รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า เดือนเก้าวันที่ยี่สิบ จักรพรรดิเสด็จถึงพระราชวังเลี่ยกง ตกกลางคืนรัชทายาทลอบก่อกบฏ ยงอ๋องตกอยู่ในอันตราย
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติเกาจู่
หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่สอง เดือนเก้าวันที่ยี่สิบ กบฏปลอมพระราชโองการเรียกยงอ๋องเข้าเฝ้า แต่ถูกเจียงเจ๋อมองออก อันตรายกรายใกล้ เจียงเจ๋อรับคำสั่งบัญชาการดั่งตาเห็นจนยงอ๋องฝ่าวงล้อมสำเร็จ
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ข้าสะลึมสะลือหลับอยู่ภายในรถม้าจนมาถึงพระราชวังเลี่ยกง
พระราชวังเลี่ยกงเป็นสถานที่ประทับระหว่างแปรพระราชฐานที่จักรพรรดิแห่งต้ายงใช้ในการเสด็จประพาสล่าสัตว์ทุกปี ตั้งอยู่ที่ตีนเขาหลีซาน มีตำหนักใหญ่น้อยหลายสิบแห่ง และค่ายกองทหารราชองครักษ์สามด้านล้อมพระราชฐานไว้ตรงกลาง
องค์จักรพรรดิย่อมประทับอยู่ที่ตำหนักเสี่ยวซวงซึ่งเป็นตำหนักหลักของพระราชฐาน ส่วนฮองเฮา จี้กุ้ยเฟย เหยียนกุ้ยเฟย ต่างแยกกันประทับอยู่ในตำหนักรอบด้าน จ่างซุนกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อกลับประทับอยู่ที่อุทยานหันเซียงฝั่งตะวันออก อุทยานหันเซียงปลูกดอกเบญจมาศไว้ทั่ว หลี่หยวนตั้งใจให้องค์หญิงฉางเล่อผู้ที่พักนี้หดหู่เศร้าหมองได้คลายความกลัดกลุ้มสักหน่อย ฝ่ายรัชทายาทประทับอยู่ที่ตำหนักอวี้หลิน ส่วนยงอ๋องประทับอยู่ที่เรือนพักหย่าหนิง ในขณะที่ฉีอ๋องประทับอยู่ที่อุทยานเซวียนหวา
ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ตนเองทนเดินทางระหกระเหินมิได้ จึงจงใจกินยาแล้วหลับลึกมาตลอดทาง จนกระทั่งจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วค่อยตื่นขึ้นมา
เสี่ยวซุ่นจื่อบอกข้าว่าจักรพรรดิทรงมีพระบัญชาว่าวันนี้เดินทางเหน็ดเหนื่อยแล้ว องค์ชายกับขุนนางใหญ่ทั้งหลายไม่ต้องไปเข้าเฝ้า วันพรุ่งนี้ยามออกล่าสัตว์ค่อยไปคารวะยามเช้าก็พอ ข้าจึงถามว่า “มีข่าวรัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้หรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบว่า “ยังไม่มีขอรับ นอกจากแม่ทัพใหญ่ฉินที่พาแม่ทัพฉินชิงไปวางกำลังป้องกันด้วยตนเองก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ”
ข้ารับแผนที่การวางกำลังป้องกันที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งมาให้ แม่ทัพใหญ่ฉินมิเสียทีเป็นแม่ทัพผู้ลือชื่อ วางกำลังป้องกันไร้ช่องโหว่ให้โจมตี ผู้คุ้มกันที่ประทับขององค์จักรพรรดิคือฉินชิงที่บัญชาการกองราชองครักษ์ค่ายบูรพาสามพันนาย ผู้อารักขาตำหนักฝั่งตะวันออกของพระราชวังเลี่ยกงคือแม่ทัพหยางแห่งกองราชองครักษ์ค่ายทักษิณ ผู้คุ้มครองฝั่งตะวันตกคือเผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์ค่ายอุดร ผู้ที่รับผิดชอบกององครักษ์ส่วนพระองค์คือหัวหน้าองครักษ์เหลิ่งชวน ประตูเย่ว์หวาที่ต้องผ่านหากจะเข้าไปยังตำหนักกลางจากฝั่งตะวันตกกับประตูจงชุ่ยที่ใช้เข้าตำหนักกลางจากฝั่งตะวันออกล้วนถูกทหารราชองครักษ์ผู้คุ้มกันตำหนักกลางกับองครักษ์ส่วนพระองค์คุมไว้อย่างเข้มงวด คิดจะก่อกบฏเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
แต่ว่า ข้ายิ้มเจื่อนนิดๆ แม่ทัพใหญ่ฉินก็มีใจลำเอียงต่อบุตรชายของตนอยู่เล็กน้อย การจัดการเช่นนี้ แม้วางฉินชิงไว้ใต้การควบคุม แต่ก็มีเจตนาจะให้ฉินชิงสร้างความชอบหากเกิดเรื่อง
ตกดึก ข้ากับยงอ๋องจิบชาพลางถกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ข้ากระสับกระส่ายอยู่บ้าง แต่ยงอ๋องกลับสุขุมยิ่งนัก ตัวเขาผ่านอันตรายมามิรู้เท่าใดจึงไม่กลัดกลุ้มกังวลกับเรื่องเช่นนี้นานแล้ว เพิ่งพ้นยามหนึ่ง ทันใดนั้นซือหม่าสยงพลันเข้ามารายงาน “องค์ชาย ใต้เท้าเหวยมาถ่ายทอดราชโองการ”
ยงอ๋องกับข้าล้วนงงงัน เหวยอิงมาหรือ แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง เรื่องนี้ก็มิแปลก ครั้งนี้จักรพรรดิเสด็จประพาสล่าสัตว์จึงพาเหวยอิงมาถ่ายทอดพระบัญชาแทนเขาเพียงคนเดียว มิได้พาขุนนางบุ๋นผู้อื่นมาด้วย อีกประการหนึ่ง หลายปีนี้เหวยอิงก็เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง ทุกวันอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท มิทราบว่ามีราชโองการเท่าไรที่เป็นลายมือของเหวยอิง ยงอ๋องจึงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ หากฝ่าบาทมีราชโองการก็สมควรเป็นเหวยอิงมา
ข้าเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับยงอ๋อง เห็นเหวยอิงสวมอาภรณ์สีม่วงผูกสายคาดเอว ท่วงท่าผ่าเผย กิริยาสง่างาม เขาเห็นยงอ๋องก็ยิ้มเอ่ยว่า “องค์ชาย กระหม่อมรับบัญชาฝ่าบาทมาถ่ายทอดราชโองการ เชิญองค์ชายคุกเข่ารับ”
ยงอ๋องเหลือบมองข้าแล้วก้มลงคารวะ ข้าคุกเข่าตามเบื้องหลัง จิงฉือกับซือหม่าสยงแม้คุกเข่าลงแต่ยังจับจ้องเหวยอิงอย่างดุดัน สถานการณ์ตอนนี้ผู้ใดก็มิกล้าหย่อนยาน
เหวยอิงคล้ายจะไม่รู้สึกถึงสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้แม้แต่น้อย กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง เรียกตัวยงอ๋องหลี่จื้อเข้าเฝ้าที่ตำหนักเสี่ยวซวง”
หลี่จื้อขานรับราชโองการ หลังจากจึงลุกขึ้นขยับยิ้ม “ใต้เท้าเหวย มิทราบว่าเสด็จพ่อมีสิ่งใดจะบัญชา ก่อนหน้านี้มิได้ตรัสว่าวันนี้ไม่ต้องให้พวกเราเข้าเฝ้าหรือ”
เหวยอิงตอบว่า “เดิมทีฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก แต่หลังจากบรรทมก็ทรงมีกำลังวังชาขึ้นมาก ฮองเฮากับพระสนมหลายคนล้วนตามเสด็จมาด้วยจึงร่วมจิบชาสนทนาสัพเพเหระ เมื่อครู่ฝ่าบาทดำริว่าจะเรียกองค์ชายทั้งหลายกับองค์หญิงฉางเล่อร่วมงานเลี้ยงในครอบครัว กระหม่อมไปถ่ายทอดบัญชาให้รัชทายาทกับองค์หญิงฉางเล่อแล้ว ประเดี๋ยวก็จะไปเชิญฉีอ๋องต่อ”
ยงอ๋องคลายใจลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ใต้เท้าเหวยเชิญไปส่งต่อพระบัญชาเถิด ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้”
เหวยอิงถ่ายทอดราชโองการเสร็จก็คำนับแล้วขอตัวจากไป ยงอ๋องยิ้มให้ข้าพลางเอ่ยว่า “เหวยอิงมีคุณสมบัติพอเป็นเสนาบดี อนาคตคงวางใจใช้งานได้”
ข้ากำลังจะเอ่ยเห็นด้วย แต่ทันใดนั้นในใจกลับหนาววูบขึ้นมาอย่างมิรู้สาเหตุ ท่าทางที่เหวยอิงแสดงออกเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่เหตุใดข้ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ข้าทุ่มสมาธิเงี่ยหูฟังโดยสัญชาตญาณ เวลานี้เหวยอิงเดินออกจากประตูเรือนพักหย่าหนิงแล้ว ตอนนี้เอง ข้าได้ยินเสียงเขาผ่อนลมหายใจ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะหยันแผ่วเบา นั่นเป็นเสียงหัวเราะยามสมประสงค์
ข้าพลันนึกถึงเรื่องราวมากมายขึ้นมา ตระกูลเหวยเป็นกลางมาเสมอจึงสงบสุขมาตลอด ในขณะที่สำนักเฟิงอี้ทุ่มกำลังดึงตระกูลฉินเป็นพวก แม้อาจเป็นเพราะตระกูลฉินกุมกำลังทหาร แต่ก็มิสมควรไม่แตะตระกูลเหวยสักนิดสิ แล้วเมื่อลองนึกถึงตอนตำหนักบูรพาของรัชทายาทเกิดเรื่อง เหวยอิงรับบัญชาให้เฝ้าคุ้มกันรัชทายาท เจิ้งซื่อจงแสดงท่าทีตำหนิรัชทายาทอย่างชัดแจ้งในการประชุมต่อหน้าพระพักตร์ หลังจากนั้นก็ถูกลอบสังหารที่ประตูจูเชว่ คืนนองเลือดที่ฉางอัน คนปิดหน้าที่จู่โจมองครักษ์ของชิ่งอ๋องกับมือสังหารที่ลอบสังหารเจิ้งซื่อจงล้วนเป็นบุรุษ เหวยอิงน่าจะมีวรยุทธ์มิใช่ชั่ว เรื่องนี้เสี่ยวซุ่นจื่อเคยเอ่ยอย่างไม่ตั้งใจ ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองตกลงมากลางกับดักแล้ว หากเหวยอิง หรือทั้งตระกูลเหวยสมคบกับสำนักเฟิงอี้จะเป็นเช่นไร
ข้าเอ่ยอย่างเฉียบขาด “เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าไปลองดูด้านนอกว่ามีคนซุ่มโจมตีหรือไม่ จำไว้อย่าเผยร่องรอย”
พวกยงอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าพรั่นพรึงวูบหนึ่ง ก่อนที่ร่างกายจะหายลับไปในราตรี หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสี่ยวซุ่นจื่อก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ประตูเย่ว์หวามีกองราชองครักษ์ค่ายบูรพาซุ่มอยู่ ตะวันตกมีศิษย์สำนักเฟิงอี้ซ่อนอยู่ทั่ว ข้าเห็นเหวินจื่อเยียน แต่มิกล้าเข้าใกล้”
ยงอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เหวยอิงสมคบกับสำนักเฟิงอี้”
ภายในเวลาสั้นๆ นี้ ข้าเข้าใจเรื่องราวมากมายจนกระจ่าง สีหน้ากลับกลายเป็นสุขุม ข้าสะบัดพัดแผ่วเบาแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าคำนวณพลาดเอง ฐานะของเหวยอิงทำให้คนมากมายในพระราชวังเลี่ยกงเชื่อว่าคำพูดของเขาคือราชโองการของฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคาดเดาแผนการของสำนักเฟิงอี้ออกแล้ว พวกนางใช้กองทัพของฉีอ๋องดึงสายตาของพวกเราไป แต่ผู้ที่พวกนางจะใช้ก่อกบฏจริงๆ คือกองทหารราชองครักษ์”
คิ้วกระบี่ของหลี่จื้อเลิกขึ้น เขาเอ่ยว่า “กองทหารราชองครักษ์จะถูกพวกนางใช้งานได้อย่างไร”
ข้ายิ้มฝืดเฝื่อนกล่าวว่า “องค์ชายกับกระหม่อมล้วนคิดผิดอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือคิดว่าหากมิได้ครองอำนาจควบคุมกองทหารราชองครักษ์ย่อมมิอาจใช้พวกเขาก่อกบฏ ในเมื่อผู้ที่ถืออำนาจควบคุมมีเพียงแม่ทัพใหญ่ฉินกับฉินชิง และตอนนี้พวกเราเชื่อมั่นว่าฉินชิงมิอาจควบคุมกองทหาราชองครักษ์ทั้งหมดได้ พวกเราจึงละเลยเรื่องหนึ่งไป เรื่องที่ว่าผู้ที่ควบคุมกองทหารราชองครักษ์ได้ยังมีอีกผู้หนึ่ง นั่นก็คือฝ่าบาท”
ซือหม่าสยงกับจิงฉือล้วนอุทานตกใจ ข้ามิสนใจพวกเขาแต่กล่าวต่อ “หลี่หันโยวมีฐานะเป็นองค์หญิง ทั้งยังเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลฉิน หากนางถือราชโองการของฝ่าบาทมาบอกว่าได้รับบัญชาให้มาบัญชาการกองทหารราชองครักษ์ ทุกท่านคิดว่าจะเป็นเช่นไร”
ในใจทุกคนล้วนพรั่นพรึง ข้าเอ่ยต่อ “หลี่หันโยวค่อนข้างมีอิทธิพลในกองทหารราชองครักษ์ แม้ในความเป็นจริงสองปีที่ผ่านมาฉินชิงมิอาจควบคุมกองทหารราชองครักษ์ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ปกครองกองราชองครักษ์ค่ายบูรพาโดยตรง หลี่หันโยวมีฐานะเป็นถึงองค์หญิง แล้วทหารราชองครักษ์เหล่านั้นยังเป็นฝ่ายของตระกูลฉิน ถ้าเช่นนั้น หลี่หันโยวซื้อตัวไว้สักสองสามพันคนจะนับเป็นอันใด เมื่อรวมกับมีเหวยอิงซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ที่ตามเสด็จมาถ่ายทอดพระราชโองการ ทั้งรัชทายาทก็เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ขอเพียงควบคุมตำหนักเสี่ยวซวงไว้ได้ ฝ่าบาทถ่ายทอดพระบัญชาออกมาไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นองค์ชายก็โดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ ยามนี้กองทหารขององค์ชายอยู่ห่างไปร้อยลี้ มีแต่จะถูกคนสังหารตามใจ”
พวกซือหม่าสยงกับจิงฉือล้วนตกตะลึงอย่างยิ่ง แต่ยงอ๋องกลับสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยว่า “ในเมื่อสุยอวิ๋นล่วงรู้แผนการของสำนักเฟิงอี้แล้ว คิดว่าคงมีวิธีรับมือแล้ว”
ข้าถอนหายใจ เอ่ยว่า “องค์ชายช่างรู้ใจกระหม่อมยิ่งนัก ช่องโหว่เพียงอย่างเดียวในแผนการนี้ของพวกเขาก็คือจะจุดความสงสัยของพวกเรามิได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมิกล้ากำจัดแม่ทัพเผยล่วงหน้า ยามนี้ทางรอดเพียงหนึ่งเดียวขององค์ชายก็อยู่ที่ตรงนี้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาปลอมราชโองการเรียกองค์ชายไปยังตำหนักเสี่ยวซวง พวกเขาคิดจะซุ่มโจมตีที่ประตูเย่ว์หวา สังหารองค์ชายในครั้งเดียว ถึงเวลาแม่ทัพเผยย่อมได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่ง ถึงอย่างไรแม่ทัพเผยก็ยังมีครอบครัวอยู่ ตอนนี้ด้วยบุญบารมีขององค์ชาย กระหม่อมจึงมองแผนการของพวกเขาออก ถ้าเช่นนี้ย่อมมีทางรอด ขอองค์ชายดำเนินการตามที่กระหม่อมบอก”
หลี่จื้อเอ่ยอย่างสุขุม “สุยอวิ๋น ข้าเชื่อมั่นในวิธีของท่าน ยามนี้ชีวิตของข้าฝากไว้กับท่านแล้ว ท่านออกคำสั่งเถิด”
ตอนต่อไป