บทที่ 473 มาสนิทกันเถอะพี่สาว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 473 มาสนิทกันเถอะพี่สาว

บทที่ 473 มาสนิทกันเถอะพี่สาว

“คุณคริสติน่าและสุภาพบุรุษที่เคารพทุกท่านคะ ขอให้ฉันได้แนะนำเหล่าผู้นำของทางโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ให้รู้จักค่ะ”

สิ้นประโยค ชายหนุ่มรูปงามร่างสูงก็แสดงท่าทีจริงจัง

“ท่านนี้คือคุณฉืออวี้เลี่ยง เป็นผู้อำนวยการโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ค่ะ ส่วนท่านนี้คือคุณหลี่ว์หรูหยา เป็นรองผู้อำนวยการโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ค่ะ ผู้อำนวยการฉือและรองผู้อำนวยการหลี่ว์ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ประเทศจีนนะคะ และหวังว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแขกที่เคารพรักทุกท่านจะได้พบแต่ความสุขค่ะ”

เสี่ยวเถียนเอ่ยแนะนำตัวทุกคนด้วยภาษาเยอรมัน จากนั้นแปลตามด้วยภาษาจีน ถึงจะสงสัยว่าทำไมเสี่ยวเถียนเรียกว่าพวกตนว่าคุณ แทนที่จะเรียกว่าสหายตามปกติ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นจะมาสนใจในตอนนี้

ทั้งสองให้การต้อนรับเพื่อนชาวเยอรมันอย่างสุภาพ

“คุณฉืออวี้เลี่ยงและคุณหลี่ว์หรูหยากล่าวว่า ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ประเทศจีนค่ะ อีกสามวันข้างหน้า พวกเขาจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกท่านได้รู้สึกถึงความจริงใจค่ะ!”

คราวนี้ถึงเวลาที่ล่ามอีกฝ่ายจะแนะนำตัว

แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยออกมา คริสติน่าผู้เป็นมิตรก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“คุณนักแปล คนนี้คือออกัส เป็นพี่ชายของฉันเองค่ะ ท่านนี้เป็นเลขาของเขาชื่อแดเนียล และท่านนี้คือเฟลิกซ์ เป็นล่ามของพี่ชายค่ะ”

ทุกคนต่างประหลาดใจ โดยเฉพาะเฟลิกซ์

ในฐานะที่เป็นล่าม เฟลิกซ์ไม่มีโอกาสได้พูดเลยสักนิด เขาจึงมองไปที่คริสติน่าด้วยสายตาขุ่นเคือง

คุณหนูคิดจะขโมยตำแหน่งล่ามของเขาไปหรือยังไงกัน? และอีกอย่างเป็นเพราะนักแปลของอีกฝ่ายนั้นเก่งมากเสียด้วย

เสี่ยวเถียนยิ้มขอบคุณ ก่อนแนะนำให้ฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยาให้ทุกคนได้รู้จักทีละคน

อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็รู้เรื่องของผู้ที่จะมาเจรจาในครั้งนี้อยู่แล้ว แม้จะไม่ได้แนะนำตัวก็พอคาดตัวตนกันได้ แต่พอได้ทำแล้วมันกลับดูจริงจังเอามาก ๆ

ส่วนคริสติน่าที่เห็นว่าทุกคนรู้จักกันดีแล้ว ก็รีบเข้าไปเกาะติดกับเสี่ยวเถียนทันที

“คุณนักแปล คุณยังไม่ได้บอกชื่อฉันเลยนะ จะให้ฉันเรียกคุณนักแปลแบบนี้ไปตลอดเลยหรือคะ?”

น้องสาวของท่านประธานออกัสอย่างคริสติน่ามาที่นี่เพื่อมาเที่ยวเล่นเท่านั้น

เธอคิดมาตลอดเลยว่าตนเองไม่มีเพื่อนเล่นที่เหมาะสักคน จึงไม่สงสัยสักนิดว่าทำไมตอนนี้ถึงคิดว่าเสี่ยวเถียนเหมาะกับตนเองมาก และเป็นเพราะเธอมีสถานะพิเศษ จึงไม่มีใครกล้าดูแคลนเธอ

ฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยาเองก็รู้จุดนี้ดีเหมือนกัน ในกลุ่มนี้ คริสติน่าเป็นบุคคลที่เราไม่ควรทำให้ขุ่นเคืองมากที่สุด เพราะงั้นบทสนทนาของเด็กสาวทั้งสองจึงไม่มีความคิดอื่นใดนอกไปจากความอิจฉา

ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขายังบ่นหนักกว่าเดิม เพราะฟังบทสนทนาพวกนั้นไม่ออกเลย แถมไม่รู้อีกต่างหากว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

ในเวลานั้น คริสติน่าที่สนิทกับเสี่ยวเถียนแล้วก็หัวเราะร่าอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเถียนเพื่อนของฉัน ให้ฉันได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะ ฉันชื่อคริสติน่า อายุสิบเก้าปี ฉันมาที่นี่เพื่อมาเที่ยวน่ะ ได้ยินมาว่าประเทศนี้สวยงามมาก และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แล้วก็มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลย ฉันก็เลยขอพี่ชายให้พาฉันมาด้วยน่ะ! ฉันชอบเธอมากเลยนะ!”

ถึงเสี่ยวเถียนจะทำตัวไม่ถูกกับความเป็นมิตรของอีกฝ่าย แต่ก็ยังตอบสนองได้ทันและแนะนำตัวเองอีกครั้ง

“สวัสดีค่ะคุณคริสติน่าที่รัก ยินดีต้อนรับเข้าสู่ประเทศเรานะคะ คนของเราต่างอัธยาศัยดีกันทั้งนั้น ฉันหวังว่าสามวันนับจากนี้ คุณคริสติน่าจะมีช่วงเวลาที่ดี ค่ะ!”

ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหัวระรัว

“ไม่ใช่หรอกนะเพื่อนรัก ฉันทำข้อตกลงกับพี่ไว้แล้วตอนมาถึง เราจะไม่กลับไปในสามวัน ฉันจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักน่ะ!”

เสี่ยวเถียนแปลให้ผู้อำนวยการทั้งสองฟัง คำพูดของอีกฝ่ายนั้นทำให้พวกเขาแทบเซ ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลยว่า แค่สามวันยังต้องจ่ายค่าจ้างให้เสี่ยวเถียนเป็นจำนวนมหาศาลเลยนะ แล้วถ้าพวกเขาอยู่ต่ออีกหลายวัน เราเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นดีกว่าไหม พอถึงตอนนั้น เงินเล็กน้อยที่หาได้ก็ให้เสี่ยวเถียนไปเลยแล้วกัน

แต่ตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยนะสิ จะให้พูดออกมาก็ลำบากใจเล็กน้อย

พวกเขาคิดว่า เราควรคุยกับเสี่ยวเถียนว่าจะขอลดค่าจ้างดีไหม ไม่อย่างนั้นเราขาดทุนแย่แน่ ๆ

ใบหน้าที่เคยเปล่งประกายของฉืออวี้เลี่ยงหมองลงหลายส่วน แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว นอกเสียจากกัดฟันสู้แล้วแสดงท่าทีต้อนรับ เพื่อให้เห็นว่าเขาจะทำให้ดีที่สุดในฐานะเจ้าบ้าน

แต่มีหรือที่เสี่ยวเถียนจะไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวของพวกเขา

แค่คิดว่าทำไมท่าทางของพวกผู้นำถึงไม่สดใสเลยล่ะ?

ทำไมพวกเขาไม่คิดบ้างนะว่า อีกฝ่ายก็เอาล่ามมาเหมือนกัน แต่หลังจากคุยธุรกิจเสร็จแล้ว เขาจะยังอยู่อีกหรือ?

ไม่อยู่แล้ว!

แต่เสี่ยวเถียนจะไม่เตือนเรื่องนี้หรอกนะ

หลังจากพูดคุยทักทายกันอีกสองสามคำ เสี่ยวเถียนก็เห็นว่าสายแล้วจึงรีบเอ่ยปาก

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านคงเดินทางกันมาอย่างลำบาก ทางโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ได้จองโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองหลวงของประเทศจีนไว้ให้พวกคุณแล้ว ขอเชิญทุกท่านเข้าเช็กอินเพื่อพักผ่อนกันก่อนนะคะ”

พวกเขาเหนื่อยมาก ๆ จากการนั่งเครื่องบินนานกว่ายี่สิบชั่วโมง และเสี่ยวเถียนก็เอ่ยออกมาได้อย่างตรงใจพวกเขา

โดยเฉพาะคริสติน่า เมื่อครู่ยังเห็นกันอยู่เลยว่าสปิริตแรงสูงมาก แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้ว แถมยังเดินโซซัดโซเซเกือบเข้ามาพิงไหล่เสี่ยวเถียนแล้ว

“ที่รัก ฉันเหนื่อยมากเลย ฉันต้องพักผ่อนให้พอจะได้หายเหนื่อยจากการเดินทาง”

ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนของฉันแล้ว แต่กลายเป็นที่รักแทน

เสี่ยวเถียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะอาสาช่วยอีกฝ่ายยกกระเป๋าแทน

“ที่รัก เธอตัวเล็กเกินไปนะ ยกกระเป๋าของฉันไม่ไหว…”

ประโยคหลังถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ

เสี่ยวเถียนยกมันขึ้นบันไดด้วยท่าทางมั่นคง

“โอ๊ะ! ที่รัก เธอแข็งแรงจริง ๆ เลย เป็นฉันเองที่มองไม่ออก ฉันชอบเธอมากกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักคริสติน่า ถ้าได้เห็นเธอในตอนนี้ก็คงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนในดวงใจหรือเปล่า เพราะสายตาของอีกฝ่ายนั้นร้อนแรงมาก!

หลังจากเดินทางมาถึงและจัดการเรื่องเช็กอินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรานัดกันว่าจะลงมากินข้าวเย็นในอีกหนึ่งชั่วโมง

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงแล้ว เราพลาดข้าวกลางวันไปอย่างที่หลี่ว์หรูหยาบอกเลย

เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง กลับไปก็ไม่คุ้มแล้ว เพราะงั้นฉืออวี้เลี่ยงกับหลี่ว์หรูหยาจึงพาเสี่ยวเถียนลงมารอที่ล็อบบี้

“เสี่ยวเถียน ระดับภาษาเยอรมันของเธอดีมากเลยนะ ฉันเห็นเธอคุยกับเขาได้คล่องมากเลย!” หลี่ว์หรูหยาชมและยกนิ้วให้

เด็กสาวยิ้ม “ต้องขอบคุณคุณปู่ฉือที่สอนหนูเป็นอย่างดีค่ะ!”

พูดจบเธอก็ไม่คิดจะคุยกับอีกฝ่ายต่อ มันยังมีเวลาอยู่หน่อยนึง ใช้เวลาตรงนี้ไปกับการอ่านหนังสือดีกว่า

พวกเขามองเสี่ยวเถียนที่ทรุดตัวนั่งโซฟาแล้วหยิบหนังสือออกมาอ่าน ฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยามองเธอที่เข้าสู่สถานะอ่านหนังสือในทันใด พวกเขาก็ได้แต่ตะลึงงัน