ภาค-3-คลื่นใต้น้ำถาโถม ตอนที่ 49 ฝ่าวงล้อมพระราชวังเลี่ยกง (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ยามนั้น ไท่จงแสร้งบุกไปทางตะวันออก ก่อนเปลี่ยนทิศสู่ตะวันตกเฉียงใต้ โชคดีได้แม่ทัพเผยอวิ๋นประสานจึงฝ่าวงล้อมออกมาสำเร็จ ทว่ากองทัพกบฏไล่ล่าร้อยลี้ ไท่จงถูกล้อมตกอยู่ในอันตรายหลายหน โชคดีแม่ทัพและทหารกล้าทั้งหลายแลกชีวิตเข้าปกป้องจึงรอดจากอันตราย

…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง

ก่อนยงอ๋องฝ่าวงล้อม เผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์ค่ายอุดรกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ท่ามกลางวงล้อมแน่นหนาของสหายร่วมศึกของตน เขาเดียวดายเผชิญหน้าศัตรูตามลำพัง

เผยอวิ๋นถอนหายใจเบาๆ พลางกระชากชุดออกศึกแถบหนึ่งออกแล้วพันบาดแผลบนหัวไหล่ ฝั่งตรงข้ามของเขามีชายหนุ่มท่วงท่าสง่างาม ดวงหน้าประหนึ่งหยกผู้หนึ่ง เขาก็คือเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้กำลังยืนอมยิ้ม ข้างกายเขาคือมือกระบี่หญิงอาภรณ์สีหิมะสี่นาง ปลายกระบี่ของมือกระบี่หญิงนางหนึ่งในนั้นมีโลหิตแดงฉานเปื้อนอยู่

ถัดจากทั้งหกคนคือทหารราชองครักษ์ฝ่ายเซี่ยโหวหยวนเฟิงที่กำลังล้อมทั้งหกคนเอาไว้ ถัดจากนั้นอีกคือทหารราชองครักษ์ที่ภักดีต่อเผยอวิ๋น เวลานี้สองฝ่ายกำลังประจันหน้ากัน เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิกล้าบีบคั้นเผยอวิ๋นมากเกินไป มิเช่นนั้นทหารราชองครักษ์ด้านนอกอาจบดร่างพวกเขาเป็นกองเศษเนื้อด้วยความเดือดดาล ส่วนเผยอวิ๋นก็มิกล้าให้ลูกน้องของตนโจมตี มิฉะนั้นเกรงว่ายังไม่ทันจะบุกฝ่าวงล้อมเข้ามา เผยอวิ๋นก็คงตายก่อนแล้ว

เซี่ยโหวหยวนเฟิงขยับยิ้ม “แม่ทัพเผยไยต้องดื้อดึงเช่นนี้ เดิมท่านก็เป็นผู้ใต้บัญชาของฉีอ๋อง ฉีอ๋องก็เป็นผู้สนับสนุนรัชทายาท บุญคุณเล็กน้อยที่ยงอ๋องมีต่อท่านจะเทียบกับความเมตตาในวันวานของฉีอ๋องได้เช่นไร หากท่านแม่ทัพยอมเปลี่ยนใจ ข้ารับประกันว่ารัชทายาทกับฉีอ๋องจะไม่สร้างความลำบากให้ท่านแม่ทัพแน่นอน”

เผยอวิ๋นหัวเราะหยัน “ข้าเป็นแม่ทัพแห่งต้ายง มิรับคำสั่งส่งเดช ข้าไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะมีพระบัญชาให้สังหารยงอ๋อง ดังนั้นเซี่ยโหวหยวนเฟิง เจ้าอย่าได้เปลืองแรงขยับลิ้นเลย ผู้ใดมิรู้บ้างว่าเจ้ากับสำนักเฟิงอี้ล้วนเป็นพวกเดียวกับรัชทายาท รัชทายาทต้องการก่อกบฏเพราะชื่อเสียงเลวร้ายฉาวโฉ่จนกังวลว่าฝ่าบาทจะสั่งปลดล่ะสิ”

มือกระบี่หญิงสองนางพลันวาดกระบี่ฟันไขว้ปานสายฟ้า เผยอวิ๋นพลิ้วกายหลบคมกระบี่ ขณะที่มือกระบี่หญิงอีกสองนางลงมือประสานอย่างเข้าขา ดาบคู่กายในมือเผยอวิ๋นกลายเป็นกำแพงทองแดงปราการเหล็ก จนทั้งห้าคนเท้าแตะพื้น มือกระบี่หญิงสี่นางยังคงล้อมเผยอวิ๋นไว้ตรงกลาง เซี่ยโหวหยวนเฟิงโถมเข้าใส่อีกครั้ง ประกายกระบี่เจิดจ้างดงามยิ่งนัก มือกระบี่หญิงสี่นางเคลื่อนไหวอีกครั้ง วรยุทธ์ของเผยอวิ๋นเดิมก็สูสีคู่คี่กับเซี่ยโหวหยวนเฟิง ชั่วขณะที่จึงรับมือไม่ทัน ตอนนี้เอง ทหารราชองครักษ์ด้านนอกพลันตะโกนลั่นพร้อมกัน เซี่ยโหวหยวนเฟิงเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วได้แต่เพลาการโจมตีลง ครั้งนี้เผยอวิ๋นจึงฝืนยืนหยัดอยู่ได้อย่างหวุดหวิด

ทันใดนั้น เงาสีเขียวร่างหนึ่งพลันฝ่าวงล้อมเข้ามาในพริบตา เซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้สึกว่าแผ่นหลังราวกับถูกพญาเหยี่ยวจับจ้อง เขารีบเบี่ยงกายถอยแต่ก็ยังถูกสายลมจากฝ่ามือซัดเข้าใส่แผ่นหลังจนมิอาจโต้กลับได้ชั่วขณะ เงาสีเขียวบุกทะลวงเข้าไปกลางค่ายกลกระบี่ของมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้ เผยอวิ๋นรู้สึกถึงสายลมจากฝ่ามืออันอ่อนโยนสายหนึ่งที่ส่งตนเองออกจากค่ายกลกระบี่ เวลานี้เอง มือกระบี่หญิงสี่นางก็ตวาดออกมาเบาๆ พร้อมกัน ประกายกระบี่ดุจหิมะ โจมตีเข้าใส่คนชุดเขียวผู้นั้นอย่างเหิมเกริม

คนชุดเขียวร่างกายขยับพลิ้วไหว สองมือเปล่าโจมตีกดดันมือกระบี่หญิงสี่นางนั้นด้วยท่วงท่าอันงดงามทว่าโหดเหี้ยม ต่อสู้ยังไม่ทันถึงสิบกระบวนท่า คนชุดเขียวก็ขยับว่องไวจนตามิอาจมองทัน หลังจากนั้นเสียงกรีดร้องสี่ครั้งก็ดังขึ้น มือกระบี่หญิงสี่นางล้วนถูกคนชุดเขียวโจมตีเข้าจุดสำคัญล้มลงกับพื้นขาดใจตาย ทว่าการจู่โจมอันบ้าคลั่งของพวกนางก็ทิ้งรอยแผลไว้บนร่างคนชุดเขียวผู้นั้นเช่นกัน ชายเสื้อสีเขียวของเขาขาดวิ่น

เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วมองดูมือกระบี่หญิงสี่นางที่ล้มอยู่บนพื้น มือกระบี่เหล่านี้บ้าคลั่งทั้งยังอำมหิต หากพวกนางหลายคนร่วมมือกัน พลังอาจเหนือกว่าพวกหลี่หันโยว ดูท่านี่คงจะเป็นไพ่ตายของสำนักเฟิงอี้สินะ จากนั้นสายตาของเขาก็จับบนร่างเซี่ยโหวหยวนเฟิง ไอสังหารเริ่มก่อตัว

เซี่ยโหวหยวนเฟิงหัวใจเย็นเฉียบ เวลานี้พลังภายในของเขาฟื้นคืนมาแล้วจึงรีบสั่ง “ถอย” กล่าวจบก็พุ่งออกไปด้านนอก

เสี่ยวซุ่นจื่อเพิ่งยกฝ่ามือ เผยอวิ๋นพลันตะโกนว่า “ท่านหลี่ ยามนี้มิใช่เวลา ช่วยองค์ชายจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”

เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วแต่ไม่เอ่ยคำใด เผยอวิ๋นก็ไม่ขัดขวาง ทหารราชองครักษ์กับองครักษ์ส่วนพระองค์ที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงควบคุมอยู่ล้วนเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือต่อสู้กันที่นี่ หากถูกยื้อไว้ เกรงว่าจะช่วยหลี่จื้อมิทันกาล เผยอวิ๋นรู้ชัดยิ่งว่าหากมิใช่ฝั่งนั้นลงมือกับยงอ๋องแล้ว เซี่ยโหวหยวนเฟิงไม่มีทางลงมือกับตน ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ใช่มาเพื่อขอความช่วยเหลือ เสี่ยวซุ่นจื่อยังจะมุ่งหน้ามาด้วยเหตุใดได้อีก

เสี่ยวซุ่นจื่อรีบแจ้งเผยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว “เหวยอิงกับรัชทายาทเป็นพวกเดียวกัน แสร้งถ่ายทอดราชโองการปลอม องค์ชายต้องฝ่าวงล้อมจึงต้องการให้ท่านสนับสนุน”

เผยอวิ๋นออกคำสั่งเคลื่อนพลทันที เขารู้จักชัยภูมิของพระราชวังเลี่ยกงดียิ่งนัก อีกทั้งยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อนำทาง ไม่นานนักก็มองเห็นแสงไฟที่ฉาบย้อมท้องฟ้า ได้ยินเสียงฆ่าฟันดังลอยมา เผยอวิ๋นเหลียวมองด้านหลัง ก่อนเกิดเรื่องแม่ทัพหวงแห่งค่ายบูรพาส่งแผนวางกำลังป้องกันฉบับใหม่มาให้ แบ่งทหารราชองครักษ์สี่พันนายซึ่งเป็นคนของตนกระจายไปอยู่ฝั่งตะวันตกของพระราชวังเลี่ยกง ส่วนทหารราชองครักษ์หนึ่งพันนายของเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับกระจุกอยู่ด้วยกัน ยามนั้นแม้เผยอวิ๋นจะนึกสงสัยแต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นแม้ออกคำสั่งรวมพลเต็มกำลังแล้ว แต่ก็มีเพียงสองพันกว่าคนที่ติดตามตนไปปกป้องยงอ๋อง กำลังพลเพียงเท่านี้จะคุ้มกันยงอ๋องฝ่าวงล้อมได้หรือ เผยอวิ๋นคิดอย่างกลัดกลุ้ม

ขณะที่เผยอวิ๋นกับเสี่ยวซุ่นจื่อรีบเร่งไปยังประตูข้างฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ยงอ๋องก็กำลังถูกกองทหารราชองครักษ์ด้านนอกขวางเอาไว้ กองทหารราชองครักษ์ทิศนี้เป็นฝ่ายของแม่ทัพใหญ่ฉิน รองแม่ทัพซุนติ้งของกองราชองครักษ์ค่ายบูรพาเป็นผู้บัญชาการ ซุนติ้งกับสำนักเฟิงอี้มิได้สมคบกัน ทว่าก่อนวางกำลังป้องกัน เขาเคยได้รับคำสั่งจากองครักษ์คนสนิทของแม่ทัพฉินชิงที่ถือตราแม่ทัพของฉินชิงมา แจ้งว่าคืนนี้มิว่าเกิดเหตุจลาจลเช่นใดขึ้น ทิศทางนี้ก็ห้ามปล่อยให้ทหารสักคนก้าวออกไป ด้วยเหตุนี้แม้พวกเขาจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่ยงอ๋องตะโกนลั่นว่ารัชทายาทก่อกบฏ แต่ในเมื่อยงอ๋องไม่มีบัญชาของฝ่าบาท แล้วยังไม่มีคำสั่งลายลักษณ์จากแม่ทัพใหญ่ฉินหรือแม่ทัพฉิน พวกเขาก็มิกล้าปล่อยยงอ๋องผ่านไปเด็ดขาด สองฝั่งโรมรันกันจนเกิดเป็นสถานการณ์ยืดเยื้อ ยงอ๋องมีผู้ติดตามเพียงร้อยกว่านาย แม้จะเก่งกาจปานใดก็ยากจะผ่านแนวป้องกันที่ทหารราชองครักษ์วางไว้ได้ ขณะที่กำลังต่อสู้กันดุเดือดอย่างที่สุด ด้านหลังของยงอ๋องก็เห็นเงาร่างของเหวินจื่อเยียนที่ไล่ตามมาจู่โจม

เผยอวิ๋นไม่มีเวลาสนใจว่าฝ่ายศัตรูมากฝ่ายตนน้อยอีกต่อไป เขาตะโกนลั่น “องค์ชาย เผยอวิ๋นมาอารักขาแล้ว”

ใบหน้าเคร่งเครียดของยงอ๋องปรากฏสีหน้าราวกับปลดภาระหนักอึ้งลง หากไม่มีกองทหารราชองครักษ์ของเผยอวิ๋น เกรงว่าคงยากจะฝ่าประตูวังออกไปได้ เขาตะโกนเสียงดัง “เผยอวิ๋น เปิดทางให้ข้า”

เผยอวิ๋นออกคำสั่งเสียงดังแล้วโบกมือ ทหารราชองครักษ์มากมายปกป้องยงอ๋องกับองครักษ์คนสนิทไว้ตรงกลางแล้วพุ่งไปยังประตูพระราชวัง

เหวินจื่อเยียนเห็นเผยอวิ๋นก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว เงาร่างขยับต่อเนื่องกระโจนเข้าใส่ยงอ๋อง วรยุทธ์ของนางสูงส่ง ในอดีตเคยลงสนามรบหลายครั้งหลายครา ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงการขัดขวางของทหารราชองครักษ์ เข้าใกล้ยงอ๋องอย่างรวดเร็ว เวลานี้เอง เงาสีเขียวร่างหนึ่งพลันทะยานลงมาจากกลางท้องฟ้า เหวินจื่อเยียนเสือกหนึ่งกระบี่ออกไป ขณะที่มือเปล่าประหนึ่งกระบี่ของเงาสีเขียวร่างนั้นตบเข้าใส่ เหวินจื่อเยียนเดือดดาล คนผู้นี้จะดูแคลนตนมากเกินไปแล้ว นางถ่ายเทลมปราณลงไปในกระบี่ ทว่าตอนนั้นเองนางพลันได้ยินเสียงดังกังวาน กระบี่ชั้นเลิศที่ตัดโลหะสะบั้นหยกได้เล่มนั้นของนางกลับหักกลาง เหวินจื่อเยียนตกตะลึง ยังไม่ทันตั้งตัว คนผู้นั้นก็ฟาดหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่หน้าอกของนางแล้ว ทว่าเหวินจื่อเยียนหัวใจดั่งก้อนศิลา นางชักกระบี่สั้นแทงเข้าใส่ หนึ่งกระบี่นี้ใช้กระบวนท่าชนิดที่ยอมเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย คนผู้นั้นชะงักเล็กน้อยดังคาด ทั้งสองคนโรมรันกันท่ามกลางกองทหารอันโกลาหล

เวลานี้เอง เหวินจื่อเยียนเห็นหน้าคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว คนผู้นั้นก็คือ ‘เงามาร’ หลี่ซุ่น เหวินจื่อเยียนเกิดความฮึกเหิม หากสังหารคนผู้นี้ได้ ถ้าเช่นนั้นข้างกายยงอ๋องย่อมไม่มียอดฝีมือที่พึ่งพาได้อีก ดังนั้นนางจึงสงบจิตใจ ประมือกับหลี่ซุ่นอย่างเต็มกำลัง ตอนนี้เอง มือกระบี่หญิงอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งพลันโยนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งให้ เหวินจื่อเยียนรับมา หลังจากนั้นเพลงกระบี่ลมสลาตันซึ่งสร้างชื่อลือลั่นใต้หล้าของสำนักเฟิงอี้ก็สำแดงเดช กระบี่ที่รวดเร็วจนเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์กลืนกลบแสงเปลวเพลิงที่ลามเลียท้องนภากับประกายโลหิตบนคมอาวุธของทหารสองฝั่งที่กำลังทำศึกกัน แต่เงาร่างของหลี่ซุ่นก็เคลื่อนไหวพิสดารยิ่งนัก เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ท่ามกลางประกายกระบี่ การต่อสู้ครั้งนี้ หากเป็นยามปกติคงมีแต่คนชื่นชมด้วยความเลื่อมใส แต่เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีเวลาสนใจ

ในตอนนี้เอง เมื่อจิงฉือ ซือหม่าสยง กับเผยอวิ๋นเป็นกองหน้าบุกทะลวง ทหารราชองครักษ์ด้านนอกพระราชวังเลี่ยกงก็ต้านไม่อยู่ แม้แม่ทัพหยางเป็นแม่ทัพผู้หาญกล้าคนหนึ่งเช่นกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพทั้งสามที่หากกล่าวถึงวรยุทธ์และความชำนาญกลศึกติดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของแม่ทัพแห่งต้ายง ในที่สุดก็เผยช่องโหว่ กระบวนทัพเกิดตำแหน่งที่บางตาจุดหนึ่ง พวกยงอ๋องล้วนเป็นแม่ทัพผู้กรำศึก มองปราดเดียวก็เห็นชัดเจน จิงฉือตะโกนก้อง กวาดแหลนอาชาสังหารแม่ทัพแห่งกองราชองครักษ์นายหนึ่งที่ขวางทาง กองทหารราชองครักษ์จึงยิ่งอ่อนกำลังอีก ยงอ๋องฉวยโอกาสบัญชาการให้ทะลวงฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว อาชาศึกพันกว่าตัวจึงพุ่งออกจากพระราชวังเลี่ยกงก่อนจะหายลับไปท่ามกลางราตรีเวิ้งว้าง เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ก้านธูป ทหารกล้าใต้บัญชาของเผยอวิ๋นทอดร่างอยู่ภายในกำแพงพระราชวังเลี่ยกงเกือบครึ่งหนึ่ง เวลานี้ศิษย์สำนักเฟิงอี้หลายคนกำลังไล่ตามเข้ามาใกล้แล้ว เหวินจื่อเยียนจึงตัดสินใจจะรั้งหลี่ซุ่นไว้ให้ได้

เสี่ยวซุ่นจื่อมองออกทะลุปรุโปร่ง แม้วรยุทธ์ของตนสูงส่ง แต่ตกอยู่ใต้การโจมตีอันดุดันของมือกระบี่เหล่านี้ก็เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งไปกว่านั้น ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นก็ทยอยโอบล้อมเข้ามาแล้ว หากตนเองไม่หนีอีกย่อมมิทันกาล เมื่อคิดถึงตรงนี้ ร่างกายของเขาพลันหยุดนิ่งอย่างน่าประหลาดกลางอากาศ มือกระบี่หญิงหลายคนคิดไม่ถึง กระบวนท่ากระบี่จึงเผยช่องโหว่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว เปิดโอกาสให้เสี่ยวซุ่นจื่อโถมเข้าใส่เหวินจื่อเยียน เหวินจื่อเยียนตั้งสมาธิสงบใจแทงหนึ่งกระบี่ออกไป หนึ่งกระบี่นี้ทรงพลังดั่งอสนีบาต เสี่ยวซุ่นจื่อยกมือขวาขึ้น นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบปิ่นปักผมเล่มหนึ่ง ปลายกระบี่วาดเฉียดชายโครงด้านขวาของเสี่ยวซุ่นจื่อ พร้อมกับที่ปิ่นเล่มนั้นเฉียดผ่านแก้มของของเหวินจื่อเยียน เหวินจื่อเยียนรู้สึกว่าลมปราณหนาวยะเยือกสายหนึ่งโถมเข้าใส่ใบหน้าจึงเบี่ยงศีรษะหลบด้วยสัญชาตญาณ ด้วยเหตุนี้จึงหลบพ้นการเสียดวงตามาได้ ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อก็ฉวยโอกาสนี้พุ่งผ่านข้างตัวนาง จากนั้นเตะทหารราชองครักษ์นายหนึ่งลงจากหลังม้าแล้วห้ออาชาไล่ตามยงอ๋องไป

ดวงตาของเหวินจื่อเยียนเต็มไปด้วยโทสะ เอ่ยขึ้นว่า “กัดพวกเขาอย่าได้ปล่อย ถึงต้องไล่ล่าร้อยลี้ก็ต้องสังหารยงอ๋องให้จงได้” กล่าวจบก็รับสายบังเหียนม้าจากคนด้านข้าง ควบอาชาลุยเดี่ยวนำหน้าไล่ตามพวกยงอ๋อง เหวยอิงผู้ยืนอยู่บนที่สูงขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในพระราชวังเลี่ยกงแห่งนี้ กองทหารราชองครักษ์ที่พวกเขาควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จมีห้าพันนายเท่านั้น ทหารราชองครักษ์กองอื่นใช้งานได้แค่ให้พวกเขาช่วยป้องกัน การควบคุมตำหนักเสี่ยวซวงกับการไล่สังหารยงอ๋องจำต้องส่งทหารราชองครักษ์ที่เชื่อใจได้ไป เมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังคนจึงตึงมืออย่างยิ่ง เขาครุ่นคิดแล้วตัดสินใจส่งทหารอีกสองพันนายไปช่วยเหวินจื่อเยียนไล่ล่าสังหารยงอ๋อง ทหารสามพันนายที่เหลือน่าจะเพียงพอควบคุมตำหนักเสี่ยวซวงกับทหารราชองครักษ์กองอื่นแล้ว

น่าเสียดายจริง เหวยอิงมองฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบอยู่ไกลๆ ไม่ทราบว่ายงอ๋องค้นพบกับดักได้อย่างไร เขาจึงหนีออกจากพระราชวังเลี่ยกงไปได้ หากไม่ใช่ว่าฝั่งฉีอ๋องเกิดผิดพลาด ถึงพระชายาฉีอ๋องขโมยตราทหารของฉีอ๋องมาเคลื่อนกองทหารของฉีอ๋องเปลี่ยนแนวป้องกันแล้ว แต่เมื่อคิดจะให้พวกเขาโจมตีกองทหารของยงอ๋อง หรือล้อมโจมตีพระราชวังเลี่ยกง พวกเขากลับยืนกรานไม่ยอมอย่างแน่วแน่ กล่าวว่าหากมิเห็นคำสั่งที่เป็นลายมือของฉีอ๋องก็จะไม่ทำตาม ดูท่าคงต้องจัดการฉีอ๋องสักหน่อยแล้ว

ยามนี้ยงอ๋องหนีรอดไปได้ หากปล่อยให้เขารวมตัวกับกองทัพองครักษ์สำเร็จ แล้วไม่มีกองทัพใหญ่ของฉีอ๋องสนับสนุน ฝั่งของตนคงพ่ายแพ้ไร้หนทางชนะ เหวยอิงคิดไปพลาง หัวคิ้วก็ขมวดแน่น ก่อนก่อกบฏคิดว่าขบคิดทุกสิ่งไว้พร้อมแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายงอ๋องกลับมองทะลุราชโองการปลอมเร็วเช่นนี้ นี่เกิดอันใดขึ้นกันแน่

ตอนต่อไป