ตั่วหมัวมัวยกมือขึ้นกุมอกพร้อมพยุงตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล นางตกตะลึงถึงขั้นลืมความเจ็บแปลบที่ทรวงอกไปสิ้น
“ทำไมข้าควบคุมกู่กินใจไม่ได้”
นางยังไม่ยอมแพ้ พยายามปลุกหนอนพิษกู่ขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าบัดนี้ ใบหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ แล้วจู่ๆ นางก็สำรอกบางสิ่งออกมา
วัตถุนั้นหล่นลงบนพื้น มันคือหนอนสีดำมะเมื่อมตัวหนึ่ง
แต่เมื่อหนอนดำตัวนั้นต้องแสง มันก็ดิ้นพล่านเพียงครู่หนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไป ไม่กี่อึดใจ หนอนนั้นก็แปลงสภาพเป็นแอ่งเลือด
พระพักตร์ของฮองเฮาซีดเผือด นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองอาเจียนออกมา
โลกใบนี้มีของแปลกพิสดารน่าสะอิดสะเอียนอยู่เต็มไปหมด!
“เป็นไปไม่ได้ จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด…” ตั่วหมัวมัวเริ่มคลุ้มคลั่ง นางพยายามกวาดตาไปทั่วสารทิศ “หรือว่าหัวหน้าผู้อาวุโสมาที่นี่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เฝ้ามองตั่วหมัวมัวที่กำลังอาละวาดสุดฤทธิ์ด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งยวด “ตั่วหมัวมัว ในเมื่ออับจนหนทางถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ารีบสารภาพความจริงมาดีกว่า!”
ตั่วหมัวมัวมองปราดไปที่ฮ่องเต้ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้าไวว่อง
ข้าหลวงทั้งสองรีบจับนางกดไว้
“ปล่อยข้า ข้าจะไปดูว่าใครอยู่ข้างนอก!” ตั่วหมัวมัวจ้องเขม็งไปที่ประตู
จิ่งหมิงฮองเต้และฮองเฮามองตามไปยังทิศทางนั้น
พวกเขารู้ว่าคนที่อยู่ด้านนอกคือผู้ใด และเพราะรู้ ถึงได้หวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พระชายาเยี่ยนอ๋องมีอิทธิฤทธิ์เพียงนี้เชียวหรือ…
ฮองเฮาคิด พระชายาเก่งกาจเหนือมนุษย์มนาขนาดนี้ คราวหน้าอย่าได้ทำให้นางขัดเคืองอีกเลย
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า เสียนเฟยช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าแม่สามีอย่างเสียนเฟยรู้หรือเปล่าว่าลูกสะใภ้ฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้
ฮองเฮารู้สึกเห็นใจสนมของฝ่าบาท ทั้งที่ความรู้สึกเช่นนี้มีมาไม่บ่อยนัก
ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้กลับคิดว่า โชคดีที่สะใภ้เจ็ดเป็นคนของราชวงศ์ อีกหน่อยหากมีเรื่องบาดหมางกับเผ่าอูเหมียว จะได้ไม่ต้องงอมืองอเท้าให้เขารังแกเพียงฝ่ายเดียว…
ความคิดที่เวียนวนอยู่ในสมองของฮ่องเต้และฮองเฮายังไม่ถาโถมบ้าคลั่งเท่าในสมองของตั่วหมัวมัว
“คนที่อยู่ข้างนอกคือใคร ข้าไม่เชื่อว่านอกจากหัวหน้าผู้อาวุโสแล้ว จะมีใครหน้าไหนสกัดหนอนพิษกู่ในตัวข้าได้!”
แต่หัวหน้าผู้อาวุโสไม่มีทางมาที่ต้าโจว ยิ่งเป็นวังหลวงยิ่งแล้วใหญ่
หรือว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์
ตั่วหมัวมัวฉุกคิดขึ้นมาดังนั้น นางก็กล่าวเป็นภาษาอูเหมียว “สตรีศักดิ์สิทธิ์ นั่นเจ้ารึ”
แต่เดิมนางเคยสงสัยสถานะของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ในตอนนั้นนางหลงคิดไปว่าผู้อาวุโสฮวาคงถูกต้มจนเปื่อย ทว่ามาถึงตอนนี้ นางไม่เชื่อคงไม่ได้
นอกจากหัวหน้าผู้อาวุโสแล้ว มีอีกคนที่รู้วิชาสกัดหนอนพิษกู่คือสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง!
ตอนที่นางออกจากดินแดนอูเหมียว อาซังเพิ่งจะอายุได้เพียงขวบเดียวเท่านั้น มิได้อยู่ในสายตาของพวกนางเลยสักนิด แต่ในประวัติศาสตร์ของเผ่าอูเหมียว นอกจากหัวหน้าผู้อาวุโสที่รู้วิชาสกัดหนอนพิษกู่แล้ว ก็มีแต่สตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ในวินาทีนั้น ตั่วหมัวมัวกลับรู้สึกยินดี
นางเคยเป็นหนึ่งในกลุ่มสตรีที่ได้รับคัดเลือก แต่ในรุ่นของนางไม่มีผู้ใดได้เป็นสตรีศักดิ์
นี่ถือเป็นหายนะของเผ่าอูเหมียว และเป็นความอัปยศของกลุ่มสตรีที่ได้รับคัดเลือกในรุ่นของนาง
หลังจากนั้นนางเลยต้องมาทำภารกิจที่แดนไกลถึงต้าโจว แม้นางจะไม่มีโอกาสกลับไปที่เผ่าของตนเอง แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้ว่าคนในเผ่าต้องทุกข์ทนเพียงใด
ความหวั่นวิตกและพรั่นใจของคนในเผ่าถูกขจัดไปเมื่ออาซังปรากฏตัวขึ้น นางเองก็เช่นกัน
ยิ่งมาวันนี้ นางได้รับรู้ถึงพลังของสตรีศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง นางยิ่งรู้สึกอุ่นใจ
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดเจ้าถึงช่วยฮ่องเต้ต้าโจว เจ้ามิรู้เรื่องภารกิจลับที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเผ่าเรางั้นหรือ” ตั่วหมัวมัวตะโกนรัวออกมาเป็นภาษาอูเหมียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาได้แต่ยืนอึ้ง ทว่าเจียงซื่อที่อยู่หลังประตูเข้าใจแจ่มแจ้งทุกคำ
และเนื่องจากนางฟังออก ยิ่งทำให้นางเกิดความสงสัย
ภารกิจลับที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเผ่าอูเหมียว?
นางไม่ใช่อาซังตัวจริงจึงไม่ทราบเรื่องนี้
ครั้นเจอกับคำถามของตั่วหมัวมัว เจียงซื่อได้แต่เงียบงัน
หากนับเรื่องความรู้สึก อูเหมียวถือว่ามีบุญคุณกับนาง แต่หากไม่ใช่เพราะตั่วหมัวมัวมอบกู่กาฝากให้องค์หญิงใหญ่หรงหยางเพื่อใช้ทำร้ายมารดาของนาง นางคงไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้
ในเมื่ออูเหมียวเป็นภัยต่อความมั่นคงของต้าโจว นางก็ไม่อาจทนดูอยู่เฉยๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เลือดที่ไหลเวียนในตัวของนางก็ยังเป็นสายเลือดของต้าโจว ถึงจะเป็นสตรีเพศ แต่นางก็ทราบเหตุผลที่ประเทศชาติล่มสลายได้เป็นอย่างดี
ตั่วหมัวมัวร้อนรนทนไม่ไหว ถามซ้ำเป็นภาษาอูเหมียวซ้ำสอง ทว่าเสียงตอบรับกลับมามีเพียงความเงียบงัน
เจียงซื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่แสดงตัว
ตั่วหมัวมัวยอมศิโรราบแต่โดยดี บัดนี้นางกลับไปสงบนิ่งดังเดิม
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถาม
ตั่วหมัวมัวยิ้มเยาะ ทว่าไม่เกริ่นกล่าว
“ทรมานนางต่อไป!” จิ่งหมิงฮ่องเต้สั่งพานไห่อย่างเดือดดาล
เสียงโหยหวนของตั่วหมัวมัวร่ำร้องจนกระทั่งฟ้าสาง
ฮองเฮาภายใต้ใบหน้าขาวซีดพยายามโน้มน้าวฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระองค์ไปพักก่อนเถิด เพราะอีกเดี๋ยวพระองค์จะต้องเสด็จว่าราชการเช้านะเพคะ เกรงว่าร่างกายของพระองค์จะแย่เอา”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าให้พานไห่ก่อนจะเดินออกไปพร้อมฮองเฮา
ที่ด้านหน้าประตู เจียงซื่อกำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ที่ตั่งเตี้ยที่เพิ่งย้ายมาวางหน้าห้อง ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็ลืมตาขึ้น
“สะใภ้เจ็ด เจ้าตามข้ามา” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสียงเบา
เจียงซื่อเดินตามทั้งสองเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกัน
“ลำบากเจ้าแล้วล่ะ”
“หม่อมฉันยังสบายดีเพคะ เพียงแต่ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าบ้างหรือไม่เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พ่นลมหายใจยาว “ตั่วหมัวมัวจอมดื้อด้าน บัดนี้แล้วยังไม่ยอมปริปากพูดเลยสักคำ”
สตรีที่ดูธรรมดาทั่วไป กลับทนทัณฑ์ทรมานได้ถึงเพียงนี้ ชาวอูเหมียวน่ากลัวแบบนี้ทุกคนเลยหรือ
“ลูกรู้สึกละอายแก่ใจ เพราะช่วยอะไรไม่ได้เพคะ”
“มิได้ เจ้าทำดีมากแล้ว” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวชมพลางมองเจียงซื่อด้วยสายตาจริงใจ “สะใภ้เจ็ด เจ้าช่วยไทเฮาโดยมิได้หวงแหนชีวิตตนเอง อีกทั้งยังช่วยหาวิธีสอบปากคำจากตั่วหมัวมัว เจ้าสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ถึงสองเรื่อง ว่ามาเถิดว่าเจ้ามีความปรารถนาใด หากมิใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ ข้าสัญญาว่าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า”
“แค่ได้แบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ลูกก็ดีใจแล้วเพคะ” เจียงซื่อค้อมกายอย่างนอบน้อม
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าเจียงซื่อไม่ยอมพูด จึงหลงคิดไปว่านางคงขัดเขินเกินกว่าจะบอกความต้องการของตัวเอง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ในเมื่อต้องเก็บเรื่องของตั่วหมัวมัวเป็นความลับ หากจู่ๆ ข้าตกรางวัลให้แก่บิดาและพี่ชายของเจ้าอาจมีข้อครหาได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะจำที่ข้าสัญญาไว้กับเจ้า รอพี่ชายของเจ้าย้ายไปประจำการที่หนานเจียงเมื่อไหร่ ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม นอกจากนี้ ข้าจะมอบป้ายละตายอาญาสิทธิ์ให้แก่เจ้า นับแต่นี้ไป เจ้าจะมีป้ายเว้นโทษตายอยู่ในมือ ไม่ว่าผู้ที่กระทำผิดจะเป็นใคร หากเจ้าปรารถนาจะช่วยคนผู้นั้น เจ้าก็ใช้ป้ายนี้รักษาชีวิตเขาไว้…”
เจียงซื่อคุกเข่าลง “เสด็จพ่อทรงพระมหากรุณายิ่งนัก ลูกซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ลูกและพี่ชายหวังเพียงว่าจะได้ตอบแทนคุณแผ่นดิน ตำแหน่งแม่ทัพที่เสด็จพ่อเป็นผู้แต่งตั้งก็เนื่องด้วยความสามารถของเขาเอง มิบังอาจร้องขอรางวัลใดตอบแทนอีกแล้วเพคะ ส่วนของล้ำค่าอย่างป้ายละตายอาญาสิทธิ์ ลูกเองก็ไม่กล้ารับไว้ หากพระองค์อยากจะพระราชทานสิ่งตอบแทนจริงๆ ลูกมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอเพคะ…”
“พื้นเย็นนัก เจ้าลุกขึ้นพูดเถิด”
เจียงซื่อลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยราบเรียบ “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าจะให้ เจ้าก็รับไปเถอะ ส่วนเรื่องอื่น… เจ้าลองว่ามาซิ”
ไม่อยากให้มอบรางวัลให้พี่ชาย แล้วยังไม่อยากได้ป้ายละตายอาญาสิทธิ์ เขาอยากรู้นักว่าเรื่องที่สะใภ้เจ็ดจะขอคือเรื่องอะไร
เจียงซื่อเหยียดมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเคร่งขรึม “มารดาของหม่อมฉันจากไปด้วยอาการภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อหลายปีก่อน ครั้นได้เห็นว่าตั่วหมัวมัวทำร้ายองค์หญิงสิบสี่ด้วยหนอนพิษกู่ นั่นยิ่งทำให้หม่อมฉันว้าวุ่นใจ ขอเสด็จพ่อได้โปรดอนุญาตให้มีการสอบสวนตั่วหมัวมัว เพื่อพิสูจน์ว่ามารดาของหม่อมฉันเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวจริง หรือเสียชีวิตด้วยหนอนพิษกู่กันแน่เพคะ!”
นางไม่เคยตั้งเป้าหมายลอยๆ และบัดนี้ดูเหมือนว่าเป้าหมายเล็กๆ ในการกำจัดองค์หญิงใหญ่หรงหยางเพื่อแก้แค้นแทนมารดากำลังเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกที