ภาค-3-คลื่นใต้น้ำถาโถม ตอนที่ 46 เตรียมการพร้อมสรรพ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้าอ่านข่าวกรองในมือแล้วขมวดคิ้วเป็นปมอย่างอดมิได้ ผลลัพธ์ที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ ข้าพอคาดเดาได้อยู่แล้ว เมื่อวานซืนยงอ๋องส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งให้แก่แม่ทัพใหญ่ฉิน ในจดหมายแจ้งว่าชาติกำเนิดของหลี่หันโยวน่าสงสัย แม้ไม่มีหลักฐานแสดงให้ประจักษ์ แต่เป็นความจริงที่หลี่หันโยวสาบสูญไปตั้งแต่เล็ก หลังจากนั้นถูกสำนักเฟิงอี้พากลับมายังจวนจิ้งเจียงอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ทำให้แม่ทัพใหญ่ฉินเกิดความคลางแคลงได้ เรื่องบางอย่างยอมเชื่อว่ามี ดีกว่าเชื่อว่าไม่มี ข้าย่อมรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว

เมื่อจดหมายฉบับนั้นส่งไปถึงจวนแม่ทัพใหญ่ เฉิงซูก็ถูกเชิญมาพบ หลังจากนั้นฉินหย่งก็ถูกเรียกตัวมาด้วย แม้มิรู้ว่าพวกเขาหารืออันใดกัน แต่ฉินหย่งก็รีบเร่งไปควบคุมกองทัพของแม่ทัพใหญ่ฉิน ดังนั้นในความเป็นจริง ระหว่างเสด็จประพาสล่าสัตว์ กองทัพที่ฉินอี๋บัญชาการจึงอยู่ใต้การควบคุมของฉินหย่ง เดิมทีข้าไม่หวังว่าพวกเขาจะเชื่อ เพียงต้องการให้พวกเขาระแวงก็เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อวานนี้เอ งฮั่วซื่อภรรยาของเซ่าฮั่นหลินซื่อตู๋แห่งตำหนักบูรพาผูกคอตาย หลังจากนั้นชั่วข้ามคืน เรื่องที่รัชทายาทย่ำยีภริยาของขุนนางทำให้นางอับอายจนฆ่าตัวตายก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง แม้จะเป็นเพียงคำนินทาตามตรอกซอกซอย แต่เมื่อดูจากการกระทำก่อนหน้านี้ของรัชทายาท ทุกคนก็ล้วนเชื่อสนิทใจ แม้ฝ่าบาทยังไม่ทราบเรื่อง แต่หลังจากเสด็จประพาสล่าสัตว์ย่อมปิดไม่มิดแน่นอน ดังนั้นหากรัชทายาทยึดราชบัลลังก์ระหว่างเสด็จประพาสล่าสัตว์มิได้ เช่นนั้นชะตาที่จะถูกปลดจากตำแหน่งก็คงยากจะเปลี่ยนแปลงแล้ว

ข้าถอนหายใจ แม้รัชทายาทจะถูกข้าบีบให้ก่อกบฏ แต่เหตุใดสำนักเฟิงอี้จึงดำเนินแผนการประหลาดเช่นนี้

เดิมทีข้าคิดว่าสำนักเฟิงอี้จะให้กองทัพของฉีอ๋องบุกสถานที่แปรพระราชฐานของฝ่าบาทอย่างมิทันตั้งตัว เพราะไม่ว่าอย่างไรในกองทหารราชองครักษ์สองหมื่นนายก็มีกำลังคนส่วนหนึ่งที่รัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้ควบคุมได้ เกิดเป็นในนอกประสานจู่โจมกะทันหัน

แผนการที่ข้าเตรียมไว้รับมือก็คือจะให้แม่ทัพใหญ่ฉินสังเกตความผิดปกติได้ ‘ทันเวลา’ หลังจากนั้นวางกับดักไว้ เมื่อกองทัพของฉีอ๋องเหล่านั้นมาถึงก็ให้แม่ทัพใหญ่ฉินกับยงอ๋องออกหน้า มิว่าฉีอ๋องจะทำเช่นไร ฝั่งเราย่อมควบคุมสถานการณ์ได้ จากนั้นให้ยอดฝีมือของแต่ละสำนักร่วมมือกันกำจัดสำนักเฟิงอี้ในคราวเดียว

ทว่าตอนนี้กลับมิเป็นเช่นนั้น กองทัพของฉีอ๋องที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากสถานที่เสด็จประพาสล่าสัตว์สองร้อยลี้ แต่กองทัพของแม่ทัพใหญ่ฉินที่ใกล้ที่สุดอยู่ในระยะหนึ่งร้อยลี้ ส่วนกองทัพของยงอ๋องก็อยู่ห่างสองร้อยลี้เช่นกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าอาศัยศิษย์ในสำนักของเจ้าสำนักเฟิงอี้จะก่อกบฏสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ยังอยู่ที่วัดซีสยา ไม่ได้เตรียมตัวร่วมเดินทางไปล่าสัตว์ด้วย

ข้าเคยคาดเดาว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้น่าจะติดตามขบวนเสด็จไปด้วย ทว่าตอนนี้กลับผิดจากที่คิดอย่างสิ้นเชิง ข้าจึงทำอันใดมิถูกอยู่บ้าง สถานการณ์จะดำเนินไปอย่างไรกันแน่ เจ้าสำนักเฟิงอี้ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ กองทัพของฉีอ๋องไม่มากไปกว่ากองทัพของยงอ๋อง หากสองทัพเปิดศึกกันแล้วไม่มีฉีอ๋องอยู่ในกองทัพ เช่นนั้นย่อมไม่มีทางก่อการสำเร็จแน่ ยามนี้กองทหารราชองครักษ์มีแม่ทัพใหญ่ฉินบัญชาการอยู่ จะก่อกบฏไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าเช่นนั้นสำนักเฟิงอี้จะอาศัยอะไรมาก่อกบฏ

ในด้านประสบการณ์ทำศึกจริง ข้ามิอาจสู้ยงอ๋องกับแม่ทัพเหล่านั้นได้ หลังจากหารือกันซ้ำไปมา ก็ยังหาความเป็นไปได้ที่รัชทายาทจะชิงราชบัลลังก์สำเร็จไม่พบ ทว่าหากไม่มีโอกาสสำเร็จ พวกเขาย่อมไม่มีทางลงมือแน่นอน สุดท้ายพวกเราจึงได้แต่ตกลงกันว่าให้จ่างซุนจี้นำกองทัพของยงอ๋องเตรียมพร้อมโจมตีขัดขวางกองทัพของฉีอ๋องตลอดเวลา จิงฉือกับซือหม่าสยงติดตามคุ้มครองขบวนเสด็จ พวกสืออวี้อยู่ที่เมืองหลวงคอยควบคุมสถานการณ์ภาพรวม

ทางด้านปรมาจารย์ซือเจินส่งยอดฝีมือจากแต่ละสำนักจำนวนห้าสิบคนมารับหน้าที่เป็นองครักษ์ใกล้ชิดยงอ๋อง ทั้งยังบอกตามตรงว่าเป็นความเห็นที่พ้องต้องกันของสำนักใหญ่แต่ละแห่ง ส่วนตัวเขาเองเฝ้าจับตาเจ้าสำนักเฟิงอี้ ความจริงแล้วยอดฝีมือระดับเช่นพวกเขา ต่อให้ต่างคนอยู่ห่างกันหลายลี้ก็ยังสัมผัสการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นพวกเราจึงมิกังวลว่าเขาจะคลาดสายตาจากเจ้าสำนักเฟิงอี้ ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อกับต่งเชวียติดตามข้ามาร่วมการเสด็จประพาสล่าสัตว์ แม้อาการป่วยของข้าจะยังไม่หายดี แต่ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่ง ข้าจะไม่ไปได้เช่นไร

แม้ยามนี้ทำได้เพียงนิ่งดูสถานการณ์ ทว่าข้าก็ยังให้เสี่ยวซุ่นจื่อถ่ายทอดคำสั่งข้าให้ค่ายลับทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว จะต้องรับมือกับสถานากรณ์พลิกผันนานาประการได้ตลอดเวลา เรื่องนี้ข้ากลับไม่กังวล พวกเขาล้วนเป็นมือดีในการปรับตัวกับสถานการณ์ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมอบป้ายคำสั่งของจวนยงอ๋องให้พวกเขาเอาไว้แล้ว พวกเขาย่อมได้รับการสนับสนุนได้ตลอดเวลา ข้ากำหมัดทั้งสองข้างแน่น ต้องเชื่อมั่นในตนเอง ต่อให้สถานการณ์เกิดเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ข้าก็ยังแก้สถานการณ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ก็ไม่เห็นว่าการเตรียมการที่ยงอ๋องกับข้าวางไว้จะมีข้อบกพร่องที่ใด

ในวัดซีสยา เจ้าสำนักเฟิงอี้ยืนมือไพล่หลังอยู่ใต้แสงจันทร์ เบื้องหลังร่างของนาง ลูกศิษย์คนสนิทของนางยืนอยู่สองฟากฝั่ง เหวินจื่อเยียน เซียวหลาน เฟิ่งเฟยเฟย เซี่ยเสี่ยวถง เยี่ยนอู๋ซวง หลี่หันโยว นอกจากเหลียงหวั่นที่เสียสติ หลิงอวี่ที่บาดเจ็บ กับฉินเจิงที่ผละตัวมามิได้ ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า ด้านหลังของศิษย์เหล่านี้มีมือกระบี่หญิงยืนอยู่ทั้งหมดหนึ่งร้อยนาง ทั้งหมดสวมอาภรณ์สีหิมะ สีหน้าเย็นยะเยือก พวกนางก็คือกำลังหลักของสำนักเฟิงอี้ที่เจ้าสำนักเฟิงอี้ฝึกปรือมาด้วยตนเอง สตรีเหล่านี้ล้วนถูกสำนักเฟิงอี้เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก คัมภีร์ไท่หยินที่พวกนางฝึกปรือขาดส่วนสำคัญไปส่วนหนึ่ง ดังนั้นพวกนางแต่ละคนจึงไร้อารมณ์ไร้ปรารถนา หัวใจเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ในสายตาพวกนางมีเพียงความภักดีกับการเข่นฆ่าเท่านั้น

ผ่านไปเนิ่นนาน เจ้าสำนักเฟิงอี้จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ระหว่างเสด็จประพาสล่าสัตว์จะเป็นเวลาที่พวกเราลงมือ งานครั้งนี้ต้องสำเร็จ มิเช่นนั้นสำนักเฟิงอี้ของพวกเราคงย่อยยับมิอาจฟื้น”

เหวินจื่อเยียนเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “อาจารย์โปรดวางใจ ทุกสิ่งล้วนเตรียมการพร้อมแล้ว หากพวกเรายังทำมิสำเร็จ นั่นคงเป็นฟ้าลิขิตให้เป็นเช่นนั้น”

ฟ่านฮุ่ยเหยาเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่ไหนแต่ไรมาข้ามิเคยเชื่อชะตาฟ้าลิขิตอันใด จื่อเยียน เจ้าจงจำไว้ แม้ข้ามิอาจเดินทางไปด้วยตนเอง แต่พวกเจ้าต้องร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หันโยว เสี่ยวถง พวกเจ้ารับผิดชอบฝั่งของฝ่าบาท ถึงเวลาฉินเจิงจะฟังคำสั่งของเจ้า เซียวหลาน เฟยเฟย พวกเจ้ารับผิดชอบกวาดล้างกองกำลังที่ขัดขืนทั้งหมดร่วมกับรัชทายาท จื่อเยียน อู๋ซวง พวกเจ้ารับผิดชอบปิดล้อมสังหารยงอ๋อง ข้าต้องรับมือกับซือเจิน เจ้าคนยุ่งไม่เข้าเรื่องผู้นั้น มิอาจไปสนับสนุนพวกเจ้าได้”

ทุกคนคุกเข่าข้างหนึ่งแตะพื้นตอบ “ศิษย์รับบัญชา”

ฟ่านฮุ่ยเหยาไม่ได้ให้พวกนางลุกขึ้น แต่เอ่ยอีกว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งที่จะร่วมมือกับพวกเจ้า เขาเป็นศิษย์ในนามที่ข้ารับไว้อย่างลับๆ”

พร้อมกับที่เสียงของนางดังขึ้น บุรุษผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากภายในห้อง สายตาของพวกเหวินจื่อเยียนจับจ้องบนใบหน้าไร้สิ่งบดบังของเขา แววตาตกตะลึงปรากฏออกมาถ้วนหน้า

ฟ่านฮุ่ยเหยาเอ่ยเสียงราบเรียบ “เขาคือผู้พิทักษ์กฎแห่งสำนักเฟิงอี้ ครั้งนี้พวกเจ้าจงเชื่อฟังความเห็นของเขาให้มาก”

ฉับพลันพวกเหวินจื่อเยียนก็เข้าใจเรื่องมากมายที่ก่อนหน้านี้มิเข้าใจ แต่มิได้แสดงอาการออกมา เพียงขานรับอย่างนอบน้อม

เจ้าสำนักเฟิงอี้มองรัตติกาลอันเวิ้งว้างแล้วเอ่ยว่า “แม้พวกยงอ๋องจะคาดเดาไว้เช่นไรก็คงคิดไม่ถึงแผนการของข้า เหอะ พวกเขาคิดจะบีบรัชทายาทให้ก่อกบฏ คิดว่าข้ามิรู้หรือ มีแต่รัชทายาทกับหลู่จิ้งจงเท่านั้นที่จะเชื่อว่าหลี่หยวนเตรียมปลดรัชทายาทจริงๆ พวกเขาไม่รู้ว่าข้ารู้จักหลี่หยวนมานานปี รู้นิสัยของเขาดียิ่งนัก แม้เขาจะมีความคิดประการนี้แล้ว แต่ก็ยังมิได้ตัดสินใจ ทว่าเช่นนี้ก็ดี หากหลี่หยวนหวั่นไหวย่อมไม่เป็นประโยชน์กับพวกเรา อีกอย่างหนึ่ง เมื่อรัชทายาทก่อกบฏสำเร็จ ภายหน้าคงมีภัยมิหมดสิ้น หลังจากนี้เขาย่อมต้องพึ่งสำนักเรา พวกเจ้าจงฟัง หลังเรื่องนี้สำเร็จ สำนักเฟิงอี้ของเราจะเป็นผู้บงการหลังม่านของแคว้นต้ายง ดังนั้นพวกเจ้าจงทุ่มเทสุดกำลัง”

ดวงตาของพวกเหวินจื่อเยียนล้วนพลุ่งพล่านด้วยความทะเยอทะยาน ในฐานะสตรี พวกนางกำลังจะทำงานใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดเคยทำสำเร็จ ยังมีสิ่งใดทำให้พวกนางภาคภูมิใจและหยิ่งผยองได้มากกว่านี้อีกเล่า

ภายในจวนฉีอ๋อง หลังผ้าม่านหนาทึบ หลี่เสี่ยนนอนอยู่บนตั่งนุ่มด้วยท่าทางเกียจคร้าน แต่สีหน้าเฉยเมย ฉินเจิงยกน้ำแกงโสมชามหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้ากระสับกระส่าย เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เชิญดื่มน้ำแกงโสม พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปร่วมเสด็จประพาสล่าสัตว์แล้ว ท่านพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด”

หลี่เสี่ยนมองฉินเจิงแล้วหัวเราะหยัน “ดี พระชายาฉีอ๋อง เจ้าร้ายกาจยิ่งนัก ยาถ้วยเดียวก็ทำให้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ ดูท่าเจ้าจะภักดีต่อสำนักแต่ลืมสิ้นแล้วว่าสิ่งใดคือสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม”

ฉินเจิงน้ำตาพรั่งพรู เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง แท้จริงแล้วหม่อมฉันทำเพื่อท่าน แม้ก่อนหน้าหม่อมฉันรับคำสั่งมาใกล้ชิดองค์ชาย แต่หม่อมฉันตกหลุมรักท่านอ๋องจากใจจริง ทว่าหม่อมฉันมิอาจขัดขืนอาจารย์ ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางกล่าวไม่ผิด หากรัชทายาทขึ้นครองราชย์ ท่านอ๋องย่อมได้เป็นขุนนางตำแหน่งสูงที่สุด หม่อมฉันกับบุตรก็จะปลอดภัยไร้อันตราย แต่หากยงอ๋องขึ้นครองราชย์ มิเพียงหม่อมฉันกับบุตรยากจะรักษาชีวิต แม้แต่ท่านอ๋องช้าเร็วก็ต้องถูกยงอ๋องทำร้าย หากมิใช่ทำเพื่อท่านอ๋อง หม่อมฉันยอมตายดีกว่ายอมทำร้ายท่านอ๋อง”

หลี่เสี่ยนยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเองก็ปากมิตรงกับใจใช่หรือไม่ แม้ตำหนิเจ้า แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จ ไม่เช่นนั้น ทั้งครอบครัวคงต้องเดินทางไปปรโลกด้วยกันจริงๆ แล้ว”

ฉินเจิงพูดอย่างฮึกเหิม “ไม่มีทาง ไม่มีทาง พวกเราจะต้องทำสำเร็จแน่ ท่านอาจารย์ไม่มีทางพ่ายแพ้เด็ดขาด”

หลี่เสี่ยนถอนหายใจ ในใจคิดว่าจะง่ายดายเพียงนั้นจริงหรือ เขานึกถึงใบหน้าสุภาพซูบผอมดวงนั้น

ราตรีนี้คือราตรีใด มิรู้คนเท่าใดมิอาจหลับใหลยามค่ำคืน

ตอนต่อไป