นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่371 ไป๋ยี่เฉิน

“เจ้าต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ใช่หรือไม่” นางมองออกไปที่ท้องฟ้าข้างนอก ถามสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินมองผ่านกระเบื้องใสว่า “เหลืออีกครึ่งชั่วยามถึงจะถึงเวลาตื่น เพียงพอแล้ว”

ขณะพูด ก็ไม่รอให้โจวกุ้ยหลานตอบกลับ อุ้มนางขึ้นมา ให้นางคร่อมบนร่างเขา เขาหยัดกายขึ้น ลุกออกจากเตียง

โจวกุ้ยหลานตื่นตระหนก ยื่นแขนโอบรอบคอของเขา เพื่อกันไม่ให้ตัวเองตกลงมา

ชายคนนั้นจับสะโพกของนางด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ปิดประตูบานเลื่อนบนเตียง เดินไปถึงโต๊ะด้านหน้าในไม่กี่ก้าว ดึงผ้าปูโต๊ะทั้งสี่มุมออก แล้วเก็บกาน้ำและถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะออกไป

ทันใดนั้น โจวกุ้ยหลานถูกวางลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวนั้น โดยที่ขาทั้งสองยังพันรอบเอวของเขา

“คิดถึงเสี่ยวฉางหลินไหม” สวีฉางหลินอยู่ห่างจากปากของนางไม่เกินห้าหกเซนติเมตร ลมร้อนจากปากโถมใส่ใบหน้านาง มันร้อนเสียจน ทำให้ขนทั้งกายนางลุกซู่

“เสี่ยวกุ้ยหลานคิดถึงเสี่ยวฉางหลินมากเสมอ…” โจวกุ้ยหลานเพ่งมองสวีฉางหลิน ส่งเสียงเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย

คนทั้งคู่หายใจแรงขึ้นหลายส่วน สวีฉางหลินก็ไม่รออีกต่อไป ก้มหน้าลง แตะประสานกับริมฝีปากภรรยาตัวน้อยที่คะนึงหา…

บรรยากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับทั้งห้องอุณหภูมิสูงขึ้นไปหลายองศา

เช้าตรู่วันนี้ ทุกคนล้วนสังเกตเห็นได้ชัดว่าใบหน้าเย็นชาของนายพลสวี สันนี้ใบหน้าอ่อนโยนมาก

ผู้คนต่างประหลาดใจ ตอนได้ยินอ๋องตวนรายงานว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็ต่อต้านการส่งกองทัพไปยังมณฑลหยวนเหอมาโดยตลอด ไม่คาดคิดจะเป็นครั้งแรกที่ไม่ต่อต้านกับอ๋องตวนอีก แล้วยังเป็นฝ่ายขอราชโองการ ให้เป็นผู้บังคับบัญชา

ฮ่องเต้ก็ประหลาดใจเช่นกัน แล้วในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ

อีกด้านหนึ่ง โจวกุ้ยหลานไปร้านตั้งแต่เช้า ก็บังเอิญพบกับ ไป๋ยี่เซวียนที่กำลังจะออกไป

“นี่เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ”

ไป๋ยี่เซวียนเห็นนาง ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วฉีกยิ้ม “วันนี้ยังต้องไปคุยกันเรื่องการค้า การค้าโค้กนี้ต่อยอดได้อีก”

โค้กนี้นั้นเก็บไว้ง่ายๆ แม้ผ่านไปหลายวันแล้วเอาไปขายก็ไม่เป็นไร

เพียงแต่…

“พูดคุยเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่เลวเลย มีโรงเตี๊ยมหลายแห่งตกลงกับเราแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้รับตามราคาซื้อโดยตรง ข้าว่า เราควรเพิ่มกำลังคนแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ยี่เซวียนเพิ่มขึ้นหลายส่วน

“พอดีเลย ข้าอยากคุยกับเจ้าเรื่องเปิดร้านสาขา พวกเรามานั่งคุยกันดี ๆ ไหม” โจวกุ้ยหลานยื่นมือไปผลักประตู

ไป๋ยี่เซวียนหลีกเลี่ยงสบตานาง บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “งั้นรอข้ากลับมาไหม ช่วงนี้ข้ามีนัดกับผู้อื่นแล้ว”

โจวกุ้ยหลานแหงนมองท้องฟ้า “เช้าขนาดนี้?”

ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะ…

“เดินทางไปก็ต้องใช้เวลา ข้าต้องไปก่อนแล้ว ยังต้องหาร้านหลายแห่งเพื่อคุยด้วย” ไป๋ยี่เซวียนเอียงศีรษะเล็กน้อย ตอนพูดคุย ก็ไม่ได้สบตากับนาง

เห็นชัดว่าอยู่กันใกล้ชิด แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกล

โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้ม “งั้นเจ้าไปเถอะ ร้านค้ามีข้าดูแลอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง”

ไป๋ยี่เซวียนพบักหน้า แล้วเดินผ่านข้างนางไป

มองแผ่นหลังของเขา โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่มองท่าทางของเขานั้นเห็นชัดว่าไม่อยากบอกนาง นางก็ไม่อาจไปบังคับได

เก็บกวาดร้าน เตรียมวัตถุดิบ จัดร้านค้า และเปิดร้าน

เรื่องทั้งหมดจัดการเรียบร้อย ก็เริ่มต้อนรับลูกค้า

เมื่อเช้าที่แสนวุ่นวายเริ่มขึ้น นางเดินเข้าไปในครัว บรรยากาศคึกคักวุ่นวาย คนจ้างวิ่งเข้ามา กล่าวว่ามีคนมาหานางด้านนอก

โจวกุ้ยหลานคว้าผ้ากันเปื้อนเช็ดมือ “มีลูกค้าไม่พอใจกับอาหารพวกเราใช่หรือเปล่า”

“เหมือนจะไม่ใช่ คนผู้นั้นดูมีเหตุผลทีเดียว ไม่ใช่คนเอาข้างเข้าถู” คนจ้างตอบกลับ

นางนั้นไม่ได้รู้จักใครในเมืองหลวง ใครจะถามหานางกัน

หรือว่า…จะเป็นท่านพ่อของสวีฉางหลิน

ในหัวแวบภาพบุรุษที่มีเคราและเส้นผมสีดอกเลา แต่บุคลิกกลับยังกระฉับกระเฉง ในใจก็ยังประหม่าอยู่เล็กน้อย

ตายแล้ว วันนี้นางไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ดูดีเลย…

ปลดผ้ากันเปื้อน พาดไว้บนตะขอด้านข้าง รีบจัดผมของตัวเอง เหมือนไม่ได้หลุดลุ่ย ก้มหน้ามองเสื้อผ้าตัวเองอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าวันนี้เพื่อสะดวกต่อการทำงาน ใส่มาส่งเดชเกินไปแล้ว

“ตั้งแต่หัวจรดเท้าข้าเป็นอย่างไรบ้าง” โจวกุ้ยหลานหันหน้ามองพ่อครัวสองคนในครัว

พ่อครัวสองคนนั้นยุ่งมากจนหัวหมุน ตอบอย่างส่งเดชไปว่า “ดีมาก”

โจวกุ้ยหลานถอนหายใจอย่างดุดัน ก้าวอาด ๆ เดินออกไปแต่ละย่างก้าวสง่างาม

คนจ้างผู้นั้นพานางมาถึงที่ด้านหน้าโต๊ะหนึ่ง “นี่คือลูกค้าที่เรียกท่าน”

โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้มอย่างสง่างาม เพ่งตามองไป แล้วสบตากับบุรุษผู้นั้นที่นั่งอยู่พอดี

โอ้ ที่แท้ไม่ใช่พ่อสามีนาง…

โจวกุ้ยหลานผ่อนลมหานใจ รอยยิ้มบนใบหน้าแทบจะคงไว้ไม่อยู่ แต่นางตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้ได้ในที่สุด

“ท่านนี้คือเถ้าแก่โจวพวกเจ้าหรือ”

เสียงของบุรุษผู้นั้นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ราวกับเป็นโอรสคนโปรดของสวรรค์ มีความรู้สึกถึงความเหนือกว่าต่อหน้าสามัญชน

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า “ไม่ทราบว่าลูกค้าถามหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”

เพิ่งพูดจบ ก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังมองตั้งแต่หัวจรดเท้ามาที่นาง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โจวกุ้ยหลานเริ่มระแวดระวังขึ้นมา

“มีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า ไม่รู้ว่าเถ้าแก่โจวสะดวกจะย้ายที่หรือไม่”

แม้ว่าน้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นจะสอบถาม แต่ท่าทางนั้นไม่ให้ปฏิเสธได้เลย

โจวกุ้ยหลานคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตกลง

หลังจากบอกให้พวกคนจ้างดูแลร้านให้ดี นางก็เดินตามบุรุษผู้นั้นไปที่โรงน้ำชาที่อยู่ไม่ไกลนัก และขอห้องส่วนตัวตามลำพัง

โจวกุ้ยหลานนั่งบนเก้าอี้ แล้วฉีกยิ้ม “ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านนี้ชื่ออะไรหรือ”

“สกุลไป๋”

ไป๋…

“ช่างบังเอิญจริง ๆ ร้านเราก็มีเถ้าแก่ไป๋คนหนึ่งด้วย ไม่ทราบว่าจะใช่อักษรไป๋เดียวกันกับอาจารย์หรือเปล่า”

โจวกุ้ยหลานเอียงศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นแผ่วบาง ใช้ตามองบุรุษตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า

บุรุษผู้นั้นไม่ได้ปกปิดอะไร “ข้าคือไป๋ยี่เฉิน เป็นพี่ใหญ่ของไป๋ยี่เซวียน”

ที่แท้…

โจวกุ้ยหลานยิ้มมุมปากกว้างขึ้น “ที่แท้เป็นพี่คนงานของเถ้าแก่ไป๋ เสียมารยาทแล้ว แต่เถ้าแก่ไป๋ของพวกเราไม่อยู่ที่ร้าน หากท่านต้องการมาหาเขา เกรงว่าต้องรอถึงตอนเย็นแล้ว”

“ข้ามาหาเถ้าแก่โจวโดยเฉพาะ” ไป๋ยี่เฉินก็ยิ้มเช่นกัน

“โอ้…”

โจวกุ้ยหลานตอบอย่างมีนัยความ และไม่ต่อบทสนทนากับไป๋ยี่เฉิน

นางไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับไป๋ยี่เฉิน แล้วนี่มาหานางโดยเฉพาะ เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับไป๋ยี่เซวียนกระมั้ง

“ในเมื่อเถ้าแก่โจวทำการค้าร่วมกับไป๋ยี่เซวียนไม่รู้ว่าได้รับเท่าไร”

ไป๋ยี่เฉินเพิ่งพูดจบ คนจ้างคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา ส่งขนมหลายจานมาให้พวกเขา แล้วถามพวกเขาว่าต้องการชาอะไร

ไป๋ยี่เฉินผู้นี้ก็ยังสุภาพ ถามโจวกุ้ยหลานต้องการดื่มอะไร โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องชา ตามไป๋เซียนเซิงดื่มอะไรก็ได้”

“งั้นก็ชาทิกวนอิมเถอะ” ไป๋ยี่เฉินพูดจบ คนงานนั้นก็ออกไปแล้ว

ประตูปิดลง สายตาไป๋ยี่เฉินมองไปที่ร่างโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง ราวกับพิจารณานางอยู่ตลอด “เถ้าแก่โจว เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย”

“ไป๋เซียนเซิง พวกเราล้วนเป็นนักธุรกิจ ถามอย่างนี้ใช่จะ..หรือไม่.” โจวกุ้ยหลานชะงักครู่หนึ่ง ราวกับกำลังหาคำพูดที่เหมาะสม