ข้าค้อมกายคำนับเอ่ยว่า “หลายวันนี้กระหม่อมเลอะเลือนเพราะอาการบาดเจ็บจึงไม่รับรู้แผนการของศัตรู องค์ชายมิกล่าวโทษกระหม่อมนับว่าโชคดีเป็นล้นพ้น ขอบพระทัยองค์ชายที่ยังเชื่อในการตัดสินใจของกระหม่อม”
หลี่จื้อคำนับกลับ “สุยอวิ๋นโปรดอย่าคิดมาก เป็นข้าเองที่ตั้งใจมิให้ท่านทราบสถานการณ์ภายนอกในช่วงนี้ วันนี้สถานการณ์จึงพลิกผัน เชิญสุยอวิ๋นสั่งการ ข้าจะน้อมรับบัญชาแน่นอน”
ข้าลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจรับหน้าที่แทน ยามนี้องค์ชายต้องฝ่าวงล้อม แต่ก่อนจะฝ่าออกไป องค์ชายต้องรวมตัวกับแม่ทัพเผยก่อน กระหม่อมเชื่อว่ายามนี้แม่ทัพเผยยังปลอดภัยดี เจ้าสำนักเฟิงอี้ดำเนินแผนการย่อมมิแหวกหญ้าให้งูตื่น แม่ทัพเผยวรยุทธ์สูงส่ง ทั้งยังครองใจทหาร หากใช้กำลังบังคับ เกรงว่าจะทำให้องค์ชายสงสัย ดังนั้นยามนี้เสี่ยวซุ่นจื่อต้องไปหาเผยอวิ๋นทันที ให้เขากับองค์ชายรวมกลุ่มแล้วฝ่าออกจากพระราชวังเลี่ยกงด้วยกัน ข้างกายแม่ทัพเผยคงมีมือสังหารของสำนักเฟิงอี้ซ่อนตัวอยู่แน่ เสี่ยวซุ่นจื่อต้องไปปกป้องแม่ทัพเผย มิเช่นนั้นองค์ชายจะไม่มีโอกาสฝ่าวงล้อม ตอนนี้ราชโองการปลอมน่าจะยังไม่แพร่ไปทั่วทั้งกองทัพ ดังนั้นหากองค์ชายฝ่าวงล้อมน่าจะยังไม่มีปัญหา ทว่าก่อนรวมกลุ่มกับแม่ทัพเผย ต้องอาศัยองครักษ์คนสนิทขององค์ชายกับยอดฝีมือที่สำนักใหญ่แต่ละแห่งส่งมาต้านการล้อมสังหารของสำนักเฟิงอี้ ส่วนจุดนัดพบ ข้าคิดว่าควรให้องค์ชายตัดสินพระทัย”
ยงอ๋องชี้แผนที่ซึ่งกางอยู่แล้วตอบว่า “ตอนนี้มีเพียงทางตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่ฝ่าออกไปได้ เสี่ยวซุ่นจื่อ บอกแม่ทัพเผยให้มารวมตัวที่นี่ เมื่อเห็นไฟด้านนี้ก็คือยามที่พวกเราเคลื่อนไหว”
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้า ร่างกายหายลับไปอีกครั้ง
ข้าเอ่ยอีกว่า “หลังจากองค์ชายฝ่าวงล้อม ให้ส่งของสิ่งนี้ถึงมือฉินหย่ง แม่ทัพที่คุมกองทหารตระกูลฉินอยู่ตอนนี้ทันที สิ่งนี้เดิมทีกระหม่อมเตรียมไว้เผื่อเหตุไม่คาดฝัน คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้จริงๆ มีของสิ่งนี้ อย่างน้อยฉินหย่งก็ไม่มีทางโจมตีองค์ชาย”
เวลานี้ ซือหม่าสยงก็เข้ามาเอ่ยว่า “องค์ชาย พวกเราเตรียมการพร้อมแล้ว แต่…” ซือหม่าสยงมองมาหาข้า อยากพูดแต่ก็หยุดไป ข้ายิ้มละไมเอ่ยว่า “องค์ชาย ครั้งนี้กระหม่อมมิอาจฝ่าวงล้อมไปกับองค์ชายได้”
ยงอ๋องตกตะลึง จับมือข้าเอ่ยทันที “สุยอวิ๋น ท่านพูดเหลวไหลอันใด ท่านไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ หากรั้งอยู่ต่อย่อมต้องพบอันตราย จะไม่ไปได้เช่นไร”
ข้ายิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “องค์ชาย สุยอวิ๋นร่างกายอ่อนแอ องค์ชายฝ่าวงล้อมครั้งนี้ต้องเร่งควบอาชา หากกระหม่อมเดินทางไปด้วย มีแต่จะตายกลางทางเท่านั้น”
หลี่จื้อส่ายหน้า เอ่ยว่า “ท่านโปรดวางใจ ข้าจะใช้รถม้าพาท่านไป อีกอย่างฝ่าวงล้อมด้วยกันกับข้ายังมีทางรอด แต่หากอยู่ต่อ น่ากลัวว่าจะตายสถานเดียว สำนักเฟิงอี้มิปล่อยท่านไว้เป็นแน่”
ข้ายิ้มละไม เดินเข้าไปหายงอ๋องแล้วกระซิบแผ่วเบาหนึ่งประโยค ยงอ๋องอึ้งชั่วครู่ จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าครุ่นคิด ข้าไม่รอให้เขาขบคิดจนเข้าใจ ก็เอ่ยว่า “องค์ชายชักช้ามิได้แล้ว ข้าจะให้ต่งเชวียคอยคุ้มครองข้าอยู่ที่นี่ หากองค์ชายฝ่าวงล้อมออกไปได้ ต่อให้กระหม่อมตกอยู่ในมือศัตรูก็ยังมีทางรอด องค์ชาย ยามนี้กองทัพขององค์ชายกับฉีอ๋องล้วนเป็นน้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ กองทหารของแม่ทัพใหญ่ฉินจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญ โปรดเชื่อมั่นว่ากระหม่อมจะพยายามเอาการสนับสนุนของแม่ทัพใหญ่มามอบแด่องค์ชายให้จงได้ แม่ทัพใหญ่ผ่านสนามรบมาเนิ่นนาน คงมิยินยอมถูกควบคุมเช่นกัน”
เวลานี้เอง ซือหม่าสยงก็เดินเข้ามาเอ่ยว่า “องค์ชาย ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว องค์ชายโปรดตัดสินใจโดยเร็ว”
ข้าเอ่ยอย่างจริงจัง “แม่ทัพซือหม่า ความปลอดภัยขององค์ชายฝากไว้ในมือท่านแล้ว เจียงเจ๋อฝากภาระสำคัญไว้กับท่าน”
ซือหม่าสยงคำนับตอบว่า “แม้ข้าร่างแหลกเป็นผุยผงก็จะปกป้ององค์ชายฝ่าลงล้อมออกไปให้จงได้”
ข้าหันไปมองจิงฉือต่อ “จิงฉือ ท่านเป็นแม่ทัพคนสำคัญข้างกายองค์ชาย ครั้งนี้ท่านต้องรับหน้าที่สำคัญ จะเกียจคร้านมิได้”
จิงฉือยิ้มรวดร้าวตอบว่า “หากข้าทำมิเต็มที่ อย่างมากท่านอาจารย์ก็ลงโทษให้ข้าคัดตำราเพิ่มสักหลายเล่ม”
แม้พวกเขาได้ยินข้าบอกว่ามีวิธีรักษาตัวรอด แต่ผู้ใดก็ล้วนทราบว่านั่นเป็นเรื่องไม่แน่นอน พวกเขาฝ่าวงล้อมยังมีโอกาสรอดสามส่วน แต่ข้าอยู่ต่อโอกาสรอดย่อมริบหรี่ ทว่าพวกเขาตระหนักดีว่ามิอาจพาข้าฝ่าวงล้อมไปด้วยได้ ความละอายในใจยิ่งทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและจิตสังหาร
หลี่จื้อมองไปทางต่งเชวีย ชายหนุ่มผู้เงียบงันคนนี้ แล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ต่งเชวีย หากเจ้าปกป้องสุยอวิ๋นจนได้มาพบข้าอีกครั้งได้ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม ต่อให้ก่อนหน้านี้เจ้าทำสิ่งไม่ดีงามประการใด ข้าก็จะไม่เอาความเด็ดขาด”
ต่งเชวียสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงคำนับเล็กน้อยครั้งหนึ่ง ข้ากลับยิ้มจืดเจื่อน ชะรอยยงอ๋องคงสงสัยตัวตนของต่งเชวียอยู่แล้วสินะ
หลี่จื้อก้าวเท้าออกจากประตูตำหนัก กวาดสายตามองทุกคนที่สวมชุดเกราะเต็มยศแล้วเอ่ยว่า “ข้าลากพวกท่านมาพัวพันด้วย ยามนี้รัชทายาทก่อกบฏ หมายจะสังหารข้า ทุกท่านติดตามข้าฝ่าวงล้อมมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิด หลี่จื้อไร้สิ่งใดตอบแทน มีเพียงคำสาบานต่อฟ้าว่าหากข้าโชคดีพ้นภัยไปได้ ทุกท่านล้วนเป็นสหายร่วมทุกข์ของข้า จักมีรางวัลให้อย่างงาม หากมีผู้ใดขลาดกลัว จะอยู่ยอมจำนนก็ได้ ข้าจะมิกล่าวโทษเด็ดขาด”
ทุกคนไม่อาจส่งเสียงดัง จึงล้วนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “รัชทายาทไร้คุณธรรม จักรพรรดิถูกหลอกลวง ชีวิตองค์ชายเกี่ยวพันถึงแผ่นดินต้ายง ถึงพวกกระหม่อมต้องทอดร่างเกลื่อนพื้น ตายหมื่นหนก็มิปฏิเสธ”
หลี่จื้อโบกมือ ขึ้นม้านำเป็นคนแรกท่ามกลางการคุ้มกันของซือหม่าสยงกับจิงฉือ แล้วควบอาชาทะยานออกไป เรือนพักหย่าหนิงแห่งนี้เหลือเพียงข้ากับต่งเชวียสองคน ข้ามองดูต่งเชวียแล้วขยับยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ากลัวหรือไม่”
ต่งเชวียเอ่ยอย่างเรียบเฉย “คุณชายยังไม่กลัว ต่งเชวียมีสิ่งใดให้กลัวเล่า มิทราบว่าคุณชายวางแผนไว้เช่นไร”
ยามนี้เองเสียงเข่นฆ่าสะเทือนแก้วหูก็ดังมาจากไกลๆ ข้าโยนคบไฟลงไป จุดเชื้อเพลิงที่พวกซือหม่าสยงรวบรวมมา แสงเปลวเพลิงส่องกระทบใบหน้าซีดเผือดของข้ากลายเป็นสีเลือด
นอกเรือนพักหย่าหนิง เหวินจื่อเยียนกับเยี่ยนอู๋ซวงนำมือกระบี่สำนักเฟิงอี้ห้าสิบคนเฝ้าจับตาเรือนพักหย่าหนิงอยู่ ส่วนเหวยอิงอยู่ที่ประตูเย่ว์หวา ถือ ‘ราชโองการ’ มาบัญชากองทหารราชองครักษ์ให้เตรียมพร้อมซุ่มโจมตีขบวนของยงอ๋อง ด้วยชื่อเสียงของตระกูลเหวยกับราชโองการลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท แม้กองทหารราชองครักษ์เหล่านั้นจะแคลงใจ แต่ก็มิอาจฝ่าฝืนคำสั่ง ถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว ฝ่าบาทจึงจะเป็นผู้ที่พวกเขาภักดี ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ เหวยอิงก็ยังเตรียมกองทหารราชองครักษ์ส่วนที่สำนักเฟิงอี้ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์เอาไว้บริเวณเรือนพักหย่าหนิงเพื่อลดโอกาสที่ยงอ๋องจะหนีรอดด้วย
ระหว่างที่พวกเขาเริ่มร้อนใจ ทันใดนั้นประตูใหญ่ของเรือนพักหย่าหนิงก็เปิดออกกว้าง ยงอ๋องผู้สวมเกราะทอง มือถือแหลนอาชาพลันตะโกนก้อง “รัชทายาทก่อกบฏ หมายจะสังหารข้าหลี่จื้อ ข้าคือแม่ทัพเทียนเช่อ ไฉนจะถูกคนถ่อยทำร้าย ประชาชนต้ายงของข้าจงอย่าถูกคนชั่วยุยง” กล่าวจบก็นำร้อยอาชาตะลุยฝ่าออกไปภายใต้การคุ้มกันของซือหม่าสยงกับจิงฉือที่ขนาบซ้ายขวา พระราชวังเลี่ยกงแห่งนี้เป็นสถานที่ไว้ใช้ล่าสัตว์ ดังนั้นทางเดินในพระราชวังจึงขี่ม้าได้ เหวินจื่อเยียนตกตะลึงมองคนเหล่านี้ทะยานผ่านหน้าไป
เหวินจื่อเยียนปฏิกิริยาว่องไวยิ่งนัก ในใจคิดว่าทางที่พวกเขามุ่งไปคือประตูเย่ว์หวา คิดว่าคงจะไปกราบทูลฝ่าบาทเป็นแน่ มิสู้พวกเราอยู่ด้านหลังปิดทางถอยของพวกเขาก็พอ นางผิวปากแผ่วเบาครั้งหนึ่ง แต่รอบด้านล้วนได้ยิน จากนั้นพากองทหารราชองครักษ์โอบล้อมจากด้านหลัง
เหวยอิงซุ่มอยู่ที่ประตูเย่ว์หวา หลังจากได้ยินเสียงตะโกนก้องของยงอ๋องและเสียงผิวปากแผ่วเบาของเหวินจื่อเยียน หัวใจก็พรั่นพรึง ออกคำสั่งให้เตรียมธนูทันที ส่วนตนเองพากองทหารราชองครักษ์พันนายเข้าประจันหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเตรียมป้องกันไม่ให้ยงอ๋องฝ่าวงล้อมทางอื่น ยงอ๋องชำนาญกลศึก เขาไม่คิดว่ายงอ๋องจะมุ่งมายังทางที่เห็นชัดว่าเป็นทางตันเส้นนี้
ใต้แสงจันทรา ลูกศรสีดำดอกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ทหารราชองครักษ์เกราะเขียว จิงฉือตวาดลั่น แหลนอาชาในมือสะบัดพลิ้วกวาดทหารราชองครักษ์ที่ยังไม่ทันขึ้นขี่อาชาเหล่านั้นจนแหวกเป็นทาง แหลนอาชาของซือหม่าสยงก็มิได้ว่างเว้น โลหิตสาดกระเซ็น ยงอ๋องตะโกนลั่น “ข้าหลี่จื้อ ผู้ใดกล้าขวางข้า” ดาบประจำกายในมือตวัดฉับไวสังหารทหารราชองครักษ์หนึ่งนาย หากเผชิญหน้าศัตรู ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นคงโถมตามหลังกันมิมีหวั่นเกรง ทว่าเผชิญหน้ากับเทพสงครามแห่งต้ายงผู้ที่ตนเลื่อมใสในใจมาเนิ่นนาน ความตั้งใจจะสู้ย่อมลดฮวบ เพียงพริบตาขบวนทัพหัวลูกศรที่ยงอ๋องบัญชาก็ทะลวงฝ่าการขวางกั้นของกองทหารราชองครักษ์ เหวยอิงที่ยืนบัญชาการอยู่ไกลๆ ขมวดคิ้ว เขามิสะดวกลงมือเพราะต้องรักษาฐานะของผู้แทนพระองค์ เวลานี้เอง เงาร่างของเหวินจื่อเยียนพลันปรากฏตัวขึ้น จากนั้นทะยานรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบโจนข้ามคนหลายคนเข้ามาใกล้ด้านข้างของยงอ๋อง ร่างกับกระบี่ประสานเป็นหนึ่งพุ่งหายงอ๋องอย่างว่องไว
ตอนนี้เอง ยงอ๋องพลันออกคำสั่ง ขบวนทัพที่เข้าใกล้ประตูเย่ว์หวาแล้วกลับหันเปลี่ยนทางอย่างรวดเร็วฝ่าวงล้อมออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ หากมีแม่ทัพผู้ปรีชาคอยบัญชาการ บางทีอาจมีการตั้งแนวป้องกันไว้ล่วงหน้า ทว่าเหวยอิงกับเหวินจื่อเยียนที่อยู่ตรงนั้นต่างมิใช่แม่ทัพผู้ชำนาญกระบวนทัพ และไม่คาดคิดมาก่อนว่ายงอ๋องจะล่วงรู้แผนร้ายแล้วฝ่าวงล้อมสายฟ้าแลบ ด้วยเหตุนี้จึงตกตะลึงมองยงอ๋องทะลวงฝ่าแนวป้องกันที่เบาบางของกองทหารราชองครักษ์ด้านหลังอีกครั้ง
เหวินจื่อเยียนตะโกนเสียงดัง “กบฏคิดจะไปรวมตัวกับเผยอวิ๋น ปล่อยเขาไปไม่ได้ ตาม”
เวลานี้เอง จู่ๆ เรือนพักหย่าหนิงก็ไฟไหม้ เปลวเพลิงลามเลียเร็วยิ่งนัก ฝุ่นควันบดบังสายตา ขบวนทัพหัวลูกศรของยงอ๋องทะลวงผ่านด้านข้างของเรือนพักหย่าหนิง พุ่งตรงไปยังประตูข้างทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชวังเลี่ยกง ขณะที่ยงอ๋องเพิ่งจะทะยานพ้นเรือนพักหย่าหนิง ประกายกระบี่สายหนึ่งพลันทะลวงออกมาจากพื้นดินดุจสายฟ้า พุ่งตรงเข้าใส่ยงอ๋อง องครักษ์คนสนิทของยงอ๋องผู้หนึ่งกระโจนลงจากหลังม้า ดาบยาวในมือฟาดฟันลงมา ประกายกระบี่กับประกายดาบปะทะกันแล้วดับมอด องครักษ์คนสนิทผู้นั้นร่วงหล่นจากอากาศ โลหิตสาดโปรยปราย ทว่าประกายกระบี่สายนั้นก็มิอาจรุกคืบต่อ จนยงอ๋องฝ่าพ้นบริเวณเรือนพักหย่าหนิงสำเร็จ
ประกายกระบี่ดับแสง สตรีผู้สวมชุดจอมยุทธ์สีม่วงทะยานถอยออกมาอย่างรวดเร็ว หลบพ้นดาบยาวที่ฟาดฟันลงมาอย่างต่อเนื่องจากองครักษ์คนสนิทของยงอ๋องซึ่งพุ่งเข้ามาเหล่านั้น
เหวินจื่อเยียนหวั่นใจ เยี่ยนอู๋ซวงลอบสังหารพลาด เวลานี้หากใช้มือกระบี่เหล่านั้นของสำนักเฟิงอี้ แม้จะยื้อยงอ๋องไว้ได้ แต่ต้องเสียหายสาหัสแน่ นางตัดใจสละมิลง อีกประการ ยงอ๋องคิดจะไปรวมกับเผยอวิ๋น เกรงว่าเรื่องนั้นคงไม่มีหวัง ถึงเวลาย่อมรุกถอยลำบาก ตอนนั้นจึงจะเป็นโอกาสดีให้มือกระบี่สำนักเฟิงอี้สำแดงเดช ดังนั้นนางจึงมิได้ใช้มือกระบี่เหล่านั้น แต่ปล่อยให้ยงอ๋องฝ่าไปทางตะวันตกเฉียงใต้
ตอนต่อไป