่นางอุ้มเสี่ยวปามาหอมซ้ายหอมขวา ก็พลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“ไม่ได้!” เขาปฏิเสธทันควัน
กู้เจียวครุ่นคิด “เช่นนั้น…เสี่ยวจิ่ว”
นกเหยี่ยวก็ไม่เลว
“ข้าจะลองยาเอง” เซียวลิ่วหลังมองนางพลางบอก
“ไม่ได้ ไม่ได้ เจ้าไม่ใช่หมอ” กู้เจียวไม่เห็นด้วยเด็ดขาดที่เขาจะใช้ตัวเองมาลองยา นางเคยฝึกฝนการรับยาในองค์กรมาก่อน เขาไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ สรีระร่างกายกับจิตใจอาจจะรับไม่ไหว
ทั้งคู่ต่างหัวดื้อพอๆ กัน ยามปกติเคารพซึ่งกันและกันประดุจเคารพแขก พอมีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมใคร อย่างเช่นกู้เจียวบังคับให้เขาฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย หรืออย่างเซียวลิ่วหลังบังคับให้นางฝึกคัดอักษร
สุดท้ายเซียวลิ่วหลังก็ถอยให้ก่อนหนึ่งก้าว “ได้ เจ้าลองยา แต่ข้ามีข้อแม้”
เวลาครึ่งเค่อต่อมา ทั้งคู่ก็นั่งอยู่ในห้องตะวันออกท่ามกลางแสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน
เบื้องหน้ากู้เจียวมียาลูกกลอนวางอยู่สองเม็ดเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เพราะไม่รู้ว่าเม็ดไหนเป็นยาดำ เม็ดไหนเป็นยาขาว ดังนั้นจึงทำได้เพียงพึ่งดวงล้วนๆ
“เจ้าคิดให้ดีนะ เกิดข้ากินยาดำเข้าไป ข้าได้เกลียดเจ้าแน่” กู้เจียวขู่
“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า กุมมือนางใต้โต๊ะเบาๆ
กู้เจียวเลือกสุ่มๆ มาเม็ดหนึ่งแล้วโยนเข้าไปในปาก
ยาชนิดนี้กินไปแล้วไร้รสชาติ ตรงกันข้ามยังให้กลิ่นหอมของหญ้าหวานด้วย
เซียวลิ่วหลังมองนางไม่วางตา จับตาดูการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างของนางไม่ปล่อย
หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงจะโกหก ถ้าเกิด…เขาหมายความว่าถ้าเกิดนางกินยาดำลงไปจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะกินยาขาวที่อยู่อีกเม็ดลงไป
ร่างกู้เจียวเหมือนจะรับได้ดีกว่าฮ่องเต้ เวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ฤทธิ์ยาก็ค่อยๆ ออกฤทธิ์
นางไม่รู้เหมือนกันว่าที่ตัวเองกินลงไปมันคือยาชนิดใด สรุปก็คือนางง่วงมาก ก่อนจะหลับไปนางมองใบหน้าหล่อเหลาที่ใกล้กันมากของเขา จู่ๆ ก็พลิกมือมาจับมือเขาไว้
แล้วกำมันแน่น เหมือนไม่อยากจะสูญเสียเขาไปอย่างไรอย่างนั้น
ลูกกระเดือกเซียวลิ่วหลังขยับไหว
จากนั้นกู้เจียวก็ฟุบหลับไปบนโต๊ะ
นางฝันยาวเรื่องหนึ่ง ในฝันล้วนเป็นสถานที่ที่นางอยากไป และล้วนมีแต่สิ่งที่นางชอบ คนคนนั้นที่นางเห็นก่อนจะหลับไปก็อยู่ในฝันตลอด
นางเข้าสู่ห้วงฝันในสภาพที่มีสติ นี่เป็นทักษะที่ฝึกได้จากองค์กรในชาติก่อน
นางเคยถูกฉีดสารหลอนประสาทมานับไม่ถ้วน และต้องมีสติตลอดเวลา
แน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้านฤทธิ์ยาอันรุนแรงเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก แต่ทุกครั้งที่ถูกทรมานร่างกายและจิตใจแล้วจะเกิดความทรงจำยาวนานขึ้นตลอด
นางรู้แล้วว่ายานี้มันทำงานอย่างไร และมั่นใจแล้วว่าเป็นยาแฝด มีส่วนประกอบของดอกลำโพง ประสิทธิภาพคล้ายพวกยาหลอนประสาทที่นางเคยโดนฉีดเมื่อชาติก่อน ยาหลอนประสาทบางชนิดจะทำให้รู้สึกดี แต่ยาหลอนประสาทบางชนิดจะทำให้รู้สึกทรมานและหวาดกลัว
เมื่อยาแฝดออกฤทธิ์ ใบหน้าดวงนั้นที่เห็นจะปรากฏขึ้นในห้วงฝันไม่หยุด คนที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนพิเศษมาก่อนพอตื่นขึ้นมาก็จะจำฝันของตัวเองไม่ได้ แต่ความรู้สึกในห้วงฝันนั้นจะหลงเหลืออยู่ในจิตใต้สำนึก
จากนั้นหากเห็นใบหน้าดวงนั้นในฝันอีกก็จะเรียกความรู้สึกในจิตใต้สำนึกขึ้นมาได้
กู้เจียวสามารถกำจัดความรู้สึกชนิดนี้ได้อย่างหมดจด แต่คนปกติกำจัดไม่ได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นฤทธิ์ยา
กู้เจียวสงสัยหนักว่าสองชนิดนี้ไม่ได้ชื่อยาดำกับยาขาว พวกมันน่าจะมีชื่อที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้ เพียงแต่อาจารย์แม่หนานอาจจะไม่สะดวกใจที่จะบอกมากกว่า
เมื่อกู้เจียวตื่นขึ้นมาก็กำลังพิงอยู่ในอกของเซียวลิ่วหลัง
นางไม่แน่ใจว่าตัวเองพิงเอง หรือว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนกอดนาง โอ้ สบายไม่น้อยเลย
“ตื่นแล้วรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
แผ่นหลังเขาถูกเหงื่อเย็นอาบจนชุ่ม เห็นท่าทางเขาสบายๆ เช่นนี้ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งผ่านประสบการณ์ทรมานใจแบบใดมา
“ข้ากินยาดำเข้าไป” กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าฝันร้าย ต่อไปนี้พอได้เห็นหน้าเจ้าอีกก็จะนึกถึงฝันร้ายนั้นขึ้นมา แต่นี้ต่อไปข้าคงเกลียดเจ้าแน่แล้ว”
“อ๋อ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงนิ่ง “เช่นนั้นเจ้าก็เอามือออกจากเสื้อข้าก่อนแล้วค่อยพูดดีกว่า”
มือของคนบางคนที่กำลังลูบไล้พลันหยุดชะงัก “…”
ฮือ
ยาชนิดนี้เห็นผลกับคนทั่วไป แต่สำหรับกู้เจียวที่สามารถกินยาหลอนประสาทต่างน้ำนั้นไร้ประสิทธิภาพใดแม้แต่น้อย
แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ต้องมีประสิทธิภาพอะไรเพิ่มแล้วล่ะ
ไม้เด็ดหน้าอก ไม้เด็ดเอว ไม้เด็ดหน้าท้อง ไม้เด็ดขา ไม้เด็ดใบหน้า กู้เจียวรู้สึกว่าไม้เด็ดทั้งห้าของสามีนั้นดีกว่ายาแฝดใดๆ เลย
อันที่จริงเซียวลิ่วหลังมองออกแล้วว่าสตรีนางนี้กินยาขาวเข้าไป แต่เหมือนว่ายาชนิดนี้จะไร้ผลใดๆ ต่อนาง แม้ว่าจะแปลกใจมาก แต่นึกขึ้นได้ว่ายาทุกชนิดมันแล้วแต่บุคคล เขาจึงได้โล่งใจ
ถึงแม้ว่าเขาจะยังเฝ้าคอยยาขาวให้ออกฤทธิ์อยู่ไม่น้อย แต่เกิดเป็นคนไม่ควรละโมบเกินไป นางไม่ได้กินยาดำเข้าไปก็โชคดียิ่งแล้ว
จะว่าไปแล้ว นางก็โชคดีมาโดยตลอดเลย
เซียวลิ่วหลังมุมปากหยักยกขึ้นอย่างอดไม่ได้
กู้เจียวยืดตัวนั่งตัวตรงแล้ว กำลังใช้มือเกาหูน้อยๆ ของตัวเองอยู่
จู่ๆ เขาก็โน้มตัวมาหานาง เงาสูงใหญ่แฝงกลิ่นลมหายใจเขาทาบทับนางลงมา
กู้เจียวมองเขาอย่างมึนงง เห็นเพียงนิ้วเรียวยาวดุจหยกของเขาจับคางนางเบาๆ ก่อนจะจุมพิตลงบนมุมปากนางอย่างแผ่วเบา
ทั้งรวดเร็วและแผ่วเบา ทว่าทิ้งกลิ่นลมหายใจร้อนระอุเอาไว้
กู้เจียวลูบมุมปากที่ถูกเขาจุมพิตไปมา “จูบข้าทำไม”
“รางวัล” แววตาเขาลุ่มลึก แล้วนั่งกลับไปบนเก้าอี้ตัวเองคืน “เลือกยาไม่ผิด เก่งมาก”
“อ๋อ” ดวงตากู้เจียวขยับไหวไปมา “ให้รางวัลแค่รอบเดียวเองรึ”
เซียวลิ่วหลังเห็นท่าทางนางไม่พอใจ ก็หัวเราะเบาๆ “เจ้ายังอยากได้อะไรอีกล่ะ”
กู้เจียวเอ่ยอย่างหนักแน่นมีเหตุมีผล “ดูเจ้าอาบน้ำ”
เซียวลิ่วหลัง “…”