อวี้เหอย่วนในจวนเยี่ยนอ๋อง มีแสงจากโคมไฟส่องเรือง
เอ้อร์หนิวที่ได้อาหารมากกว่าปกตินอนเขลงแผ่พุงกลมๆ อยู่ในที่นอนข้างกำแพง มันยืดคอมองเงาคนยุบยับด้านนอกผ่านม่านที่พลิ้วไหวไปมา พลางส่ายหางอย่างเกียจคร้าน
ภายในห้อง เจียงซื่อในอาภรณ์สีขาวประหนึ่งสีของหิมะกำลังประชันฝีมือเล่นหมากล้อมกับอวี้จิ่น
อวี้จิ่นวางเบี้ยลงบนกระดานพลางเอ่ยขึ้นว่า “ยายหลานเผ่าอูเหมียวคู่นั้นถูกองครักษ์จิ่นหลินพาตัวไปแล้ว”
เจียงซื่อถูหมากในมือพลางกล่าว “หญิงชรานางนั้นเป็นผู้อาวุโสอูเหมียวรุ่นแรก ด้วยทักษะฝีมือของนาง เกรงว่าหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะเอาไม่อยู่”
เผ่าอูเหมียวมีประชากรเพียงเล็กน้อย แต่เหตุใดจึงถูกเรียกว่าเป็นเจ้าผู้ครองอำนาจท่ามกลางอาณาประชาราษฎร์ อีกทั้งยังยืนหยัดอยู่ระหว่างสองขั้วอำนาจอย่างต้าโจวและหนานหลานได้อย่างมั่นคง นั่นก็เป็นเพราะศาสตร์วิชาของสตรีอูเหมียวเพียงไม่กี่คน
ในเผ่าอูเหมียว การจะเรียกผู้ที่มีความสามารถเช่นนั้นว่าท่านอ๋องก็ไม่ผิดนัก
ไม่ว่าสตรีที่ได้รับการคัดเลือกจะมาจากตระกูลใด ตระกูลนั้นจะได้รับการยกย่องท่ามกลางปวงประชา และหากสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการคัดเลือกเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้อาวุโส ไม่ว่าตระกูลนั้นมีพื้นเพแต่เดิมเป็นเช่นไร ก็จะได้เลื่อนสถานะเป็นขุนนางทันที
แต่หากเทียบระดับความสามารถของแต่ละบุคคลแล้ว ชนชั้นทางสังคมถือว่าไม่ได้มีความสำคัญปานนั้น เพราะหากทายาทของผู้อาวุโสเป็นพวกไร้ความสามารถ พวกเขาก็จะไม่ได้รับการเหลียวแลอยู่ดี
การที่ผู้อาวุโสฮวาวั่วได้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสรุ่นแรกที่มีอยู่เพียงหยิบมือ แสดงว่าความสามารถของนางต้องเก่งกาจพอตัว
อวี้จิ่นหลุบตาจ้องมองกระดานพลางถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “ใช่ เอาไม่อยู่จริงๆ นั่นแหละ”
เจียงซื่อมองไปที่ชายหนุ่ม “อาจิ่น ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักเผ่าอูเหมียวเป็นอย่างดี”
“ก็แค่บังเอิญเท่านั้น” คล้ายกับว่าอวี้จิ่นนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ แววตาของเขาจึงลุ่มลึกขึ้นกว่าเดิม
เจียงซื่อกำลังจะถามต่อ ทว่าอาเฉี่ยวเข้ามารายงานเสียก่อน “ท่านอ๋อง พระชายา มีคนมาจากวังหลวงเพคะ”
ทั้งสองสบตากัน
มาตอนนี้น่ะหรือ
แสดงว่าต้องเป็นเรื่องด่วนอย่างแน่นอน
อวี้จิ่นยืดตัวขึ้น “อาซื่อ เจ้าพักเถอะ เดี๋ยวข้าจะออกไปดูเอง”
อาเฉี่ยวรีบกล่าวทันควัน “ท่านอ๋อง กงกงจากวังหลวงแจ้งว่าต้องการมาพบพระชายาเพคะ”
อวี้จิ่นผงะไปชั่วครู่ก่อนจะรีบหันไปสั่งการ “เช่นนั้นเจ้าให้เขาไปรอที่ห้องบุปผาที่อวี้เหอย่วนก่อนก็แล้วกัน”
ค่ำคืนหนาวเหน็บ ชายหนุ่มต้องไม่อยากให้เจียงซื่อออกไปตากลมด้านนอก
ไม่ช้าไม่นาน ทั้งคู่ก็มาที่ห้องบุปผาเพื่อพบกับขันทีจากในวังหลวง ซึ่งขันทีที่ว่าก็คือพานไห่
หัวใจอวี้จิ่นร่วง ตุ้บ
พานไห่มาด้วยตัวเองเช่นนี้ ดูเหมือนเรื่องจะร้ายแรงกว่าที่คาดไว้
พานไห่รู้ว่า ตนจะชักช้าไม่ได้จึงเข้าประเด็นทันที “ท่านอ๋อง พระชายา เกิดเรื่องที่วังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องรบกวนพระชายาเสด็จเข้าวังเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วมุ่นพลางบอก “พานกงกงช่วยบอกเหตุผลให้ฟังก่อนจะได้ไหม”
พานไห่เล่าที่มาที่ไปเร็วรี่ “ไม่คิดว่าตั่วหมัวมัวจะกล้าเอาไทเฮามากดดันฝ่าบาท ฝ่าบาทเองก็อับจนหนทาง กระหม่อมถึงต้องมาเชิญพระชายาเสด็จไปที่วังพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟ้ามืด ถนนลื่น และพระชายาตั้งครรภ์อยู่ด้วย ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อทรงร้อนพระทัย แต่การจะปล่อยให้พระชายาเข้าวังไปคนเดียวเช่นนี้ ข้าก็ไม่วางใจ… พานกงกง ข้าเข้าไปด้วยจะได้ไหม”
พานไห่น้ำท่วมปาก “ท่านอ๋อง มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ เพลานี้พระองค์จะเสด็จเข้าวังมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ฝ่าบาททรงอนุญาต แต่ถึงกระนั้นทวารบาลก็ไม่อาจเปิดประตูให้พระองค์เข้าไปอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายที่โตเต็มวัยเข้าวังไปดึกๆ ดื่นๆ เรื่องอาจหาญเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องยังกล้าเอ่ยปากขอ
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไปพร้อมพานกงกงก็ได้ ท่านอ๋องมิต้องกังวลไปเพคะ” เจียงซื่อส่งยิ้มให้อวี้จิ่นพร้อมขยิบตา
แม้ใจของชายหนุ่มจะดึงดันไม่ยินยอม แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงพยักหน้ารับ “รบกวนพานกงกงช่วยดูแลพระชายาแทนข้าด้วย”
“ท่านอ๋องวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะมาส่งพระชายาถึงจวนอย่างปลอดภัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เจียงซื่อขึ้นไปบนเกี้ยวที่จอดอยู่ที่หน้าประตูสอง คนหามเกี้ยวก็สับเท้าหายไปในความมืด ผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบก่อนที่ความเร็วจะค่อยๆ ลดลง
เจียงซื่อเลิกมุมผ้าม่านขึ้นดูด้านนอก
ภาพวังหลวงในยามค่ำคืนประหนึ่งสัตว์ร้ายที่กำลังหลับใหล บนกำแพงสูงเด่นเป็นสง่ามีเปลวเพลิงลุกโชนสว่างไสว
นั่นก็เพื่อส่องแสงให้แก่ทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่ตรวจตรา
เกี้ยวนั้นมิได้หยุดที่หน้าประตูวัง เพราะพานไห่เข้าไปกล่าวบางอย่างแก่ทวารบาลไว้ล่วงหน้า เกี้ยวจึงแล่นผ่านเข้าไปโดยไม่ถูกฉุดรั้ง
เจียงซื่อปล่อยชายม่านในมือ ซ่อนใบหน้าไว้ใต้ความมืดดังเดิม ในสมองของนางเพียรครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเผชิญ
“พระชายา ถึงตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อลงจากเกี้ยวด้วยความช่วยเหลือของข้าหลวง นางสอดส่ายสายตาไปรอบทิศ ทว่าดูไม่ออกเลยว่าเป็นตำหนักของผู้ใด
ฝีเท้าฉับไวไม่รั้งรอของพานไห่เดินนำหญิงสาวเข้าไปด้านใน
เบื้องหน้าของเจียงซื่อคือฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่คู่กัน
ระหว่างกลางทั้งสองมีโต๊ะชาขนาดเล็กวางขั้นอยู่ น้ำชาในถ้วยสองใบส่งควันลอยฟุ้ง
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมเสด็จแม่”
ฮองเฮาเข้ามาพยุงเจียงซื่อให้ลุกขึ้น “พระชายาไม่ต้องมากพิธี ที่เรียกเจ้ามาตอนนี้เป็นความผิดของข้าเอง”
เจียงซื่อถือคติ ผู้ใดเคารพมาหนึ่งฉื่อ[1] นางก็เคารพกลับหนึ่งจั้ง ครั้นเห็นว่าฮองเฮาปฏิบัติกับนางด้วยท่าทีเกรงใจ นางจึงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจกัน “เสด็จแม่มิจำเป็นต้องตรัสเช่นนั้นเพคะ หากหม่อมฉันช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ ก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้วเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกเบาสบายขึ้นมาก เขาเข้าประเด็น “สะใภ้เจ็ด เจ้ารู้วิธีกำจัดกู่สัมพันธ์แม่ลูกหรือไม่”
เจียงซื่อเม้มปาก
จำต้องยอมรับว่าทั้งฮ่องเต้และฮองเฮามีทักษะในการเชื่อมโยงเป็นเลิศ เจียงซื่อเคยรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงแค่ครั้งเดียว เมื่อมีกู่สัมพันธ์แม่ลูกอยู่ในตัวไทเฮา ทั้งสองก็คิดถึงนางขึ้นมาทันที
“การกำจัดกู่สัมพันธ์แม่ลูกเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพคะ” เพียงประโยคเดียวของเจียงซื่อทำให้ทั้งคู่แลดูผิดหวังขึ้นมาทันใด
ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่โยนผ้ายอมแพ้ง่ายๆ เขารุกคืบ “ไม่มีวิธีกำจัดได้เลยหรือ”
เจียงซื่ออธิบายต่อ “ในเมื่อเป็นสายสัมพันธ์แม่ลูกก็หมายความว่า หากมีสิ่งเร้าภายนอกเข้าไปทำลายหนอนพิษกู่ตัวลูก หนอนพิษกู่ตัวแม่จะรับรู้ได้ทันที ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของหนอนพิษกู่คู่นั้นก็จะทราบด้วย ในวินาทีนั้น ตั่วหมัวมัวอาจทำร้ายไทเฮาจนถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งฟัง พระพักตร์ของพระองค์ก็ยิ่งย่ำแย่ “ทำอะไรนางไม่ได้เลยรึ”
ไม่แปลกที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนทิ้งคำเตือนในฎีกาลับเอาไว้ว่า ‘อย่าได้มีเรื่องบาดหมางกับเผ่าอูเหมียวเป็นอันขาด เพราะศาสตร์วิชาของเผ่าอูเหมียวนั้นยากเกินจะรับมือ’
เจียงซื่อเงียบงันเนิ่นนานก่อนจะกล่าว “มีอยู่วิธีหนึ่งเพคะ”
“รีบว่ามา!”
“ต้องใช้วิธีพิเศษย้ายหนอนตัวลูกไปไว้ในร่างของใครอีกคน โดยที่ตัวแม่ของมันจะต้องไม่รู้ตัวเพคะ” เจียงซื่อกล่าวเนิบนาบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาใจเต้นรัว ความรู้สึกตีพันกันยุ่งเหยิง
ผ่านไปนานชั่วนิรันดร์กว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะกลั้นใจกล่าวออกมา “ใครอีกคนที่ว่า…ต้องมีคุณสมบัติเช่นไร”
การเป็นองค์จักรพรรดิ ไม่ว่าจะมีจิตใจเมตตาเพียงไร ชีวิตของไทเฮาก็สำคัญกว่าชีวิตปุถุชนคนธรรมดา
เจียงซื่อขบริมฝีปากแน่น ลังเลเพียงชั่วอึดใจก่อนจะกล่าว “หม่อมฉันจะเป็นคนผู้นั้นเองเพคะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยทันควัน
ฮองเฮากล่าวเสริม “พระชายา เจ้าเป็นภรรยาของเยี่ยนอ๋อง อีกทั้งยังอุ้มท้องสายเลือดของมังกร หากมีอันตรายเกิดขึ้นจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาใจอ่อน เพียงแค่เจ้าบอกมา ข้ากับฝ่าบาทจะหาคนๆ นั้นให้จงได้ และหากต้องรับโทษทัณฑ์กรรมใด ข้าเนี่ยแหละจะรับมันไว้เอง”
เจียงซื่อหัวเราะออกมา “หม่อมฉันมิได้ต้องเสี่ยงอันตรายใดๆ เลยเพคะ อีกอย่างคนอื่นคงไม่รู้ศาสตร์วิชาย้ายหนอนพิษกู่ หากทำไม่สำเร็จในครั้งแรก หนอนพิษกู่ตัวแม่ก็จะรู้ตัวทันทีเพคะ…”
อันตรายที่ว่าไม่นับว่าร้ายแรงสำหรับนาง แต่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ หากนางเอาแต่นิ่งเฉยจะสร้างความประทับใจให้แก่ฝ่าบาทได้อย่างไร
นี่คือโอกาสดีที่นางจะได้บรรลุเป้าหมายเล็กๆ ของตัวเอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้สดับฟังดังนั้นแล้วก็ส่ายศีรษะ “ไม่ได้หรอก หากการช่วยไทเฮาทำร้ายเจ้าและลูกในท้อง ถ้าไทเฮารู้เข้าคงต้องทุกข์ใจเป็นแน่…”
——————————————-
[1] ฉื่อ หน่วยวัดของจีน หนึ่งฉื่อเท่ากับ 10 ชุ่น(นิ้ว)