นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 369 เจ้าคนเลว
ตามปกติแล้วไป๋ยี่เซวียนจะออกไปเพียงช่วงเช้าหรือแค่ช่วงบ่าย เวลาที่เหลือเขามักใช้มันอยู่ในร้าน แต่นี่กลับเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มแล้ว เขาไปเจรจาการค้าที่ใดกัน?
โจวกุ้ยหลานทำอาหารสองสามอย่างด้วยตนเองแล้วยกออกมาว่างให้แก่สวีฉางหลิน ลูกทั้งสองคนก็นั่งลงอยู่ด้วยกัน สั่นขาน้อยๆ ไปมา เสี่ยวรุ่ยหนิงรู้สึกดีอกดีใจที่ขอให้พ่อของเขาสอนวิทยายุทธได้สำเร็จ
ส่วนรุ่ยอานที่นั่งอยู่ด้านข้างท่าทางค่อนข้างสงบ ทว่าดวงตาของเขาคู่นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อเห็นสามคนพ่อลูกเข้ากันได้อย่างดิบดี โจวกุ้ยหลานก็วางใจแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง
รอจนกระทั่งสวีฉางหลินและลูกอีกสองคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เด็กทั้งสองมีความสุขเสียจนกินอิ่มท้อง สวีฉางหลินจึงได้พาลูกทั้งสองคนออกไปเดินย่อยอาหาร
จวบจนกระทั่งตอนปิดร้าน ไป๋ยี่เซวียนก็ยังมิกลับมา โจวกุ้ยหลานมิรู้จะทำอย่างไรดี จึงทำได้เพียงเดินตามสวีฉางหลินและลูกๆ กลับเข้าไปในบ้าน
รุ่ยหนิงกระโดดโลดเต้นไปมาระหว่างทาง เขาดีใจยิ่งนัก ตลอดทางได้แต่เอ่ยถามสวีฉางหลินถึงเรื่องต่างๆ นานา ส่วนรุ่ยอาน แม้จะมิได้แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน ทว่าดวงตาคู่นั้นก็จับจ้องมองอย่างเป็นประกายแวววาว
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขาทั้งสาม โจวกุ้ยหลานก็อดมิได้ที่จะกล่าวขึ้นอย่างปวดใจเล็กน้อย “พวกเจ้าเมื่อมีพ่อก็ลืมแม่ไปเสียสิ้น”
รุ่ยอานรีบหันไปมองมารดาของเขา แต่ว่ามารดาของเขารูปร่างสูงเกินไปทำให้เขามองมิชัดเจน รู้เพียงว่ามารดาของตนรู้สึกเสียใจ จึงได้รีบเข้าไปจูงมือของมารดาเอาไว้
“อานอานชื่นชอบท่านแม่ที่สุดแล้ว”
รุ่ยหนิงที่อยู่ด้านข้างก็ชะโงกหน้าเข้าไปรีบกล่าวกับโจวกุ้ยหลานว่า “หนิงหนิงก็ชื่นชอบท่านแม่ที่สุดแล้ว”
โจวกุ้ยหลานตั้งใจอยากจะแกล้งพวกเขาสักหน่อย จึงได้ทำท่าทางเสียอกเสียใจแล้วกล่าวเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าชื่นชอบพอหรือชื่นชอบแม่มากกว่ากัน?”
“แม่!” เด็กทั้งสองคนกล่าวขึ้นในเวลาพร้อมเพรียงกัน
เสี่ยวรุ่ยอานเข้าไปกอดขาของโจวกุ้ยหลานเอาไว้ข้างหนึ่ง ศีรษะน้อยๆ ของเขาถูไถไปที่ต้นขานาง ทำเอาเสียโจวกุ้ยหลานมิกล้าเดินไปต่อข้างหน้า นางใจอ่อนลงทันที
ด้านของเสี่ยวรุ่ยหนิง ที่จูงมือสวีฉางหลินอยู่นั้นก็สะบัดมือออก สวีฉางหลินกลัวว่าจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจึงได้ปล่อยมือออกจากเขาเช่นกัน
เมื่อเสี่ยวรุ่ยหนิงเป็นอิสระแล้ว เขาก็ใช้ขาน้อยๆ วิ่งตรงเข้าไปหาโจวกุ้ยหลาน มือทั้งสองข้างกำที่ขาอีกข้างของโจวกุ้ยหลานไว้แน่นแล้วถูไถไปมาเช่นเดียวกับพี่ชาย กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านแม่อย่าเสียใจไป”
หัวใจของโจวกุ้ยหลานบัดนี้ อ่อนนุ่มเสียจนแทบละลาย
เมื่อครู่นางเพียงแค่ต้องการหยอกล้อเด็กทั้งสองคนเล่น ใครจะรู้เล่าว่าพวกเขาจะเอาอกเอาใจคนอื่นเก่งเช่นนี้
นางตบไปที่ลูกชายทั้งสองคนเบาๆ ท่าทางดูเหมือนจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่น้ำเสียงของนางก็หยุดลง ท้ายที่สุดแล้วมิได้พูดอะไร
สวีฉางหลินที่นั่งอยู่ด้านมองดูสามแม่ลูกกอดกันกลม แล้วหันมามองดูตนเองที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย เขาก็มิสบายใจนัก
เหตุใดจู่ๆ เขาจึงกลายเป็นคนนอกไปได้?
เมื่อคิดดังนี้ แววตาที่มองไปยังบุตรชายทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที
เขาเดินตรงเข้าไป ใช้มือแต่ละข้างหิ้วลูกทั้งสองคนขึ้นมาเอาไว้ข้างกาย โจวกุ้ยหลานยังมิทันได้สติกลับคืนมา มือทั้งสองข้างของเขาก็เข้ามาโอบกอดโจวกุ้ยหลานไว้
“นี่คือภรรยาของข้า ข้ากอดได้เพียงคนเดียว”
“แต่นี่คือแม่ของเรา!”
เสี่ยวรุ่ยหนิงตะโกนออกมาเสียงดัง ขาน้อยๆ ของเขาวิ่งตามไปอยู่ข้างกายโจวกุ้ยหลาน
เสี่ยวรุ่ยอานก็รู้สึกมิยินดีนัก เขาวิ่งเหยาะๆ เข้าไปเช่นกัน แต่เขาวิ่งมิเก่งเท่ากับรุ่ยหนิงดังนั้นจึงถูกทิ้งท้ายเอาไว้
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนใกล้จะมาถึงตัวโจวกุ้ยหลานแล้ว สวีฉางหลินจึงใช้แรงอุ้มโจวกุ้ยหลานขึ้นไปทั้งตัว
โจวกุ้ยหลานรู้สึกราวกับว่าตนเองลอยได้ นางรีบคล้องแขกของสวีฉางหลินเอาไว้ด้วยกลัวว่าตนจะตกลงไป
เมื่อก้มหน้าลงไปมองก็พบลูกทั้งสองอยู่ด้านข้าง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วกระโดดหวังจะจับนาง
น่าเสียดายเหลือเกินที่เด็กทั้งสองคนนี้ตัวเล็กเกินไป กระโดดเพียงไรก็จับมิถึงแม้แต่เอวของสวีฉางหลิน
“คนเลว แย่งแม่พวกเรา!” เสี่ยวรุ่ยหนิงโมโหเสียจนกำหมัดซัดเขาไปหลายหน
เสี่ยวรุ่ยอานเองก็มิยอมแพ้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วกำหมัดต่อยไปที่สวีฉางหลิน
“คนเลว!”
“พวกเจ้าแย่งภรรยาข้า!” สวีฉางหลินเองก็มิยอมแพ้ เขาตะคอกเด็กทั้งสองกลับไป
โจวกุ้ยหลานปวดหัวยิ่งนัก นางอยากจะเอ่ยถามสวีฉางหลินเหลือเกินว่าเขาอายุเท่าไรแล้ว เหตุใดจึงไปทะเลาะกับเด็กเล็กๆ แบบนี้
“พวกเจ้ากลับไปกอดภรรยาพวกเจ้าสิ!”
สวีฉางหลินตะคอกกลับไปด้วยความมิพอใจ
เหงื่อที่หน้าผากของโจวกุ้ยหลานไหลรินลงมา “เจ้าจะไปทะเลาะกับลูกทำไม?”
“นี่คือสิทธิของข้า เจ้าเป็นของข้า พวกเขาเพียงแค่เป็นภาระ” สวีฉางหลินกล่าวด้วยท่าทางอันจริงจัง
โจวกุ้ยหลานยกมือขึ้นกุมหน้าผาก “พวกเขาคือลูกแท้ๆ ของเจ้า เจ้าเป็นพ่อของพวกเขา!”
เมื่อคืนนี้ความสัมพันธ์มิได้ดีๆ กันอยู่เลย เหตุใดวันนี้จึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้?
เอ่อ……ดูเหมือนว่า……ราวกับว่า……นางกำลังหาเรื่องงั้นหรือ?
เมื่อโจวกุ้ยหลานคิดถึงประโยคเมื่อครู่ที่ตนกล่าวออกไปก็รู้สึกผิด
นางก้มลงมองดูเด็กทั้งสองอีกครั้งพบว่าลูกๆ โมโหขึ้นกว่าเดิม พวกเขาพากันตะโกนบอกว่าสวีฉางหลินเป็นคนเลว
เสี่ยวรุ่ยหนิงอ้าปาก หวังจะกัดขาของสวีฉางหลิน
โจวกุ้ยหลานตั้งใจจะเข้าไปรั้งเอาไว้ แต่จู่ๆ ก็พบว่า ร่างของนางหมุนติ้วและดูเวียนหัว
สวีฉางหลินอุ้มนางวิ่งไป
ลูกทั้งสองคนถูกรั้งท้ายทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วมองไปยังสองคนที่วิ่งหนีไปอย่างงุนงง
โจวกุ้ยหลาน “!”
ชายผู้นั้นวิ่งออกไปสองสามเก้าแล้วจึงละฝีเท้าลงค่อยๆ เดิน
“ลูกข้า ลูกชายของข้า!”
โจวกุ้ยหลานโผล่ศีรษะหันไปมองดูลูกน้อยทั้งสองคนที่ถูกทิ้งไว้ระหว่างทาง นางเอื้อมมืออันเรียวงามออกไป น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อถูกร้องเรียกเช่นนั้น ลูกน้อยทั้งสองจึงได้สติกลับคืนมาแล้วใช้ขาน้อยๆ ของตนวิ่งไปทางโจวกุ้ยหลาน พวกเขาวิ่งไปพลางตะโกนว่า “ท่านแม่!”
“รุ่ยอาน รุ่ยหนิง!”
“ท่านแม่ ท่านแม่!”
สวีฉางหลินเห็นดังนั้นจึงได้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
“สวีฉางหลิน ลูกจะตามมามิทันแล้ว เจ้าจงรีบหยุดเสีย!” โจวกุ้ยหลานคว้าเสื้อผ้าของสวีฉางหลินเอาไว้แล้วรีบตะโกนออกมา
สวีฉางหลินหันหลังกลับไปมองดูแล้วพบว่าลูกทั้งสองวิ่งได้เร็วดี ฝีเท้าของเขาก็ชะลอลง แต่ดูเหมือนมิมีทีท่าว่าจะยุติ
ดังนั้นฉากต่อมาที่เห็นก็คือสวีฉางหลินอุ้มโจวกุ้ยหลานวิ่งก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกทั้งสองวิ่งตามมาอย่างสุดชีวิต
จวบจนกระทั่งมาถึงตรงหน้าเรือน ระยะห่างของทั้งสองก็มิได้มากหรือน้อยลงกว่าเดิม
ระหว่างที่รอพวกเขาวิ่งมาถึง ในที่สุดสวีฉางหลินก็ปล่อยโจวกุ้ยหลานลง เมื่อโจวกุ้ยหลานขาสัมผัสพื้น นางก็รีบหันกลับไปวิ่งตามไปยังทิศทางของลูกชาย
เด็กชายทั้งสองวิ่งเหนื่อยหอบแล้วยืดแขนออกมาหาอ้อมกอดของนาง เสี่ยวรุ่ยอานสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “คนเลว คนเลว!”
เสี่ยวรุ่ยหนิงก็เหนื่อยหอบเช่นกัน มือน้อยๆ ของเขาจับไปที่เสื้อของโจวกุ้ยหลาน แล้วซุกเข้าไปในอ้อมกอดนาง เขาชี้ไปที่สวีฉางหลินกล่าวว่า “คนเลวแย่งแม่ของเรา!”
เมื่อมองเห็นลูกทั้งสองคนที่ท่าทางเหนื่อยหอบเช่นนั้น โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกทั้งขำและโมโห นางหันไปจ้องมองดูสวีฉางหลิน
ผ่านไปสักพักทีเดียวกว่าจะปลอบใจลูกทั้งสองคนได้สำเร็จ แต่อารมณ์ของสวีฉางหลินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ท่าทีที่มีต่อสวีฉางหลินนั้นก็เปลี่ยนไป
ทั้งสองคนโอบกอดโจวกุ้ยหลานด้วยกลัวว่าคนเลวคนนี้จะแย่งแม่ของพวกเขาไปอีก
โจวกุ้ยหลานจูงพวกเขาคนละข้างแล้วปลอบพวกเขา ขณะที่เมิ่งเจียงเปิดประตูออกมาแล้วเดินตรงเข้าไป สวีฉางหลินก็เดินตามพวกเขาไปทีละก้าว