นัทธีลูบหัวลูกสาว “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็จะได้เจอแม่แล้ว”

พูดเสร็จ ก็หยุดพนักงานที่ผ่านไปมาและสื่อสารกับพนักงานด้วยภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว

พนักงานพยักหน้าและหมุนตัวเดินไปที่จัดงานประกวด

ขณะนี้การประกวดรอบสองยังไม่เริ่ม วารุณี และนักออกแบบนั่งดื่มกาแฟและพูดคุยกัน

เวลานี้มีพนักงานมาที่วารุณี “คุณวารุณีครับ มีคุณผู้ชายท่านหนึ่งมาหา”

“คุณผู้ชาย?” วารุณีงุนงง “ท่านไหน?”

“ผมก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่คุณผู้ชายท่านนั้นบอกว่า หลังจากดูนี่ คุณก็จะรู้เองครับ”

จากนั้นพนักงานก็ยื่นอะไรบางอย่างมา

วารุณีรับมาอย่างสงสัย

พนักงานแบฝ่ามือออก และแหวนของผู้ชายสุดหรูวางอยู่บนนั้นอย่างเงียบๆ

“ว้าว แหวนสวยจัง”

“นี่แหวนแต่งงานเหรอ?”

“ฉันเคยเห็นการเจียระไนแบบนี้แล้ว มันเป็นสไตล์ของนักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ สไตล์ของมาสเตอร์เฟนดิ”

มีเสียงของดีไซเนอร์คนอื่นๆ คุยกันเรื่องแหวน

วารุณีได้ยินแต่ไม่สนอะไรมาก เขาสนใจว่าแหวนวงนี้มาได้ยังไง

การคาดเดาที่กล้าหาญปรากฏขึ้น

วารุณีหยิบแหวนขึ้นมาแล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “คุณผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว?”

“ที่ประตูทิศตะวันตกครับ” พนักงานตอบกลับ

วารุณีทนไม่ไหวแล้ว กำแหวนแล้วลุกขึ้นยืน

มีดีไซเนอร์ถามขึ้น “วารุณี เธอจะไปทำอะไร?”

วารุณียิ้มกับเธอ “สามีของฉันมาหา ฉันจะไปเจอเขาหน่อย”

“ว้าว เยี่ยมมาก โรแมนติกจริงๆ ” ดีไซเนอร์อิจฉาเป็นอย่างมาก

รอยยิ้มบนใบหน้าของวารุณีดูเบิกบานกว่าเดิม แล้ววิ่งไปตรงประตูด้วยความดีใจ

โสรยาที่นั่งโต๊ะที่อยู่ด้านหลังสองสามแถวเห็นฉากนี้ นัยน์ตาลุ่มลึกทันที มือที่จับแก้วกาแฟแน่นยิ่งขึ้น

นัทธีกลับมาที่นี่

หรือว่าเขามาเยี่ยมวารุณีโดยเฉพาะ

ทันใดนั้น ภายในใจของโสรยา”ก็ลุกเป็นไฟ จึงอดยืนขึ้นไม่ได้แล้วตามไป

วารุณีวิ่งไปประตูทิศตะวันตกตลอดทาง พอถึงประตูนั่น เธอก็เห็นชายหนึ่งเด็กสองกำลังนั่งอยู่ที่โซนพักผ่อน

ตอนที่เธอเห็นพวกเขา เธอก็น้ำตาคลอ ภายในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

“นัทธี!” วารุณีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามอดกลั้นหัวใจที่เต้นรัวๆ จากนั้นตะโกนเสียงสูง

นัทธีได้ยินก็หันมามอง

วารุณีสาวเท้า แล้วเดินไปด้านหน้าต่อ

นัทธีก็ยืนขึ้น แล้วออกจากโซนพักผ่อนยืนอยู่ตรงกลางระเบียง ค่อยๆ กางแขนออก

วารุณีเห็น แล้วยิ้มหนึ่งที จากนั้นสาวเท้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้น

ชายคนนั้นกอดเธอไว้แน่นๆ หัวเธอมุดเข้าไปตรงจุดซ่อนเร้นของเธอ สูดกลิ่นกายที่หอมกรุ่นของเธอลึกๆ จากนั้นก็คลายกำลังที่กอดเธอออกเล็กน้อย

“ผมก็คิดถึงคุณ” นัทธีขยับไปข้างหูวารุณี แล้วกัดติ่งหูเธอเบาๆ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงแหบพร่าถึงความคิดถึงของตัวเอง

วารุณีถูกกัดติ่งหูด้วยเปียกเล็กน้อย ลมหายใจของเขากระทบบนหู ทำให้รู้สึกคันเล็กน้อย

ทว่าเธอกลับไม่ได้หลบไป ยังคงปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อ

“ฉันก็คิดถึงคุณ” วารุณีกอดเอวชายคนนั้นไว้ แล้วตอบกลับด้วยเสียงที่คล้ายจะร้องไห้

ถึงแม้เธอเพิ่งจากเขาไปไม่กี่วัน และได้วิดีโอคอลกันทุกวัน ทว่ามีจอมือถือคั่นกลางไว้ ยังไงก็ไม่ดีเท่าเจอหน้ากันจริงๆ

นัทธีหัวเราะเสียงต่ำ “ดังนั้นผมเลยมาหาคุณไง”

“อืม” วารุณีพิงบนหน้าอกของเขาแล้วพยักหน้า “ฉันรู้”

เพราะว่าเขามา ดังนั้นเธอถึงได้กอดเขา

นัทธีปล่อยเธอออก

วารุณีก็เงยหน้าด้วยความสงสัยเ เหมือนกำลังถามว่าไม่กอดแล้วเหรอ

นัทธีทำนัยน์ตาลุ่มลึก แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลง ภายใต้การจับจ้องของเธอ เชยคางเธอจูบเธอ

วารุณีถึงรู้โดยทันที

ก็ได้ เขาไม่กอดแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นจูบเธอแทน

จูบของนัทธีดุเดือดและทรงอำนาจอย่างมาก

เหมือนเพราะว่าคิดถึงเกินไป จูบของเขาเลยใช้แรงมากกว่าปกติ

วารุณีถูกเขากัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ทว่าก็ไม่ได้ผลักเขาออก ยกแขนคล้องคอของเขาไว้ แล้วจูบตอบกลับไป

ผู้ใหญ่ทั้งสองจูบกันเหมือนรอบข้างไม่มีคน

เด็กทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างถลึงตาโตมองโดยไม่กะพริบตาเลย

ผ่านไปสักพัก ไอริณก็ไม่เห็นผู้ชายทั้งสองหยุดลง ดังนั้นก็อดพูดไม่ได้ “แดดดี้ หม่ามมี๊……กำลังกินอะไรอยู่?”

เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้นจึงทำให้วารุณีได้สติกลับมาทันที ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ รีบผลักนัทธีออก

นัทธีถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ทำให้เห็นว่าค่อนข้างไม่พอใจที่เธอผลักออก

ทว่าวารุณีก็สนใจอารมณ์ของเขาไม่ได้ จึงก้มหน้าที่แดงก่ำลงต่ำ “หม่ามี๊กับแดดดี้ไม่ได้กินอะไรนี่”

“ว่าไปเรื่อย หนูเห็นพวกท่านกำลังกัดปากกันอยู่” ไอริณพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อ

อารัณแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ

วารุณีหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าอธิบายกับเจ้าเด็กน้อยยังไงดี

สุดท้าย ทำได้เพียงมองผู้ชาย เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ

ชายคนนั้นเช็ดน้ำลายบนริมฝีปาก แล้วเอ่ยปากด้วยเสียงทุ้มต่ำอันเซ็กซี่ “แดดดี้กับหม่ามี๊ไม่ได้กินอะไรกัน แค่จุ๊บกัน”

วารุณีถลึงตาโต “คุณ…….”

เขากลับพูดกับเด็กแบบนี้!

นัทธีรู้ความหมายของเธอ จึงนั่งยองๆลงแล้วลูบหัวยัยหนูน้อย “จุ๊บนี้กับหม่ามี๊ก็เหมือนจุ๊บพวกหนู แต่ที่ไม่เหมือนกัน การจุ๊บของแดดดี๊กับหม่ามี๊เมื่อกี้นี้ ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ทำได้ แต่เด็กอย่างพวกหนูทำไม่ได้นะ”

“เป็นแบบนี้นี่เอง” ยัยหนูน้อยพยักหน้าคล้ายเข้าใจและไม่เข้าใจ

นัทธียืนขึ้น

วารุณีแอบหยิกแขาของเขาหนึ่งที “ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้กับลูกล่ะ?”

“นี่ไม่มีอะไรพูดไม่ได้นี่ พูดออกมา วันข้างหน้าเธอจะไม่ถามอีก และยิ่งไม่รบกวนพวกเราอีก ให้เธอรู้ก็ดี พวกเราไม่ได้กินอะไร ไม่งั้นเธอจะคิดว่าพวกเรากำลังกินอะไรอยู่จริงๆ แล้วเที่ยวไปบอกคนอื่นว่ามากินอันนี้อีก” นัทธีตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

วารุณีได้ยินแบบนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เพราะว่าเขาพูดได้มีเหตุผล

ถ้าไม่บอกเด็กให้ชัดเจน เด็กก็จะก็เพราะว่าสงสัย จึงไปจูบคนอื่นไปเรื่อย หรืออาจโดนคนอื่นหลอกให้จูบก็ได้

“แดดดี้ งั้นตอนที่หนูเติบโต ก็ทำแบบนี้กับคนอื่นเหมือนแดดดี้กับหม่ามี๊ใช่ไหม?” เวลานี้ จู่ๆ ไอริณก็พูดขึ้น

วารุณีไอออกมาหนึ่งที

สีหน้าของนัทธียิ่งหม่นหมองกว่าเดิม “ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ?” ไอริณทำปากมู่ทู่ทันที

นัทธีตอบกลับเสียงเรียบ “หนูยังเด็ก อย่าคิดแบบนี้ ต่อให้โตมา ก็จุ๊บกับคนอื่นไม่ได้ ผู้ชายพวกนั้นไม่ใช่คนดี”

“จริงเหรอ?” ไอริณเอียงคองงงวย

นัทธีพยักหน้าด้วยความจริงจัง “ใช่ โลกใบนี้ มีแค่แดดดี้กับพี่ชายที่ดีที่สุด ผู้ชายคนนั้นไม่ได้หวังดีหรอก เข้าใจไหม?”

“อืมๆ เข้าใจแล้วค่ะ!” ไอริณกำมือเล็กๆไว้แน่นๆ ขณะเดียวกันจดจำไว้ในใจ

อารัณยังไม่ได้พูดอะไร แค่แอบยิ้ม

วารุณีจับหัวโดยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

ก่อนหน้านี้เธอมองไม่ออก นัทธีเป็นพ่อที่คุมลูกสาวได้เข้มงวดมาก ตอนนี้ก็เริ่มปกป้องไอริณเรื่องที่คบแฟนหนุ่มในวันข้างหน้าแล้ว

ถ้าวันข้างหน้าไอริณพาแฟนหนุ่มกลับมาหนึ่งคนจริงๆ เขาที่เป็นพ่อที่มีหัวใจเหมือนกระจกก็จะแหลกเป็นเสี่ยงๆแล้วหรือเปล่า?

ตรงมุมที่ไม่ไกล

โสรยามองครอบครัวสี่คนที่กำลังรักใคร่กันด้วยแววตาที่แดงระเรื่อ ใบหน้าบูดบึ้งยิ่งนัก

ทำไมวารุณีต้องมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ด้วย ได้รับพรสวรรค์ด้านการออกแบบไม่ว่า แล้วยังมีลูกชายและลูกสาวหนึ่งคู่ที่น่ารัก ทั้งยังมีสามีที่หล่อ ดีและมีเงิน

ระหว่างคนเรา ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้?

เธอไม่พอใจ

ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่กับนัทธี วันข้างหน้า เธอต้องได้อยู่กับเขาแน่นอน!

สุดท้ายก็มองครอบครัวสี่คนเพียงปราดเดียว โสรยาก็หันหลังไปด้วยสีหน้าที่ดูหม่นหมอง

อารัณหันไปมอง ก็เห็นเธอเดินจากไป นัยน์ตาประกายความสงสัยออกมาทันที

“อารัณเป็นอะไรไป?” วารุณีเห็นลูกชายมองไปด้านหน้า ก็อดมองตามไม่ได้ แต่ไม่ได้เห็นอะไรเลย

อารัณส่ายหัว “ไม่มีอะไรครับ”