ตอนที่ 359 กลอุบายและการถ่ายทอดสด (1)
แน่นอนว่า ในเวลานี้ จินฉานจื่อย่อมไม่ได้มาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ
เขาน่าจะมาเพื่อพูดคุยว่าจะแบ่งเผ่ามังกรอย่างไร
หลี่ฉางโซ่วอดพึมพำคำในใจไม่ได้
นอกจากนี้ พวกเขาทั้งคู่ยังเป็นสัตว์ร้ายบรรพกาล แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมีความแตกต่างระหว่างกันมากนัก?
ตัวอย่างเช่น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงที่ลี้ภัยมาสวามิภักดิ์ให้เขาแล้ว อยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจในสำนักบำเพ็ญประจิม นางแทบจะถูกสำนักบำเพ็ญประจิมละทิ้งไปได้ทุกเมื่อ
นางไม่กล้าจะเดินไปรอบ ๆ อย่างเปิดเผยในโลกบรรพกาล และทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในที่ลับและส่งเสียงวิ้งๆ
ส่วนจินฉานจื่อผู้นี้ ในเวลานี้ เขาปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งในดินแดนเทวะทักษิ๊ได้โดยไม่มีกฎห้ามหรือข้อจำกัดใด ๆ เลย
เขาเพียงตะโกนออกมาว่า “เทพแห่งท้องทะเลน้อย ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจา!”
เห็นได้ชัดว่า จินฉานจื่อได้เปลี่ยนจากการซ่อนตัวอยู่ในที่ลับมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยแล้ว สำนักบำเพ็ญประจิมได้ลบล้างชื่อและร่องรอยของเขา
นับได้ว่า เขาเป็นผู้พิชิตแห่งสัตว์ร้ายผู้หนึ่ง
เสี้ยวแห่งเจตจำนงวิญญาณของหลี่ฉางโซ่วยังคงอยู่ในรูปปั้นเงียบ ๆ เขามองไปที่ร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูวิหาร และรอยยิ้มที่มั่นใจบนใบหน้าของอีกฝ่าย…
บางที คงเป็นเพราะชาติก่อน พระถังเซิง[1]รู้สึกได้ถึงฐานะ “ผู้บงการ” ที่อยู่เบื้องหลังความโกลาหลของทั้งสี่คาบสมุทร จึงน่าจะเข้าใจกันและกันได้เป็นอย่างดี และถึงเวลาแล้วที่จะสนทนากันระหว่าง “ผู้บงการ”
น่าเสียดาย…ที่ในวันนี้ หลี่ฉางโซ่วถูกลิขิตให้ทำให้จินฉานจื่อต้องผิดหวัง
ตามหลักการพื้นฐานของสำนักบำเพ็ญประจิมที่มีมาช้านาน ต่อให้จินฉานจื่อจะกระโดดโลดเต้นและเรียกเจ้าหน้าที่ในวิหารเทพทะเล เขาก็จะไม่สนใจหรือเปิดเผยร่องรอยใด ๆ ของตัวเองแม้แต่น้อย
สรุปแล้ว จะไม่มีการสื่อสารโดยตรงกับสำนักบำเพ็ญประจิมไม่ว่าในรูปแบบใดๆ !
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบา ๆ ในใจและเพ่งจิตส่วนใหญ่ของเขากลับไปยังสถานที่นอกสำนักตู้เซียน ซึ่งท่านปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งกำลังข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์และมองดูลูกสายฟ้าที่เริ่มสลายไป…
ทันใดนั้น “ถ่านไหม้เกรียม” ที่มองดูไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์ได้ร่วงลงมาจากฟากฟ้า แล้วตกกระแทกลงสู่ทะเลสาบหินหนืดด้านล่าง และลอยอยู่เงียบๆ
ทว่าในเวลานั้น ผู้คนทั้งหมดในที่นั้นล้วนเต็มไปด้วยความสุขและไร้กังวล.
เพราะถ่านไหม้เกรียมนั้น มีพลังชีวิตที่น่าทึ่ง!
บัดนี้ ทัณฑ์สวรรค์เซียนจินได้จบลงแล้ว
หมู่เมฆทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้าค่อยๆ สลายหายไป แล้วกลายเป็นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง พุ่งลงไปที่ไปด้านล่าง.
บนชิ้นถ่าน “ไหม้เกรียม” ซึ่งดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปนั้น บุปผาลึกลับสามดอกก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ บนหน้าผาก หน้าอก และหน้าท้องของเขา พวกมันค่อย ๆ แหวกว่ายและรวมตัวกันบนท้องฟ้า และผลิบานอย่างรวดเร็ว
หนึ่งบุปผามีชีวิตต้นกำเนิดซ่อนอยู่
หนึ่งบุปผามีชีวิตเต๋า
หนึ่งบุปผาที่พร่ามัว บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปได้
จากนั้น ชิ้น ‘ถ่านไหม้เกรียม’ ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาอีกครั้ง และนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ผิวหนังของเขาลอกออกทันทีและเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่ง
ลำแสงสีเขียวสาดส่องลงมาจากฟากฟ้าแล้วล้อมรอบร่างของปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่ง มีเมฆมงคลสีเขียวลอยอยู่ด้านบน มีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในท้องฟ้า และมีเสียงระฆังเต๋าสวรรค์ที่ไพเราะดังก้องกังวานขึ้น…
“ท่านอาจารย์ผ่านแล้ว ท่านอาจารย์ผ่านได้แล้ว!”
บัดนี้ ในที่สุด จิ่วอูก็กล้าจะร้องตะโกนออกมา
บรรดาจิ่วเซียนทั้งเก้าต่างร้องตะโกนอย่างเริงร่า และตื่นเต้นอย่างยิ่ง!
ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็คว้าแขนของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วและเขย่าแขนของเขาไปมาอยู่ครู่หนึ่งอย่างตื่นเต้นดีใจสุดๆ จนเกือบจะโยนเขาออกไปจากก้อนเมฆแล้ว…
แค่กๆ เอ่อ เกิดการกระแทกกันอยู่บ้าง เกินกว่าจะบรรยายได้
เจียงหลินเอ๋อร์เช็ดน้ำตาที่ดวงตาของนางด้วยมือเรียวยาว และไอออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็เรียกคืนสงบนิ่งของมาดอาจารย์หญิงออกมา และยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีสง่างามและนิ่งสงบ
ทว่าเพียงเพราะนางยังเยาว์เกินไป จึงยังขาดความยิ่งใหญ่สง่างามและการป้องปรามอยู่บ้าง
นับจากตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีเซียนจินอีกคนในสำนักตู้เซียน และความปลอดภัยของบรรดาศิษย์ก็ได้ขึ้นมาถึงอีกระดับ
เพียงในขณะที่ทุกคนกำลังเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก หลี่ฉางโซ่วก็หันเหความสนใจเมื่อแอบสังเกตเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสว่านหลินหยุน…
แม้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจะกำลังพ่นเสียงฮึดฮัดครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลานี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววโหยหาและยังมีแววผิดหวังที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวอยู่ในนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งก็เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อคลุมยาวและแผ่กลิ่นหอมบางเบาออกมาทั่วร่างของเขาในขณะที่มีกลีบบุปผาบางกลีบบินอยู่รอบๆ กายเขา แล้วบินตรงไปทางจุดที่บรรดาจิ่วเซียนทั้งเก้าอยู่
เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่ว และผู้อาวุโสฉีหลิง พาเหล่าผู้อาวุโสมาแสดงความยินดีกับเขาและยังมีบรรดาเซียนมากมายในสำนักบินออกไปทักทายเขา…
บรรดาศิษย์ล้วนมีกำลังใจฮึกเหิมอย่างมาก ในเวลานี้ มีเสียงโห่ร้องครึกครื้นรื่นเริงอยู่ทั่วทุกที่ในสำนักตู้เซียน
เหล่าเซียนเทียนรุ่นก่อนมากมาย ล้วนเต็มไปด้วยความยินดีในขณะที่หัวใจเต๋าของบรรดาศิษย์ไม่กี่คนของปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งล้วนสั่นไหวและรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน
ชั่วเวลาที่สำนักกำลังยินดีปรีดา หลี่ฉางโซ่วก็กลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยเงียบ ๆ และไปเล่าเรื่องที่ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จให้อาจารย์และศิษย์น้องหญิงของเขาฟัง
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขาและปรมาจารย์ใหญ่เจียงหลินเอ๋อร์ อาจารย์ และศิษย์น้องหญิงของเขา จึงต้องรีบไปร่วมเฉลิมฉลองด้วย หลี่ฉางโซ่วเพิ่งกลับมา ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปอีก…
เมื่อหลี่ฉางโซ่วกำลังอยากพักผ่อนสักสองสามวัน ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากหลี่ฉางโซ่ว ก็นั่งลงบนเก้าอี้โยก และยังคงจัดระเบียบเต๋าแห่งการหลอมโอสถที่เหล่าจื้อถ่ายทอดให้เขา ในขณะนั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่ไม่ชัดเจนนักในใจของเขา …
“เทพแห่งท้องทะเล ไยเจ้าไม่ส่งร่างจำแลงของเจ้าไปหาข้าเล่า? ”
ดูเหมือนว่า จินฉานจื่อผู้นี้ จะขาดความอดทนเล็กน้อย
เพียงผ่านไปแค่หนึ่งถึงสองชั่วยาม ก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงบุกเข้าไปในวิหารเล็กๆ ของเทพแห่งท้องทะเล…
หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองไปที่จักจั่นสีทองหกปีกผ่านรูปปั้นเทพ จากนั้น ก็ยังคงแยกแยะข้อมูลการหลอมโอสถของเขาเองโดยไม่สนใจอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ในเวลานี้ จินฉานจื่ออยู่หน้ารูปปั้นแล้ว
เขากล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ด้วยกลอุบายของเทพแห่งท้องทะเล เจ้าน่าจะรู้ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่ แล้วไยเจ้ายังต้องหลบเลี่ยงข้า? ”
วิหารเทพทะเลเล็กๆ แห่งนี้เงียบเชียบ มีนักพรตอยู่เพียงคนเดียวที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะและกำลังตัวสั่นไม่หยุด และหัวใจของเขาก็ว่างเปล่า
ครู่ต่อมา…
รอยยิ้มของจินฉานจื่อค่อยๆ เลือนหายไป และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หรือว่าเทพแห่งท้องทะเลจะไม่ถือเอาจริงเอาจังกับพวกเราจริงๆ?”
หลี่ฉางโซ่วแอบเลิกคิ้วขึ้น
จินฉานจื่อผู้นี้ ช่างคิดถี่ถ้วนดีจริงๆ เขาใช้พลังของสำนักบำเพ็ญประจิมมากดดันพวกเขา และจงใจกล่าวว่า ‘พวกเรา’ โดยไม่เอ่ยถึงคำว่า ‘สำนักบำเพ็ญประจิม’
ไม่แปลกที่เหล่าผู้นำระดับสูงของสำนักบำเพ็ญประจิมจะให้ความสำคัญ
แต่เขาก็กลับยังคงเฉยเมย และเฝ้าดูจินฉานจื่อร่ำร้องอยู่คนเดียวเงียบๆ พลางนึกภาพในใจว่าบุรุษผู้นี้จะมีลักษณะท่าทางเช่นไรเมื่อสวมผ้ากาสาวพัสตร์[2]และหมวกของพระ…
เชอะ แน่นอนว่า หล่อเหลายิ่ง ชั่วร้ายเล็กน้อย ไม่เสียชื่อบุรุษผู้อ่อนโยนจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วหยิบ “บันทึกการสังเกตการณ์ทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน” ที่เขาทำไว้ก่อนหน้านี้ออกมาก่อน แล้วจัดเรียงมันอย่างระมัดระวัง จากนั้น ก็ปรับปรุงแผนการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเขาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
เขาหยิบยันต์หยกว่างเปล่าออกมามากกว่าสิบชิ้น และเริ่มจัดระเบียบการหยั่งรู้ในเต๋าแห่งการหลอมโอสถที่เขาได้รับตามความเข้าใจของเขาเองและจัดเป็นคัมภีร์หลอมโอสถ
ในขณะที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น เสียงที่ไม่ชัดเจนในใจของหลี่ฉางโซ่วก็ดังขึ้นเป็นครั้งคราว…
“หรือว่า เทพแห่งท้องทะเลจะกลัว?”
“เทพแห่งท้องทะเล หากกังวล ก็ให้สัตย์สาบานตามกฎของเจ้าก่อนได้ แล้วเจ้าคิดเห็นเช่นไร ดีหรือไม่? ”
“เหอะ! วันนี้ ข้าอยากรูนักว่า เจ้าจะหลีกเลี่ยงไม่พบข้าได้อย่างไร! ”
เมื่อผ่านไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว จินฉานจื่อก็ยังนั่งตรงหน้ารูปปั้นของหลี่ฉางโซ่วและอ๋าวอี่ ด้วยท่าทางที่ไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงส่ายศีรษะเบาๆ และก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป…
ในขณะนี้ ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งได้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์และกลายเป็นเซียนจินแล้ว แต่หัวใจเต๋าของเขากลับยังปั่นป่วนเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วคิดว่า ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งนั้นมั่นใจเพียงหกถึงเจ็ดส่วนเท่านั้น เขารอดตายอย่างหวุดหวิดมาได้หลายครั้ง และสุดท้าย เขาก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้
เขาชนะการเดิมพันด้วยชีวิตของเขา แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาแพ้เล่า?
น่ากลัวว่า ในเวลานั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็จะกลายเป็นหม้าย และเหล่าจิ่วเซียนทั้งเก้า ย่อมจะร้องไห้ดังลั่น และนามหวังฟู่กุ้ยก็จะอยู่ในรายนามเซียนมรณะแห่งสำนักตู้เซียน
เขาได้ทำในสิ่งที่เขาต้องทำและทำอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็ออกไปเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน เช่นนี้แล้ว ต่อให้ไม่อาจต้านทานได้ เขาก็จะไม่ต้องเสียใจใดๆ
ทำอย่างมั่นคง จงอย่าเร่งร้อน
………………………………………………………………..
[1] อีกนามหนึ่งของพระถังซัมจั๋ง
[2] ผ้าย้อมเหลืองฝาด หรือที่เรียกกันว่า ผ้าเหลืองแบบพระ