บทที่ 370 ทะเลาะต่อสู้

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 370 ทะเลาะต่อสู้

จวบจนกระทั่งเวลาก่อนเข้านอน เด็กทั้งสองคนก็ยังคงเป็นปรปักษ์ต่อสวีฉางหลินอย่างรุนแรง พวกเขาออดอ้อนโจวกุ้ยหลานให้อาบน้ำให้ หวีผมให้ ทั้งสองคนนอนอยู่ข้างกายโจวกุ้ยหลานคนละข้าง กอดนางเอาไว้แน่น มิให้สวีฉางหลินมีโอกาสเข้าใกล้นางแม้แต่น้อย

เมื่อพบท่าทีของลูกชายทั้งสองต่อสวีฉางหลินที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวันก่อนอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกของโจวกุ้ยหลานก็ดูซับซ้อน

สวีฉางหลินที่อยากจะเข้าไปโอบกอดโจวกุ้ยหลานแล้วนอนหลับ บัดนี้ก็รู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน เขาอยากจะโยนลูกทั้งสองคนนี้ออกไป แต่เด็กทั้งสองคนก็ตะโกนโวยวาย โจวกุ้ยหลานเห็นใจและเอ็นดูพวกเขาเหลือเกิน สวีฉางหลินจึงทำได้เพียงนอนอดทน ปิดประตูห้องนอนอย่างแน่นหนา

“ใครใช้ให้เจ้าไปแกล้งพวกเขาเล่า! พวกเขาจริงจังขึ้นมาเสียแล้ว!” โจวกุ้ยหลานกล่าวขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“ใครแกล้งพวกเขากัน?” สวีฉางหลินกัดฟันกรอด แล้วหันหลังให้แม่ลูกทั้งสามคน

นางคือภรรยาของเขา ภรรยาของเขาเขามิสามารถกอดนางได้หรือ?

เขามิได้กอดภรรยาของเขามาเป็นเวลาสามปีแล้ว

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหแล้วอยากจะยัดเจ้าสองตัวนี้กลับไปในท้องภรรยาเหลือเกิน

โจวกุ้ยหลานก็รู้ดีว่าเขาโมโห ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา

นางมิได้มีลูกแค่สองคน สามคนต่างหาก!

นางแตะไปที่บ่าของเขาเบาๆ “โกรธหรือ?”

สวีฉางหลินตอบด้วยน้ำเสียงอุดอู้ “เปล่า”

หรือเปล่างั้นหรือ?

โจวกุ้ยหลานพยายามฝืนยิ้ม “พวกเขาคือลูกของเจ้า เจ้าจะมิเอาพวกเขาได้หรือ?”

“เขาเป็นคนเลว มิใช่พ่อของเรา!” เสี่ยวรุ่ยหนิงเติมฟืนใส่ไฟ

สวีฉางหลินรีบลุกขึ้นนั่งบนเตียง เห็นเจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนมองเขาด้วยท่าทางระมัดระวัง ความโมโหในใจก็ทวีคูณมากขึ้น

เขาโมโหยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับขุนนางในราชวังเสียอีก

“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าจงมาหาพ่อพวกเจ้าเสีย!” เมื่อกล่าวจบ สวีฉางหลินก็เอื้อมมือมาดึงเสี่ยวรุ่ยหนิงตัวน้อยที่นอนคั่นอยู่ตรงกลางโจวกุ้ยหลานขึ้นมา

เสี่ยวรุ่ยหนิงตัวน้อยที่ถูกดึงบริเวณเสื้อข้างหลังคอก็ห้อยอยู่กลางอากาศ เท้าดิ้นไปมา มือทั้งสองข้างพยายามจะเอื้อมมือไปจับมือข้างหลัง

ราวกับกระต่ายน้อยขี้โมโห ที่พยายามต่อต้านเสื้อตัวใหญ่แต่ก็ไร้ผล

โจวกุ้ยหลานตั้งใจจะเข้าไปรั้งเอาไว้ แต่วินาทีต่อมานางก็พบว่าสวีฉางหลินเข้ามานั่งข้างกายนางแล้วเบียดเข้ามาใกล้นาง ก่อนที่จะโยนเสี่ยวรุ่ยหนิงและเสี่ยวรุ่ยอานออกไปด้านข้าง

เสี่ยวรุ่ยหนิงที่ถูกวางไว้ข้างเตียงยังมิทันได้สติกลับคืนมา เขารู้สึกงุนงงว่าเหตุใดตนจึงถูกโยนมาไว้ตรงนี้ได้

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ยังมิทันที่สวีฉางหลินจะเอนกายลง เสี่ยวรุ่ยอานก็ลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างของเขาเข้ามาคว้าดึงแขนโจวกุ้ยหลานไว้

โจวกุ้ยหลานเอนกายไปยังแรงที่ถูกเขาดึง เขารู้สึกว่าตนมีความแข็งแกร่งนัก แล้วรีบร้องตะโกนเรียกให้เสี่ยวรุ่ยหนิงเข้ามาช่วย

เสี่ยวรุ่ยหนิงปีนขึ้นมาจากเตียงแล้วเข้าไปดึงขาโจวกุ้ยหลานไว้

โจวกุ้ยหลานจึงทำได้เพียงโอนเอนไปยังทิศทางที่ถูกแรงของพวกเขาดึง

โชคดีเหลือเกินที่เตียงนี่นางทำไว้ค่อนข้างใหญ่ มิเช่นนั้นจะเอาพื้นที่ที่ไหนมาให้สามพ่อลูกเล่นซุกซนทะเลาะกันเช่นนี้

โจวกุ้ยหลานแอบรู้สึกชื่นชมตนเองถึงความเฉลียวฉลาดอยู่ในใจ แล้วปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไป

บัดนี้สวีฉางหลินโมโหขึ้นแล้วจริงๆ

เขาขยับเข้าไปใกล้โจวกุ้ยหลานอีกครั้ง มือทั้งสองข้างเข้าไปดึงตัวพวกเขาขึ้นมา

ลูกทั้งสองพยายามดิ้นรน ทั้งแขนทั้งขาตะเกียกตะกาย

“หากพวกเจ้ายังต่อต้านข้าอีก ข้าจะแขวนพวกเจ้าไว้บนกำแพง!”

สวีฉางหลินกัดฟันกรอด

เด็กผู้ชายแต่ละคน เรื่องมากกันจริงเชียว!

มิมีใครเข้าใจพ่อคนนี้บ้างเลยหรือ? มิมีใครสนใจเจ้าสวีน้อยเลยหรือ?

“เจ้าทำแบบนี้พวกเขาก็เหนื่อยเปล่าๆ เจ้าเองก็มิสบายกาย วางพวกเขาลงแล้วรีบนอนมิดีหรือ?”

โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็ลุกขึ้นนั่งเอื้อมมือไปรับลูกทั้งสอง

มิรอให้นางเข้าใกล้ลูกทั้งสองคน สวีฉางหลินก็ได้วางลูกทั้งสองไว้ที่ข้างกายเขาแล้วเข้าไปโอบบ่าของสวีฉางหลิน

โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา นางตบลงไปที่สวีฉางหลินเบาๆ “เอาละ พอเถอะ ทะเลาะกันไปมาอยู่เช่นนี้เราก็มิได้นอนกันพอดี”

เมื่อกล่าวจบ นางก็พบว่าลูกทั้งสองกำลังปีนขึ้นมาข้างกายนาง โจวกุ้ยหลานชะโงกศีรษะเข้าไปกระซิบข้างหูของเขาว่า “รอให้พวกเขาหลับก่อนค่อยว่ากัน”

สวีฉางหลินดีใจเหลือล้นดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย

เดิมทีเขาต้องการจะเอ่ยถามว่าภรรยาของตนหมายความว่าอย่างไร แต่กลับพบว่าภรรยาตัวน้อยของเขาเอื้อมมือมารับลูกไปแล้ว

ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจตามใจภรรยา แล้วปล่อยให้เจ้าเด็กร้ายทั้งสองนอนกอดภรรยาของเขาหลับไป

เขาจึงเอนกายหลับตาลง ได้ยินภรรยาของเขากำลังกล่อมลูกทั้งสองนอนหลับ ต่อมาเขาก็เอนหลังนอนตามทั้งสามไป

ผ่านไปมินาน พบว่าลมหายใจของลูกทั้งสองคนสม่ำเสมอกัน เขาจึงลืมตาขึ้นเหลือบมองพบว่าภรรยาของเขาก็หลับแล้วด้วย

เขาชะโงกหน้าเข้าไปมองแล้วเงยหน้าขึ้นจุมพิตลงไปที่ริมฝีปากของโจวกุ้ยหลานเบาๆ ขณะที่เขากำลังจะดำเนินการขั้นต่อไป ก็พบว่าหน้าของเขาถูกตบเข้าดัง “เพียะ!”

เขาจึงก้มหน้าลงไปมองดู พบว่ามิรู้ว่ามือของใครข้างหนึ่งน้อยๆ ตบมาที่หน้าของเขา

เขาลุกขึ้นนั่งเอื้อมมือออกไปหวังจากหยิบเจ้าตัวเกะกะนี้ออกไป มิให้มาคั่นกลางระหว่างเขาและภรรยา

แต่เจ้าหมอนั่นพลิกตัวไปมา ท้ายที่สุดแล้วทั้งแขนและขาก็โอบกอดอยู่ที่เรือนร่างของโจวกุ้ยหลาน

เมื่อเขาออกแรงดึง เจ้าตัวน้อยก็ส่งเสียงพึมพำออกมาราวกับว่าถูกรบกวนความฝัน

สวีฉางหลินโมโหเสียจนหัวเราะออกมา เขายกมือขึ้นแล้วเคาะไปที่ศีรษะของเจ้าหนูเบาๆ

เจ้าหนูน้อยที่ยังคงอยู่ในความฝันขมวดคิ้วด้วยความเจ็บแล้วทำปากเบะ ส่งเสียง “อือ” ออกมาอย่างมิพอใจ แล้วพลิกตัวกลับไปหันหลังให้เขา

เมื่อถูกรบกวนดังนี้ สวีฉางหลินจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาอีกเล่า? เขาทำได้เพียงเอนกายลงแล้วเอื้อมมือไปโอบภรรยาเบาๆ

เพิ่งจะหลับตาลงได้มินาน มือของเขาก็ถูกเตะ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมองดูก็พบว่าเจ้าตัวน้อยอีกคนหนึ่งที่นอนอยู่อีกฝั่ง ขณะนี้หลับตาพริ้มฝันหวาน แต่ขาของเขาอยู่ที่มือของตน

เห็นได้ชัดว่าเตะเมื่อครู่มาจากเจ้าหนูน้อย

สวีฉางหลินมิสนใจอีกต่อไป อยากจะกีดกันก็ทำไปเถอะ เขาโอบกอดภรรยาของเขาแล้วนอนหลับไป

แน่นอนว่าคนบางคนยามหลับแล้วรู้สึกเหนื่อยล้าอาจมิได้มีปัญหาที่การนอนหลับ ร่างกายอาจจะเกิดสิ่งผิดปกติ หรือถูกอะไรบางอย่างทับเอาไว้

อาทิเช่นโจวกุ้ยหลานในวันต่อมา นางเห็นร่างน้อยๆ ทั้งสองคนแขนขาทับนางเอาไว้ และยังมีแขนใหญ่อีกหนึ่งข้างทับเอาไว้อีก นางจึงได้รู้ว่าความฝันที่นางถูกหมูป่าขย้ำเมื่อคืนนั้นเป็นความจริง

เกรงว่าทั้งคืนนางจะนอนมิได้เปลี่ยนท่าเลย นางเหนื่อยเมื่อยล้าไปทั้งตัว

เป็นครั้งแรกที่นางลุกขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง

นางค่อยๆ ขยับขาของลูกทั้งสอง ตามด้วยแขน จากนั้นจึงขยับแขนของสวีฉางหลินออกไป ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นยองๆ แล้วก้าวข้ามสวีฉางหลินกับลูกๆ ที่นอนระเกะระกะไปอยู่ข้างเตียง เปิดแผ่นกั้นเตียงออก

นางกำลังจะลุกขึ้นจากเตียง แต่จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งมาโอบเอวเอาไว้

นางยังมิทันหันศีรษะกลับไปก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาซุกไซ้ที่ซอกคอ

“ภรรยาสุดที่รักของข้า……”

“เจ้านอนหลับมิสนิทหรือ?” โจวกุ้ยหลานหันไปมองแล้วเอ่ยถามเขา

น้ำเสียงของสวีฉางหลินดูอุดอู้เล็กน้อย “ข้าแค่คิดถึงเจ้าจนนอนมิหลับ……”

ท่ามกลางความมืดนี้ น้ำเสียงช่างดูเร้าใจอย่างน่าประหลาด

หัวใจของโจวกุ้ยหลานเต้นโครมครามมิเป็นจังหวะ แทบจะพุ่งออกมาเสียด้วยซ้ำ

จะว่าไปแล้วนางเองก็มิได้นอนร่วมกับสวีฉางหลินมาถึงสามปีกว่าๆ ในใจของนางก็สั่นสั่นเทา